ตอนที่ 136 หลอกลวงด้วยความจริงใจ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 136 หลอกลวงด้วยความจริงใจ

ในที่สุดเยียนอวิ๋นเพ่ยก็ชนะสักครั้งแล้ว นางอยู่ต่อในเมืองหลวงสมดังปรารถนา

หลิงฉางเฟิงนำคนออกจากเมืองหลวงลงใต้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

แน่นอน สตรีอย่างเยียนอวิ๋นเพ่ยไม่สะดวกอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับหลิงฉางจื้อ

วันแรกที่หลิงฉางเฟิงออกจากเมืองหลวง นางก็ย้ายไปยังเรือนพักร้อนในเมืองหลวง ปิดประตูใช้ชีวิตของตัวเอง

สำหรับเรื่องของน้องชายและภรรยาของเขา ท่าทีของหลิงฉางจื้อคือพยายามไม่แทรกแซง ปล่อยให้พวกเขาสองคนจัดการกันเอง

หลิงฉางเฟิงไม่ยอมมีบุตรกับเยียนอวิ๋นเพ่ย หลังจากที่เขายุ่งมาสองครั้งแล้วก็ไม่อยากยุ่งอีก

หากให้เขาพูด หลิงฉางเฟิงผู้เป็นน้องชายก็แค่ขาดการสั่งสอน นิสัยเสียมากมาย

ตอนที่ยังไม่แต่งกับเยียนอวิ๋นเพ่ย ไม่ว่าสิ่งใดล้วนดี โปรดปรานอย่างมาก

เมื่อแต่งอีกฝ่ายกลับจวนมา มองสิ่งใดก็ขัดตา รังเกียจไปทุกอย่าง

เหมือนกับท่าทีที่เขารังเกียจเยียนอวิ๋นเฟยในตอนนั้น

สุดท้ายแล้ว หลิงฉางเฟิงก็แค่เป็นโรคที่ชายหนุ่มทุกคนเป็น ดอกไม้ในบ้านไม่หอมเท่าดอกไม้นอกบ้าน เมื่อได้มาแล้วก็ไม่รักษา สนใจเพียงสตรีด้านนอก

เยียนอวิ๋นเพ่ยส่งเทียบให้เยียนอวิ๋นเกอ เชิญนางมาเป็นแขกในจวนใหม่

เยียนอวิ๋นเกอให้เกียรติ ไปแล้ว

จวนขนาดเล็กที่มีเรือนสองหลัง ตกแต่งได้อย่างอบอุ่น

สาวรับใช้ล้วนเป็นสินสอดนำมาจากตระกูลเยียนมายังตระกูลหลิง เป็นคนสนิทของเยียนอวิ๋นเพ่ย

เยียนอวิ๋นเพ่ยเห็นเยียนอวิ๋นเกอ เห็นได้ชัดว่าดีใจอย่างมาก

“ข้าคิดว่าน้องอวิ๋นเกอจะไม่ให้เกียรติ ไม่คิดว่าจะกังวลเสียเปล่า”

เยียนอวิ๋นเกอนั่งลง พูดพลันหัวเราะ “เจ้าย้ายที่ ข้าย่อมต้องมาดู มิฉะนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าคงไม่รู้ต้องไปหาเจ้าที่ไหน”

“น้องอวิ๋นเกอช่างตลกเสียจริง ไม่ปิดบังเจ้า ถึงแม้จวนนี้จะเล็ก แต่ข้าอยู่ได้อย่างอิสระ ดีกว่าจวนใหญ่เสียอีก ทั้งด้านในด้านนอก ข้าสามารถตัดสินใจได้ทุกเรื่อง ความรู้สึกนี้ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอมองนาง “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าคงไม่อิสระนักในตระกูลหลิง”

เยียนอวิ๋นเพ่ยยิ้ม “แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ของตระกูลอื่นจะมีอิสระได้อย่างไร น้องอวิ๋นเกอเจ้ายังเด็ก ไม่รู้สถานการณ์ในนี้ รอเจ้าแต่งงาน เจ้าจะเข้าใจความยากของข้า”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว พลันพูด “เหตุใดหลิงฉางเฟิงไม่พาเจ้าออกจากเมืองหลวงไปด้วย”

เยียนอวิ๋นเพ่ยเม้มปากยิ้ม พูดด้วยรอยยิ้ม “เขาออกจากเมืองหลวงขนส่งเสบียงแทนราชสำนัก จะพาข้าไปด้วยได้อย่างไร น้องอวิ๋นเกอ ดื่มชา!”

เยียนอวิ๋นเกอยกแก้วชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ใบชาไม่เลว

เห็นได้ชัดว่าตระกูลหลิงไม่ได้ขาดตกบกพร่องต่อเยียนอวิ๋นเพ่ยในทางสิ่งของ

ความจริงแล้วระหว่างคนทั้งสองไม่มีเรื่องที่จะพูด

สาเหตุที่เยียนอวิ๋นเกอมาตามนัดก็เพื่อมาดู

เหมือนที่นางพูด รู้ที่อยู่ ต่อไปหากมีเรื่องก็รู้ว่าควรตามตัวที่ใด

ดื่มชาไปครึ่งแก้ว นางก็มีแผนการ คิดจะลุกขึ้นขอลา

ไม่คิดว่าเยียนอวิ๋นเพ่ยกลับอยากคุยกับนาง

“น้องอวิ๋นเกอจัดตั้งเรือนพักกว้างใหญ่ เพียงแค่ขายเสบียงก็มีรายรับไม่น้อย ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ตอนนั้นข้าออกเรือนอย่างเร่งรีบ สินสอดก็เตรียมไม่ทัน มีเพียงเงินทองจำนวนน้อย เวลานี้ปักหลักในเมืองหลวง เมืองหลวงเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ พี่เขยของเจ้าอาจอยู่รับราชการในเมืองหลวง ข้าจึงคิดอยากจะสร้างกิจการในเมืองหลวง ทางด้านนี้ น้องอวิ๋นเกอมีประสบการณ์มาก สามารถชี้แนะได้หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วพลันยิ้ม “เจ้าอยากสร้างกิจการในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว! ขอน้องอวิ๋นเกอโปรดชี้แนะ!”

เยียนอวิ๋นเพ่ยหนักแน่นอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างมีนัย “เจ้าอยากสร้างกิจการ เหตุใดจึงไม่ไปหาพี่ใหญ่เยียนอวิ๋นฉวน เขาเป็นบุรุษ เขาสามารถวิ่งหากิจการที่เหมาะสมแทนเจ้า เจ้าถามข้า คงจะถามผิดคนแล้ว”

เยียนอวิ๋นเพ่ยรีบพูด “ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ แต่ก่อนที่จะไปหาพี่ใหญ่ ข้าหวังว่าจะได้คำชี้แนะจากน้องอวิ๋นเกอ การสร้างกิจการในเมืองหลวงควรลงมือจากที่ใด”

เยียนอวิ๋นเกอพูด “เจ้าจะสร้างกิจการ คงหนีไม่พ้นร้านค้าหรือแปลงนา แปลงนาในเมืองหลวงราคาสูงมาก แปลงนาเล็กขนาดสามร้อยถึงห้าร้อยไร่ต้องใช้เงินกว่านับพันก้วน สู้เจ้าจัดตั้งร้านค้า ปล่อยเช่าหรือทำการค้าเองล้วนเป็นไปได้”

เยียนอวิ๋นเพ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แปลงนาไม่เหมาะสมหรือ แต่เหตุใดเจ้าจึงออกเงินไปบุกเบิกทำแปลงนา”

เยียนอวิ๋นเกอพูดตามความจริง “เจ้าก็พูดแล้ว ข้าบุกเบิกทำแปลงนา หากเจ้าต้องการทำแปลงนาจริง ไม่ต้องเลียนแบบข้าบุกเบิก เพราะเจ้าไม่มีต้นทุน หากเจ้ามีเงินเหลือก็ให้พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นฉวนหาแปลงนาให้เจ้า แต่ว่ารายรับของแปลงนามีจำกัด หาเงินไม่มากเท่าเปิดร้านค้า”

เยียนอวิ๋นเพ่ยสงสัยอย่างมาก “เหตุใดเจ้าทำแปลงนาจึงหาเงินได้”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา นางขยับเข้าใกล้พลันพูด “แปลงนาของข้ามีพื้นที่นับแสนไร่ ขายเสบียงทีละหลายพันหาบ ย่อมสามารถหาเงินได้ เจ้าสามารถทำแปลงนาหลายแสนไร่ในเมืองหลวงได้หรือ ข้าพูดกับเจ้าเช่นนี้ นอกจากบุกเบิก เจ้าไม่อาจซื้อแปลงนาเกินห้าพันไร่ในพื้นที่แถบนครบาล พื้นที่รอบนครบาลอย่างมากก็มีแปลงนาขนาดเล็กแค่สามร้อยถึงห้าร้อยไร่ หรือพันกว่าไร่ ยากที่จะเชื่อมต่อกันเป็นผืน”

เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่คิดว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นนี้ นางฉงนเล็กน้อย ก่อนจะเกิดคำถามใหม่ขึ้นมา

นางถามขึ้นด้วยความใจกล้า “น้องอวิ๋นเกอคิดเรื่องบุกเบิกได้ อีกทั้งยังมีผลประกอบการ เมืองหลวงมีตระกูลใหญ่มากมาย เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเลียนแบบน้องอวิ๋นเกอไปบุกเบิกบ้าง”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “เวลานี้มีผู้ลี้ภัยสองหมื่นคนบุกเบิกแทนข้า คนและม้าต้องกินอาหาร เสบียงที่สูญเสียไปในแต่ละวันเป็นตัวเลขมหาศาล เจ้าคิดว่าผู้ใดจะยอมสูญเสียเงินจำนวนมากไปบุกเบิกเพื่อแลกกับเงินอันน้อยนิดที่ได้จากการขายเสบียง หากมีต้นทุนนั้น สู้นำไปเปิดกิจการในเมืองหลวงเสียดีกว่า มีผลประกอบการมากกว่าการบุกเบิกอย่างมาก”

“การบุกเบิกมีมูลค่าสูงเช่นนี้ แต่น้องอวิ๋นเกอก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ…”

“อย่า เจ้าอย่าชมข้า ข้าเลือกบุกเบิกเพราะข้าไม่มีตัวเลือก ข้าเหมาะสมกับการบุกเบิกเท่านั้น”

เยียนอวิ๋นเกอพูดขัดเยียนอวิ๋นเพ่ย

เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่เข้าใจ อะไรคือไม่มีทางเลือก เหมาะสมกับการบุกเบิกเท่านั้น

จากที่นางดู เยียนอวิ๋นเกอมีเซียวฮูหยินหนุนหลัง อยากทำสิ่งใดย่อมทำได้ มีทางเลือกมากมาย

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา

สมองของเยียนอวิ๋นเพ่ยคู่ควรกับการเล่นแย่งชิงภายในจวนเท่านั้น อย่าได้เลียนแบบผู้อื่นสร้างรายได้ ระวังจะขาดทุนจนหมดเปลือก

แน่นอน คำแนะนำที่เยียนอวิ๋นเกอให้แก่เยียนอวิ๋นเพ่ยก็เป็นกลาง

ซื้อแปลงนาในพื้นที่นครบาลไม่คุ้มค่าจริงๆ

ราคาสูง ผลประกอบการต่ำ ไม่อาจเทียบการจัดตั้งร้านค้าได้

หากแคว้นชีและแคว้นหยวนไม่มีพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่ เยียนอวิ๋นเกอก็ไม่คิดจะบุกเบิก

ส่วนเยียนอวิ๋นเพ่ยจะฟังคำแนะนำของนางหรือไม่ นางคงควบคุมไม่ได้

อีกฝ่ายรั้งให้นางอยู่ทานอาหารเที่ยง เยียนอวิ๋นเกอกล่าวขอบคุณ ก่อนจะขอตัวลา

“ดื่มชาก็พอแล้ว อาหารเที่ยวคงไม่ต้องอยู่กิน ขอตัว!”

หลายวันผ่านไป

เยียนอวิ๋นเกอรู้จากเยียนอวิ๋นฉวนว่าเยียนอวิ๋นเพ่ยซื้อแปลงนาหนึ่งพันไร่ อีกทั้งยังซื้อหน้าร้านสองแห่งมาดำเนินการ

นางหัวเราะร่า พูดหยอกล้อ “เยียนอวิ๋นเพ่ยมีเงินเสียจริง! ท่านลุงสองกับท่านป้าสองรักนางเสียจริง เตรียมเงินก้อนใหญ่ให้นางนำไปยังตระกูลหลิง”

ปีก่อนซื้อจวน นางก็หลอกเงินเยียนอวิ๋นเพ่ยมาห้าพันก้วน

เวลานี้ เยียนอวิ๋นเพ่ยยังมีเงินเหลือซื้อแปลงนาและร้านค้า เห็นได้ชัดว่าในมือมีเงินมาก

คาดว่า หลังจากที่สองสามีภรรยาบ้านรองมาเมืองหลวง พวกเขาให้เงินนางมาไม่น้อย

ส่วนเรื่องการกินอยู่ย่อมมีตระกูลหลิงรับผิดชอบ

เยียนอวิ๋นเกอถามด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ไม่คิดจะสร้างกิจการในเมืองหลวงหรือ”

เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า “รากฐานของตระกูลเยียนอยู่ในรัฐโยวโจว ไม่จำเป็นต้องสร้างกิจการในเมืองหลวง มีจวนเพียงหนึ่งถึงสองแห่งก็เพียงพอแล้ว!”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ระยะก่อน พี่ใหญ่ลำเลียงเสบียงแทนท่านพ่อ คงเหนื่อยมากใช่หรือไม่!”

“น้องสี่อย่าหัวเราะข้าเลย ข้าก็แค่คนคอยวิ่งทำงาน ไม่เหนื่อยมากนัก หากแต่น้องสี่ทำการบุกเบิก สร้างกิจการขนาดใหญ่ ช่างน่าเคารพเสียจริง”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “แคว้นชียังมีพื้นที่รกร้าง หากพี่ใหญ่สนใจก็สามารถเกณฑ์กำลังคนไปบุกเบิกได้”

เยียนอวิ๋นฉวนหวั่นไหวขึ้นมาในชั่วขณะ

แต่ผ่านไปเพียงสามวินาที เขาก็สงบลง

เขาส่ายหน้าพลันอมยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องการบุกเบิก ข้าไม่สิ้นเปลืองแรงดีกว่า น้องสี่คุ้นชินกับการบุกเบิกแล้ว เจ้าซื้อพื้นที่รกร้างทั้งหมดในแคว้นชีลงมาดีกว่าหรือไม่”

“ข้าก็อยากซื้อ แต่ไม่มีเงิน”

เยียนอวิ๋นเกอแบมือร้องจน

เมื่อได้ยินนางบอกว่าจน ทันใดนั้นเยียนอวิ๋นฉวนเหมือนเผชิญข้าศึกหนัก ภายในใจสั่นสะเทือน

เขาตั้งสติขึ้นมา “หาเงินไม่พอก็ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน อันที่จริงจากขนาดของเรือนพักร่ำรวยในเวลานี้ก็เพียงพอแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอเห็นท่าทีกังวลของเขา จึงหัวเราะขึ้นมา “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ขอเงินท่าน”

เยียนอวิ๋นฉวนโล่งอก แต่ก็ยังคงระแวงอยู่

“ระยะนี้พี่ใหญ่ยุ่งหรือไม่” เยียนอวิ๋นเกอพูดคุยสัพเพเหระ

เยียนอวิ๋นฉวนไม่อาจคาดเดาความคิดของนาง จึงตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่ยุ่งมาก เพียงแค่มีนัดงานเลี้ยงบทกวี กับพบเจอมิตรสหาย”

เยียนอวิ๋นเกอพูด “ข้ามักได้ยินว่าการอ่านตำราเป็นหมื่นเล่มไม่สู้การเดินทางเป็นหมื่นลี้ พี่ใหญ่เคยคิดจะออกเดินทางเพื่อร่ำเรียนสักสองสามเดือน เพิ่มพูดประสบการณ์และรู้จักสหายที่มีความมุ่งมั่นเหมือนกันบ้างหรือไม่”

เยียนอวิ๋นฉวนตัวเกร็ง เยียนอวิ๋นเกอคิดจะทำอันใด

เขาพูดขึ้นตามตรง “ยังไม่มีแผนการออกเดินทางไปไกล”

“พี่ใหญ่ไม่คิดออกเดินทางจริงหรือ”

“น้องสี่เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด สู้พูดมาตามตรงเถิด ไม่ต้องอ้อมค้อม”

“พี่ใหญ่เป็นคนตรงไปตรงมา ข้าจะพูดตามตรง” เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจั: “นับแต่พี่ใหญ่ออกเรือน ข้าคิดถึงนางมาก ข้าเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งให้พี่ใหญ่ ล้วนเป็นน้ำใจของข้า หากพี่ใหญ่มีเวลาว่าง สามารถเดินทางไปแคว้นอวี้โจวแทนข้าสักครั้ง ส่งของขวัญให้พี่ใหญ่แทนข้าได้หรือไม่ พี่ใหญ่ก็สามารถใช้โอกาสนี้รู้จักบัณฑิตในอวี้โจว หากท่านได้รับการชื่อชมจากพี่เขย ท่านโหวผิงอู่ สืออุน ไม่แน่ว่าพี่ใหญ่อาจมีผลประกอบการที่ไม่คาดคิด”

เยียนอวิ๋นฉวนลังเล

ไปอวี้โจวที่ห่างไกลเช่นนั้น เขาไม่เต็มใจนัก

แต่ชื่อสื่อของอวี้โจวคือท่านโหวผิงอู่ สืออุน เพียงแค่เรื่องนี้ก็คุ้มค่าแก่การเดินทาง

แต่เขาไม่ได้ตอบรับเยียนอวิ๋นเกอทันที “น้องสี่ให้เวลาข้าคิดสองวันได้หรือไม่”

“ได้สิ!”

เยียนอวิ๋นฉวนเดินทางกลับจวนอย่างเร่งรีบเพื่อหารือกับหวังซือเย๋ว่าจะไปแคว้นอวี้โจวดีหรือไม่

หลังจากหวังซือเย๋ไตร่ตรอง เขาคิดว่าควรเดินทางไปแคว้นอวี้โจวดี

เยียนอวิ๋นฉวนก็เห็นด้วยกับการเดินทางไปแคว้นอวี้โจวดี

สองวันต่อมา เขาตอบรับเยียนอวิ๋นเกอ ส่งของขวัญไปยังแคว้นอวี้โจวแทนนางด้วยความดีใจ

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มแย้ม กำหนดแผนการเดินทางด้วยตนเอง อีกทั้งยังเตรียมของขวัญกว่ายี่สิบคันรถ วานให้เยียนอวิ๋นฉวนนำไปยังแคว้นอวี้โจว

นางส่งเยียนอวิ๋นฉวนออกจากเมืองหลวงด้วยตนเอง

โบกมืออำลา อวยพรอย่างจริงใจ

“ในที่สุดก็ส่งเยียนอวิ๋นฉวนจากไปได้เสียที!”

ไม่ง่ายเลย!

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าดีใจ

ส่งของขวัญเป็นเรื่องจริง ส่งเยียนอวิ๋นฉวนออกจากเมืองก็เป็นเรื่องจริง

ต่อจากนี้ นางจะสร้างเรื่องใหญ่