บทที่ 97 คุณสมบัติเทพเซียน พญาอสรพิษหยก

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 97 คุณสมบัติเทพเซียน พญาอสรพิษหยก
หญ้าต้นหนึ่งก็สามารถเป็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดได้ด้วย?

พิสดารจริง!

หานเจวี๋ยรีบตรวจสอบที่มาของมันทันที

[หญ้าโลกาสวรรค์: หนึ่งหมื่นปีก่อน เดิมทีเป็นแค่หญ้าเขียวธรรมดาต้นหนึ่ง บังเอิญมีเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ มานั่งสมาธิรู้แจ้งอยู่รอบๆ มัน เมื่อได้สัมผัสไอเซียนนับร้อยปี มันค่อยๆ หลุดพ้นจากการเป็นหญ้าธรรมดา ในช่วงหนึ่งหมื่นปีมักจะประสบกับการดับสูญ ก่อนการดับสูญแต่ละครั้งมันจะสลายเป็นขี้เถ้าปลิวกระจายในโลกมนุษย์ตามสัญชาตญาณ และเติบโตใหม่อีกครั้ง หญ้านี้มีคุณสมบัติจะเปลี่ยนเป็นหญ้าเทพ ไปจนถึงกลายเป็นเทพเซียนด้วย]

‘คุณสมบัติเทพเซียนหรือ

น่าตกใจไม่น้อยเลย!’

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

พลังชีวิตนี้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ยืนหยัดมาได้ถึงหมื่นปี

หานเจวี๋ยรับหญ้าโลกาสวรรค์ไว้ และกล่าวกับสิงหงเสวียนด้วยรอยยิ้ม “หญ้านี้ข้ารับไว้แล้ว หลายปีมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

สิงหงเสวียนดีใจมากกว่าเดิม เริ่มเล่าประสบการณ์ในหลายปีมานี้ให้ฟัง

หลายปีมานี้ สิงหงเสวียนกลายเป็นตัวเอกในนิยายกำลังภายในเทพเซียน กุมกระบี่เดินทางสุดหล้าฟ้าเขียว พบความอยุติธรรมระหว่างทางก็ชักกระบี่ช่วยเหลือ ทั้งปะทะผู้บำเพ็ญสายมาร บุกรุกสุสานโบราณ ตามล่าศัตรูคู่แค้น บุกสังหารเข้าไปในแดนปีศาจ

หานเจวี๋ยฟังจนอยากออกไปเผชิญโลกกว้างบ้าง

‘เดี๋ยวก่อน!’

หานเจวี๋ยระแวดระวัง

แม่นางผู้นี้จะต้องเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาหลอกล่อให้เขาออกไปแน่

ประสบการณ์สี่ร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้คือความสำเร็จ เมื่อหันกลับไปมองดู ไม่รู้ว่ามีศัตรูตัวฉกาจตั้งเท่าไรกลายเป็นกระดูกขาวเพราะไม่รู้พลังแท้จริงของเขา จะว่าไปแล้ว ศัตรูของเขานับว่ามีน้อย ก็แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ดูอย่างพวกโจวฝาน หยางเทียนตง สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น ซูฉี…

ทุกครั้งที่อ่านจดหมายแจ้งเตือนล้วนเห็นพวกเขาถูกโจมตี

หลี่ชิงจื่อก่อนหน้านั้นก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงออกไปข้างนอกก็ต้องทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้วันๆ อยู่แต่ในสำนักหยกพิสุทธิ์ กลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

“พอออกไปแล้วถึงรู้ว่าต้าเยี่ยนเล็กขนาดไหน ยกตัวอย่างเขตแก่นประจิมก็แล้วกัน หากสำนักหยกพิสุทธิ์อยู่ในเขตแก่นประจิมก็เป็นไม่ได้แม้แต่สำนักอันดับสอง สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ได้ล้วนอาศัยท่านพี่ค้ำจุนไว้ การจัดอันดับร้อยยอดผู้บำเพ็ญในใต้หล้าที่สั่นสะเทือนไปทั่วแดนบำเพ็ญพรตในช่วงนี้ ข้าว่าท่านพี่น่าจะอยู่ในอันดับต้นๆ เลย!”

สิงหงเสวียนยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงคนส่วนหนึ่งในชาติก่อนที่ได้กลับบ้านเกิดหลังจากระหกระเหินสู้ชีวิตในเมือง

ยังมีร้อยอันดับยอดผู้บำเพ็ญในใต้หล้าอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน

ของธรรมดา!

หานเจวี๋ยไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียง เน้นแค่ผลกำไรที่ได้รับ

รอจนสิงหงเสวียนกล่าวจบ หานเจวี๋ยถึงนำโอสถเพิ่มอายุขัยจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะเอ่ย “ของเหล่านี้มอบให้เจ้า คุณสมบัติของเจ้าธรรมดา ข้ากลัวว่าเจ้าจะตายเร็วเกินไป”

สิงหงเสวียนกลอกตา “ท่านพี่ก็รู้จักหยอกล้อข้าเล่นด้วย”

“ข้าเปล่า นี่ข้าจริงจัง”

“วางใจเถอะ ข้ากินไปนานแล้ว ยังมีของล้ำค่าฟ้าดินอีก อายุขัยของข้ายาวนานอยู่นะ”

“เช่นนั้นก็ดี”

“พูดถึงอายุขัย หลิ่วซานซินศิษย์เอกของยอดเขาหยกวิเวกที่ท่านเคยอยู่สิ้นไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ในสำนักหยกพิสุทธิ์มีสิ่งของและโอสถเพิ่มอายุขัยน้อยเกินไป หากเขาไปจากต้าเยี่ยนเร็วกว่านี้ บางทีอาจยังมีความหวังอยู่บ้าง”

สิงหงเสวียนถอดทอนใจกล่าว หานเจวี๋ยฟังแล้วอึ้งไป

เขามักจะรู้สึกว่าในรายชื่อสหายมีคนจำนวนหนึ่งหายไป แต่ว่าก็นึกไม่ออก

พูดถึงหลิ่วซานซิน หานเจวี๋ยยังจำได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้เคยบอกว่าจะดูแลตน

หานเจวี๋ยยังไม่ทันได้รับกวนเขา เขาก็จากไปเสียแล้ว

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง “ตั้งใจฝึกฝนเถอะ อย่าได้เป็นแบบศิษย์พี่หลิ่ว”

“ข้ายังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากโลกนี้ไป ข้ายังอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่”

จากนั้นหานเจวี๋ยก็ให้สิงหงเสวียนนำหุ่นเชิดสวรรค์ออกมา เขาต้องการปรับพลังวิญญาณให้หุ่นเชิดสวรรค์ใหม่

หลังจากใช้เวลาไปหลายวัน เขาก็เติมเต็มพลังวิญญาณหกสายให้หุ่นเชิดสวรรค์ ก่อนจะให้สิงหงเสวียนเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ

มีหุ่นเชิดแห่งสวรรค์อยู่ หานเจวี๋ยก็วางใจให้นางออกไปเผชิญโลกกว้างได้แล้ว

เดิมทีหานเจวี๋ยคิดว่าเรื่องคงจบลงเช่นนี้ ไม่นึกว่าสิงหงเสวียนจะอยู่พัวพันเขาอีกหนึ่งเดือน

เฮ้อ

หลังจากสิงหงเสวียนไปแล้ว หานเจวี๋ยนำหญ้าโลกาสวรรค์ออกมาปลูกไว้ในถ้ำเทวา

หญ้าต้นนี้เล็กเกินไป หากปลูกไว้ใต้ต้นฝูซังอาจถูกเหยียบตายเข้าสักวัน

เมื่อปลูกเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยยิ้มด้วยความพอใจ

ช่วงนี้อารมณ์ดีไม่น้อย ไม่สู้ไปสาปแช่งจูเชวี่ยกับโม่โยวหลิงให้ครื้นเครงใจสักหน่อย

……

ภายในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง หนามดินหลายต่อหลายเส้นที่ห้อยอยู่บนเพดานดูดุร้ายน่ากลัว ทั้งยังมีน้ำหยดลงมา

หนามดินหนึ่งในนั้นมีเอ็นโลหิตผูกอยู่ ด้านล่างมีคนสองคนถูกมัดไว้ พวกเขาคือโจวฝานกับมู่ฟู่โฉว ทั้งสองคนผมเผ้าสยายยุ่ง เสื้อผ้าขาดวิ่น บนตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ด้านล่างของพวกเขาเป็นหม้อขนาดใหญ่ ในหม้อมีน้ำมันเดือดพล่าน

เมื่อทอดสายตามองไป ภายในถ้ำมีแต่ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนมากกำลังงีบหลับ

โจวฝานกัดฟันกรอดพลางมองไปยังทิศทางหนึ่ง ทางนั้นมีปีศาจยักษ์ที่แปลงกายมาตนหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งที่นั่งแต่ยังสูงถึงห้าจั้ง ร่างกายกำยำ สวมเกราะหนักที่ทำจากเกล็ดอสรพิษ มีหัวอสรพิษอันดุร้ายอัปลักษณ์งอกออกมา

เงาร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างปีศาจอสรพิษ นั่นคือหยางเทียนตง ศิษย์เอกของหานเจวี๋ย

“ถุย! มารปีศาจชาติสุนัข!”

โจวฝานแอบด่า รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก

โม่ฟู่โฉวทอดถอนใจกล่าว “จะโทษเขาก็ไม่ได้ หากจะโทษก็ต้องโทษพวกเราที่โชคไม่ดี บุกเข้ามาในถิ่นของพญาอสรพิษหยกโดยไม่ทันระวัง เจ้ายังบุ่มบ่ามสังหารเสี่ยวจวนเฟิงปีศาจลาดตระเวนของพวกมันอีก”

โจวฝานได้ยินก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม แอบด่าว่า “เจ้านั่นกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เอาแต่พูดว่าเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ทั้งยังให้พวกเราคุกเข่าร้องขอชีวิตอีก ยังจะทนได้หรือ”

โม่ฟู่โฉวยิ้มขมขื่น ตอนนี้จะพูดอะไรก็สายไปแล้ว

อีกด้านหนึ่ง

พญาอสรพิษหยกกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะลั่น “ตงเอ๋อร์ เจ้าว่าจะจัดการสองคนนี่อย่างไรดี ต้มหรือว่าหลอมเป็นโอสถ”

หยางเทียนตงขมวดคิ้ว ตอบอย่างจนปัญญาว่า “พ่อบุญธรรม จะต้องฆ่าพวกเขาให้ได้เลยหรือ”

“พวกมันสังหารทหารปีศาจของข้า จะต้องตายเท่านั้น ตงเอ๋อร์ เจ้าอยากจะสืบทอดอำนาจของข้า ก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับเผ่ามนุษย์ มนุษย์กับปีศาจไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ นี่เป็นกฎแห่งฟ้าดิน ไม่อาจสั่นคลอนได้”

ครั้นได้ยินคำพูดของพญาอสรพิษหยก หยางเทียนตงแอบด่าในใจ ‘เจ้าคิดว่าข้าอยากเป็นปีศาจหรือ’

หยางเทียนตงได้ยินคำที่โจวฝานด่าตนเองก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

เมื่อปีนั้นเขากับโจวฝานถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจับตัวไป จึงต่อต้านด้วยกัน ถูกทุบตีด้วยกัน เกิดเป็นมิตรไมตรีที่ลึกซึ้ง ตอนนี้เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด หากให้เขามองดูพวกโจวฝานสองคนถูกต้มทั้งเป็น เขาจะไปสู้หน้าสำนักหยกพิสุทธิ์อย่างไร จะสู้หน้าหานเจวี๋ยอย่างไร

‘วันหน้า ยามข้ากลายเป็นเทพปีศาจ จะต้องสังหารรราชาปีศาจอย่างพวกเจ้าให้สิ้นซาก!’

หยางเทียนตงโกรธจนรู้สึกแน่นหน้าอก

เขาออกมาจากต้าเยี่ยนก็เพราะราชาปีศาจเตี่ยนซู่ควบคุมเผ่าปีศาจไว้เพียงผู้เดียว เขาไม่อาจกุมอำนาจได้ ดังนั้นถึงอยากออกมาเผชิญโลกกว้างในดินแดนอื่นของเผ่าปีศาจ

เขาต่อสู้มาตลอดทาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสามารถยึดกองทัพปีศาจได้กลุ่มหนึ่ง สุดท้ายก็มาพบกับพญาอสรพิษหยก

พญาอสรพิษหยกควบคุมทหารปีศาจนับล้าน มีชื่อเสียงบารมีสูงมากในเผ่าปีศาจใต้หล้า ถ้าหยางเทียนตงเผชิญหน้าด้วยจะรับมือไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

พญาอสรพิษหยกรู้สึกว่าสายเลือดของเขามีคุณสมบัติไม่เลว จึงรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม เขาได้แต่ใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขเพื่อรักษาชีวิตไว้ และรอโอกาสหนีหรือสังหารกลับ ต่อมาก็พบกับพวกโจวฝานที่ถูกจับไว้

วาสนาเช่นนี้ทำให้หยางเทียนตงทุกข์ทนมาก

‘หรือไม่ก็ให้อาจารย์ช่วย’

ความคิดเช่นนี้ปรากฏในหัวของหยางเทียนตง แต่ก็ถูกปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว

ห้ามรบกวนอาจารย์เด็ดขาด!

ขณะนั้นเอง

ปีศาจอินทรีตัวหนึ่งบินเข้ามา ก่อนพูดเสียงสูงว่า “จอมราชา ผู้บำเพ็ญที่บอกว่าตนเองคือตงหวางเซียนแห่งสำนักไร้ลักษณ์กำลังร้องเอะอะอยู่ด้านนอก บอกว่าจะสังหารพวกเราให้สิ้นซากเพื่อแก้แค้นให้อาจารย์ของมัน! มันแข็งแกร่งเกินไป! พวกผู้น้อยไม่อาจต้านทานได้!”

พญาอสรพิษหยกได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงแล้วจึงกล่าว “สำนักไร้ลักษณ์? พอดีเลย ข้ามีความแค้นกับเฒ่าประหลาดอู้เต้าอยู่พอดี!”

เขาลุกขึ้นทันที ไอปีศาจที่น่ากลัวปะทุออกมา ทำให้ทั่วทั้งถ้ำใต้ดินสั่นสะเทือน

“ตงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่แหละ คอยดูพวกมันให้ดี หวังว่าตอนที่ข้ากลับมาพวกมันจะลงหม้อไปแล้ว!”

พญาอสรพิษหยกกลายเป็นไอปีศาจสีเขียวหายวับไปในอากาศ

หยางเทียนตงมองพวกโจวฝานสองคนอีกครั้ง จมอยู่กับความคิดขัดแย้งในใจ

จะอาศัยโอกาสนี้ช่วยพวกเขาดีหรือไม่?

……………………………………….