ตอนที่ 129 วัดอวิ๋นหลัว

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ค่ายหลงซีเดิมเป็นหมู่บ้านในภูเขาเล็กๆ ที่ดูแลตนเองได้ อาศัยติดภูเขาใกล้แม่น้ำ ชาวบ้านจับปลาล่าสัตว์บุกเบิกที่รกร้างทำนาขั้นบันได ใช้ชีวิตทำมาหากินก็พอไหว

ทั้งหมู่บ้านมีกันทั้งหมดรวมสิบกว่าหลังคาเรือน คนแก่และเด็กเจ็ดแปดสิบคน อาศัยกันอยู่ช่วงกลางเขา ใช้ก้อนหินก่อกันขึ้นเป็นบ้านศิลา

“ท่านจอมยุทธ์ กล่าวตามตรง หากสองสามปีนี้เจ้าเมืองหลงเฉิงไม่จับผู้ชายในค่ายเราไป อย่าว่าแต่ปล้นชิง แม้แต่เก็บกระเป๋าเงินได้ก็ยังไม่แอบเก็บไว้โดยไม่คืนเด็ดขาด” ชายหนุ่มหัวหน้านำหลินซือเย่าขึ้นไปกลางเขาเพื่อไปยังบ้านศิลา พลางอธิบายอย่างระมัดระวัง

“จับไปทำอะไร” หลินซือเย่ามองไปรอบๆ เป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า ในบ้านมีชายชราอายุเจ็ดแปดสิบ และยังมีทารกเพิ่งครบเดือนนอนอยู่ในห่อผ้า

“ข้าก็ได้ยินเขาเล่ามา เหมือนว่าไปสร้างอารามที่วัดแห่งหนึ่งบนเขาทางตะวันออก” ชายผู้นี้เกาหัวแกรกๆ พยายามบอกเล่าที่เขารู้มาทั้งหมดให้หลินซือเย่าฟังอย่างละเอียด

“วัดอะไร?” หลินซือเย่าแววตาลุ่มลึก ถามน้ำเสียงทุ้มนิ่ง

“เอ่อ…วัดอะไร? ชื่ออะไร?…นี่ กวงไจ่ เจ้ายังจำได้ไหมว่าวัดนั้นชื่ออะไร” ชายผู้นี้ขมวดคิ้วพักหนึ่งก็จำไม่ได้ หันไปถามเจ้าหนุ่มที่อายุน้อยกว่าที่ตอนปล้นเป็นคนเตือนเขาว่าอย่าลืมรถม้าคันนั้น

“…วัดอวิ๋นหลัว ใช่ ถูกต้อง ก็คือวัดอวิ๋นหลัว” เจ้าหนุ่มคิดแล้วก็ตบมือดัง พยักหน้ากล่าวมั่นใจ

หลินซือเย่าสองมือข้างกายกำแน่น เยี่ยม! ดูท่าเงินทองที่เขาส่งไปวัดอวิ๋นหลัว ตกเข้ากระเป๋าเจ้าเมืองหลงเฉิงไปแล้ว

เขารีบหันหลังโยนถุงเงินน้ำหนักไม่เบาให้ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้า ก่อนจะทะยานลงเขา หายไปลับไปท่ามกลางหมู่แมกไม้

“…พี่ใหญ่…พวกเรา…เมื่อครู่เกือบโดนเตะเละไปแล้ว…” เจ้าหนุ่มชี้ไปยังทิศทางที่หลินซือเย่าหายตัวไป ยังแอบกลัวไม่หาย

ใช่ หากตอนแรกชายหนุ่มฝีมือไม่ธรรมดาหน้าตาเย็นชาผู้นี้ลงมือ ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ตอนจัดการพวกเขายังหัวเราะเริงร่าผู้นั้นแล้วล่ะก็ ชีวิตพวกเขาก็คงไปรวมกันพบบรรพชนที่ยมโลกแล้ว

“กวงไจ่ เงินพวกนี้…มีเท่าไร” ชายหนุ่มสองมือสั่นเทาชี้ไปทีถุงเงินที่เปิดกว้าง ที่ผ่านมาเขาเคยเห็นแค่ก้อนเงินเท่าเม็ดถั่วเหลืองและเศษๆ เงิน ยังไม่เคยเป็นก้อนเงินเป็นก้อนๆ แบบนี้ เพื่อนร่วมขบวนการรีบปรี่เข้าไปนับอย่างจริงจัง สวรรค์ ถึงกับมีถึงเจ็ดสิบตำลึง โยนโครมมาทีก็ให้พวกเขาถึงเจ็ดสิบตำลึง ชายหนุ่มผู้นั้นมาจากไหนกัน?! ยามนี้แม้ชายในค่ายถูกลากตัวไปสร้างเจดีย์หมด ที่ค่ายเหลือแต่เด็ก คนแก่และสตรีอ่อนแอ ก็ไม่อดตายแล้ว

……

“แจ้งทุกคน อ้อมไปทางตะวันออก ไปเขาฉีอวิ๋นซาน เมืองหลงเฉิง รีบออกเดินทาง” หลินซือเย่ากลับมาถึงที่ที่ทุกคนกำลังพักอยู่ก็สั่งการซือถูอวิ๋น จากนั้นก็รั้งซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นรถม้า

“เกิดเรื่องแล้วใช่ไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนส่งหมั่นโถวที่อุ่นร้อนแล้วหลายครั้ง บิออกสอดไส้เนื้อวัวซีอี๊วพร้อมไชเท้าดอง ที่ห่อมาจากโรงเตี๊ยม ประกบกันเหมือนแผ่นแป้งยัดไส้เนื้อ ส่งให้หลินซือเย่า

“ไม่นับว่าเรื่องใหญ่ แต่ทว่าวัดอวิ๋นหลัวที่เขาฉีอวิ๋นซานเป็นที่ที่เลี้ยงดูข้ามาแปดปีเต็ม ไม่อยากไปดูหน่อยหรือ” หลินซือเย่ารับหมั่นโถวมาจากมือนางพลางอมยิ้มถาม

ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ว่าเขากำลังเบี่ยงประเด็น ไม่อย่างนั้นย่อมไม่อยู่ๆ เสนอว่าจะไปวัดอวิ๋นหลัวตอนนี้ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ เขาจึงไม่อาจไม่ไปสักครั้งในตอนนี้

ก่อนฟ้ามืด ขบวนรถม้าก็ถึงเขาฉีอวิ๋นซาน รอยต่อเมืองหลงเฉิงกับเมืองกานหมิง เขาฉีอวิ๋นซานแปลว่าเขาเทียมเมฆ ที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะยอดเขามีเมฆโอบล้อมแทบจะเท่ากับสูงเทียมฟ้า

หมู่บ้านที่ฉีอวิ๋นผ่านการเปลี่ยนแปลงมาสิบกว่าปี ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆ คนน้อยเหมือนสิบเจ็ดปีก่อน แล้ว ตอนนี้กลายเป็นเมืองสำคัญที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนไปมาระหว่างเมืองตะวันตกกับตะวันออก กอปรกับสองปีมานี้ เจ้าเมืองหลงเฉิงให้ความสำคัญกับวัดอวิ๋นหลัว เขาฉีอวิ๋นซานก็ยิ่งกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนมากราบไหว้บูชา ทุกวันล้วนมีคนนอกพื้นที่ไม่น้อยมาจุดธูปบูชาอธิษฐานขอพร

“นายท่านมาวัดอวิ๋นหลัวไหว้พระหรือ พอดีเลย โรงเตี๊ยมเรามีห้องพักอีกสองสามห้อง พอให้นายท่านทั้งหลายพัก พรุ่งนี้เป็นวันอากาศดี ขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ พระอาทิตย์ขึ้นที่เขาฉีอวิ๋นซานถือเป็นทิวทัศน์ที่งามมากแห่งหนึ่ง แขกมาเยือนหลายคนก็ด้วยเหตุผลนี้”

โรงเตี๊ยมเยว่หรงเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านฉีอวิ๋น เจ้าเมืองหลงเฉิงลงทุนก่อสร้างเป็นเรือนสี่ประสานขนาดใหญ่สองชั้นหน้าหลัง ห้องพักทั้งหมดสี่สิบห้องใหญ่ ยังมีห้องราคาถูกอีกราวสิบกว่าห้อง ห้องเล็กที่พักได้แค่คนเดียว ที่นี่รองรับคนได้ร้อยคนขึ้นไป

ซือถูอวิ๋นบอกเถ้าแก่ทันทีว่าเอาหกห้องใหญ่ ในนั้นมีห้องแบบสามคนด้วย หยางจิ้งจือ ชิงหลันกับเจี้ยนเยว่พักด้วยกัน สำหรับคนขับรถทั้งสี่คันก็ไปอยู่ห้องคู่ชั้นล่างเพราะจะได้คอยดูแลรถม้าไปด้วย

พอทุกคนเข้าพักเรียบร้อยก็ปลายยามซวีแล้ว หลังกินอาหารที่โถงกลางพร้อมอาหารว่างยามค่ำเสร็จ ก็กลับห้องไปล้างหน้าบ้วนปากเข้านอน

รอเช้าวันรุ่งขึ้นค่อยรวมตัวกันขึ้นเขา

“อาจารย์ลุง?” ซือถูอวิ๋นเปิดประตูห้องออกมาเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารของหลินซือเย่าก็ร้องเรียกอย่างนึกแปลกใจ

“ข้าขึ้นเขาหน่อย เจ้าจับตาเฝ้าไว้ให้ดี” หลินซือเย่าสั่งการเยียบเย็น

“…ขอรับ…” ซือถูอวิ๋นพยักหน้ามองหลินซือเย่ากระโดดทีเดียวก็ขึ้นไปยังหลังคาออกจากโรงเตี๊ยม หายตัวไปท่ามกลางม่านแห่งรัตติกาลอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไรกระมัง” เสียงเย็นเยียบด้านหลังดังขึ้น ซือถูอวิ๋นหันไปจ้องมองเจี้ยนเหิงที่กำลังตั้งใจขัดกระบี่เป็นนานก่อนจะมั่นใจว่าเมื่อครู่เขาถาม

“น้ำเสียงใส่ใจไม่ควรเป็นเช่นนี้นะ” ซือถูอวิ๋นค้อนใส่ทีหนึ่ง เอนตัวลงนอนบนเตียงตนเอง ดูเหมือนหลับตานอน แต่ความจริงกำลังเพ่งสมาธิอยู่ตามระเบียงด้านนอก อาจารย์ลุงไม่อยู่ พี่สาวคนสวย ห้องแม่นมที่มีทารกแฝด ความปลอดภัยทั้งหมดเป็นภาระใหญ่ที่สุดของเขา

กลับไปกล่าวถึงหลินซือเย่าที่เร่งพลังฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงยอดเขาฉีอวิ๋นซาน มาถึงวัดอวิ๋นหลัวที่คุ้นเคยในความทรงจำ

วัดที่เข้าสู่ช่วงเวลาเที่ยงคืนย่อมต้องจุดตะเกียงสว่าง

“บอกแล้วว่าแบบนี้ไม่ได้! เจ้าก็จะเอาให้ได้ ตอนนี้เก็บกวาดอย่างไรล่ะ หลางซีมีข่าวมา หากเชื่อได้ เซวี่ยหมิงกำลังสงสัยพวกเราแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าว่าทำอย่างไรดี ตอนนี้ยังถอนตัวทันไหม มารดามันสิ! ยังคิดว่าจะฉวยโอกาสนี้กำจัดสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงได้ แต่ดันมีพวกหลงอีมากลุ่มเดียว ยังปล่อยเขาหนีไปได้อีก…”

“ข้าว่าเมืองหลงเฉิงตอนนี้อยู่ในกำมือพวกเราแล้ว ทำไมไม่ถือโอกาสนี้ตั้งรกรากที่นี่เลยล่ะ”

“ไม่ได้ เจ้าไม่ได้ยินพระเน่านั่นว่าหรือ ที่นี่มีผู้คอยเกื้อหนุนสูงศักดิ์ให้การช่วยเหลือ หากคนที่เขาพูดออกจากปากนั่นเป็นพวกราชนิกูลฮ่องเต้แผ่นดินต้าหุ้ยจริง ถึงตอนนั้นกำจัดเซวี่ยลี่ก็ไม่ได้ ยังจะหาเรื่องให้กองทหารต้าหุ้ยบุกมาอีก โจมตีสองทาง พวกเรายังมีจะทางหนีรอดอีกหรือ”

“หนี หนี หนี! ไอ้บัดซบมารดาเจ้าสิ รู้แต่หนี! ตามความเห็นข้า รวมกำลังพี่น้องเราบุกสังหารไปถึงวังเซวี่ยหมิง อย่างมากก็เจ็บด้วยกัน เซวี่ยลี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันแล้ว!”

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! ไม่ใช่ว่าเราต่างรู้ความร้ายกาจของสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงหรือ ก่อนหน้าแอบปล่อยข่าวลือมั่วๆ ไป ตอนนั้นก็ใช้กำลังพวกเราทั้งหมด ยังหลอกใช้นักฆ่าหอเฟิงเหยาที่มาล้างแค้นอีก แต่ก็กำจัดได้เพียงแค่กลุ่มมังกรของหลงอีกลุ่มเดียว ยังปล่อยหลงอีหนีไปได้อีก”

“อย่างนั้นเจ้าว่าทำอย่างไรดี เวลายิ่งกระชั้นชิดแล้ว หากยังไม่ลงมือ เกรงว่าไม่ทันแล้ว…”

“อย่าเร่งข้า ให้ข้าคิดดีๆ ก่อน!”

“พี่ใหญ่ หรือว่า…”

“หืม?”

“หรือว่าแล้วๆ ไปเถอะ หลายปีมานี้พวกเรารวบรวมสมบัติมาได้ไม่น้อย พอให้พวกเรากินดื่มไปทั้งชีวิต ความแค้นอะไรพวกนั้น…”

“แล้วไปกับผีเจ้าสิ! พวกขี้ขลาดไร้น้ำยา! ตอนนั้นพี่อิงดีกับพวกเราขนาดไหน เขาและพี่น้องไม่น้อยถูกเจ้าเซวี่ยลี่ตัดหัวทิ้ง พวกเรามาหดหัวในกระดองใช้ชีวิตไปวันๆ ได้หรือ”

“พี่…พี่ใหญ่โปรดระงับความโกรธ ข้า…ข้าก็แค่รู้สึกว่าหลายปีมานี้ พวกเราพี่น้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ก็ลำบากมากพอแล้ว เรื่องนั้น…”

“เจ้าเจ็ด หุบปาก ตอนนั้นเจ้ายังเล็ก ไม่รู้พี่อิงตายน่าอนาถเพียงใด แค้นนี้ไม่ชำระ พวกเราไหนเลยจะมีหน้าไปพบพี่อิงได้”

”ใช่แล้วเจ้าเจ็ด แม้พวกเราปล่อยวาง แต่จะหนีการไล่ล่าของเซวี่ยหมิงได้หรือ หลายปีมานี้หากไม่ใช่พวกเราข้ามมาอยู่แผ่นดินต้าหุ้ย ยังซ่อนตัวอยู่ที่หลางซี ไหนเลยจะยังมีชีวิตรอดมาได้…คงได้เหมือนพี่หลัวพวกเขาที่ตายไร้ที่ฝังไปแล้ว”

“ใช่แล้ว ว่ากันว่าตอนพี่หลัวตาย ลูกสาวพี่อิง ศิษย์เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

“เชอะ ข้าว่าตกอยู่ในเงื้อมือเซวี่ยลี่ไปแล้ว แม้ยังมีชีวิตก็คงมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย”

“ดังนั้น เราซ่องสุมกำลังมายี่สิบกว่าปีนี้ ไม่อาจละทิ้งไปเช่นนี้ได้…”

“ใช่แล้ว เจ้าเมืองหลงเฉิงทางนั้นจะอธิบายกับเขาอย่างไร เขารู้แค่พวกเราเป็นลูกน้องราชนิกูลเซวี่ยหมิง หากข่าวแพร่ออกไป เจ้าว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงจะมาไหม”

“กลัวพวกเขาไม่มาสิ ทางเจ้าเมืองก็รีบไปรั้งไว้ก่อน ยามจำเป็นก็ให้เขาผ่อนผัดให้เรา ได้ผลประโยชน์ เขาควรรู้ว่าต้องทำอย่างไร อาศัยแค่คนของพวกเราย่อมไม่ทันสร้างเสร็จทันก่อนปลายปี ต้องรีบรวบรวมชายทั่วเมืองหลงเฉิงมาสร้างเจดีย์ ยิ่งเร็วยิ่งดี ถึงตอนนั้น…ฮา ฮา ฮา…ดูสิว่าสิบสองทหารโลหิตเซวี่ยหมิงจะหนีรอดไปไหนได้ สวรรค์! ข้าต้องให้เซวี่ยลี่ที่กำลังได้ใจตายไร้เถ้ากระดูกอยู่ที่นี่ ดูเซวี่ยลี่กับพวกราชวงศ์เซวี่ยหมิงจะฉี่ราดรดกางเกงขอร้องพวกเราอย่างไร! ฮา ฮา ฮา…พี่น้อง ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้ไปนั่งอยู่ในวังหลวงรอรับการปรนนิบัติจากสาวงามแล้ว…”

……

ห้องด้านข้างของวัดอวิ๋นหลัวมีพระอาศัยอยู่รูปเดียว เป็นทั้งเจ้าอาวาสและพระลูกวัด ชื่อว่าเจี้ยซิว เป็นคนที่สิบสองปีก่อนมีบุญคุณให้ข้าวเขาตอนที่หลินซือเย่าเพิ่งฝึกวิชาสำเร็จและลงจากเขามา หลินซือเย่าพาขึ้นเขามาดูแลพระในวัดอวิ๋นหลัว

หากไม่มีภารกิจ หลินซือเย่าก็จะมามอบเงินให้ด้วยตนเอง ไว้ให้เขาไปหาช่างมาซ่อมอารามวัดและซื้อหาสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

จนมาปีก่อน เขารับตั๋วเงินที่พอจะให้เขาใช้ไปอีกร้อยปีปึกใหญ่จากหนุ่มน้อยแปลกหน้าที่นำมาส่งถึงบนเขา ก็รู้ว่าผู้เกื้อหนุนสูงศักดิ์ที่ช่วยเขาไว้และหาที่พักให้เขาตอนอายุสามสิบหกคนนั้นน่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว

เดิมชีวิตเขาก็สุขสบายดี วัดอวิ๋นหลัวเงียบสงบ นานๆ จะมีคนศรัทธาขึ้นมากราบไหว้ขอพรสักครั้ง ดังนั้นส่วนใหญ่เขาก็จะมีชีวิตที่ว่างสบายๆ ใช้เวลาไปกับการถางพื้นที่เพาะปลูกผักที่ถูกทิ้งร้างไปหลายปี และยังปลูกสวนผลไม้ไว้ข้างแปลงผักด้วย ทำตามคำฝากฝังของหลินซือเย่าตอนนั้น ดูแลที่เงียบสงบแห่งนี้ให้ดี

ผู้ใดจะคาดคิดว่า หนึ่งเดือนก่อน วัดอวิ๋นหลัวถูกกองกำลังหลายสิบคนเข้ามาครอง ยังบอกว่าเจ้าเมืองหลงเฉิงรับปากด้วยตัวเองแล้วว่าจะรื้อสร้างวัดอวิ๋นหลัวขนานใหญ่ สร้างเป็นเจดีย์แบบใหม่ตามที่พวกเขาบอก

หลังจากต่อต้านไร้ผล เจี้ยซิวก็ขังตัวเองอยู่ในห้องด้านข้าง นอกจากเตรียมอาหารวันละสามมื้อให้พวกที่มาเหล่านั้นแล้ว พวกนั้นก็ไม่ให้เขาเดินไปไหนโดยพลการ

ผ่านมาถึงตอนนี้ก็สี่สิบสามวันแล้ว