จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 99 มัจจุราชกล้ํากราย

หุบเขาเสวียนคง

” พี่จ้าว ท่านคิดว่าเจ้าเด็กตระกูลฉินนั้นยังรอดอยู่หรือ? พวกเราก็เห็นกับตาว่าหน้าอกของมันเหวอะหวะเสียขนาดนั้นไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว” หลิวปาเอ่ยขึ้นทําลายความเงียบ

สีตระกูลใหญ่ของเมืองชิงเหอล้วนสวามิภักดิ์ต่อหยางฮง

พวกเขามายังหุบเขาเสวียนคงตามบัญชาจากหยางฮง หลังจากสิ้นเทียนหนี้ไปแล้ว ภัยคุกคามของตระกูลหยางก็ลดลง อย่างไรเสียฉุนเทียนก็เป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะเป็นปีศาจขนาดไหน ไม่มีสามปีห้าปีก็ยากจะก้าวหน้า

แต่แน่นอนว่าหยางฮงย่อมจินตนาการการพัฒนาของฉันเทียนไม่ออก

เขายังคิดว่าฉันเทียนก็ไม่ต่างอะไรจากลูกไก่ในกํามือ

ขณะเดียวกัน หยางหลินได้ใช้วิชาสับกลิ่นอายดึงชะตาอันท้าทายสวรรค์ของอขึ้นมานออกมาอีกด้านหนึ่งหยางฮงมุ่งมั่นที่จะสับสังหารฉุนเทียนให้ตาย เขาจะไม่ปล่อยภัยแฝงเร้นของตระกูลหยางและอาณาจักรของเขาให้คงอยู่

จ้าวอู่ตี้ ประมุขตระกูลหลิว หลิวปา ประมุขตระกูลจาง จางไท่ซาน พร้อมทหารเกราะทองกลุ่มหนึ่งเข้ามาในหุบเขาเสวียนคงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเพื่อตามหาร่องรอยของฉันเทียน

จ้าวอู่ตี้หยุดมองโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบว่า “เจ้าเด็กตระกูลฉินนั่นไม่ใช่เรียบง่ายงานชุมนุมสี่ตระกูลใหญ่คราวนั้น เจ้าทั้งสองไม่ควรหยุดข้าเอาไว้เลย หากมันโชคดีมีชีวิตรอดไปได้ มันจะต้องย้อนกลับมาฆ่าพวกเราเป็นแน่ ถึงตอนนั้นพวกเราคงไม่มีที่ให้ซ่อนตัวแล้ว”

จางไท่ซานและหลิวปาหัวเราะฝืดเสื้อนพลางสบถค่าอยู่ในใจ เป็นผู้ใดที่ตอนนั้นไร้เหตุผลไม่สนใจผู้ใดในสายตา?

ถึงอย่างนั้น เมื่อคิดตามสิ่งที่จ้าวอู่ตี้กล่าว พวกเขาก็คิดย้อนไปถึงงานชุมนุมคราวนั้น พวกเขาไม่ควรออกหน้าขัดขวางเลยจริงๆ นั่นเป็นปัญหาของตระกูลฉิน ทําไมพวกเขาถึงหน้ามืดตามัวเข้าไปประสมโรงด้วยกัน? ตอนนี้สีตระกูลใหญ่ล้วนกลายเป็นข้ารับใช้ของหยางซึ่งเป็นการยั่วยุปีศาจร้ายฉุนเทียนไม่แน่ใจว่าเมื่อใดฉินเทียนจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเขา

ตั้งแต่งานชุมนุมสี่ตระกูลใหญ่จนถึงเหตุการณ์ที่เมืองขอบนภา มันเป็นเวลาเพียงสามปีเท่านั้น และฉุนเทียนก็ตัดผ่านระดับสี่ขั้นก่อเกิดวิญญาณมาถึงระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณความเร็วระดับนี้ออกจะเร็วเกินไปแล้ว ทําให้ผู้คนนึกสงสัยว่าเขาบ่มเพาะด้วยวิธีใดกันแน่คนอื่นๆต้องใช้เวลานับสิบปีเพื่อบรรลุขั้นรวบรวมวิญญาณแต่ฉันเทียนใช้แค่สามปีเท่านั้น

ไม่เพียงความเร็วในการบ่มเพาะจะน่ากลัว ปริมาณปราณในจุดตันเถียนของเขายังน่ากลัว งกว่า

ความหนาแน่นพลังปราณของฉันเทียนนั้นเปรียบเสมือนมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต คล้ายไม่มี วันแห้งเหือดระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณที่ประชันกับขั้นกลั่นวิญญาณทั้งยังเอาชนะได้ นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่หุบเขาเสวียนคง จ้าวอู่ตี้ก็มีลางสังหรณีอัปมงคล

ในหมู่คนทั้งสามจากเมืองชิงเหอ มีเพียงเขาที่เพาะสร้างความแค้นกับฉุนเทียนอย่างลึกล้ําหากพบเจอกันอีกเขาจะต้องรีบกําจัดฉินเทียนโดยเร็วเพื่อไม่ให้เหลือภัยร้ายไว้

ดังนั้นเมื่อหยางฮงส่งเขามาไล่ล่าฉุนเทียน เขาก็ตกปากรับคําทันที

ทั้งกลุ่มค่อยๆล่วงลึกเข้าไปในหุบเขาเสวียนคง

ภายในถ้ําแห่งหนึ่ง ฉินเหลียนลืมตาขึ้นพลางขมวดคิ้ว บรรยากาศที่ผ่อนคลายพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นจิตสังหาร “กล้าส่งตัวเองมาถึงที่!”

นางลุกขึ้นเดินไปที่ปากถ้ําก่อนจะจ้องมองไปในป่า “ผ่านไปสามวันแล้ว ทําไมเทียนเอ๋อยังไม่กลับมาอีกนะ? เกิดอะไรขึ้น?”

ฉินเหลียนเริ่มกังวล

หุบเขาเสวียนคงเต็มไปด้วยภัยอันตราย แม้ฉันเทียนจะมีเครื่องรางมิติลี้ภัยอยู่กับตัวสองชิ้นแต่หากเผชิญกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง เขาอาจใช้ไม่ทันการณ์ก็ได้

คิดถึงตรงนี้ นางก็ยิ่งกังวล ในใจปั่นป่วนว้าวุ่น

สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจ้าวอู่ตี้และคนอื่นๆที่ใกล้เข้ามา ฉินเหลียนก็พึมพํา ”จัดการพวกเขา ก่อนแล้วค่อยตามหาเทียนน้อย”

“ผู้ที่รังแกเทียนน้อยล้วนต้องตาย!”

ยากจะจินตนาการได้ว่าหญิงสาวที่สูงส่งบริสุทธิ์อย่างนางจะกล่าวถ้อยคําอาฆาตเช่นนี้ หากมีคนมาได้ยินคงตกใจมากแล้ว

หญิงสาวชุดกระโปรงขาวทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะหายเข้าไปในป่า

จิตสังหารแผ่กระจายออก สร้างความหวาดกัลวต่อสัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบ

จ้าวอู่ตี้ซึ่งสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามาก็หยุดฝีเท้าก่อนจะกล่าวว่า “มีคนกําลังมา”

เพิ่งสิ้นเสียง ฉินเหลียนที่เย็นชาราวน้ําแข็งพันปีก็จ้องมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา

“เส้นทางดีๆมีไม่เลือกเดิน ดูเหมือนพวกเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตแล้ว” ฉินเหลียนแค่นเสียงเย็นพลิกมือวบหนึ่งกระบี่เล่มบางก็ปรากฏ บนตัวกระบี่มีเส้นด้ายสีเงินพันอยู่โดยรอบราวอสรพิษปลดปล่อยความเย็นยะเยือกออกมา

เมื่อฉินเหลียนปรากฏตัวขึ้น จ้าวอู่ตี้ก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพิจารณาผู้มาดีๆแล้วเขาก็เผยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “แม่นางผู้สูงส่งโปรดอย่ามีโทสะ พวกเรามาดี”

“มาดี?” ฉินเหลียนหัวเราะอย่างเย็นชา “จ้าวอู่ตี้ ข้าทราบถึงสาเหตุที่เจ้ามายังที่นี่”

จ้าวอู่ตี้ตกตะลึงพลางหน้าเปลี่ยนสี “ท่านรู้จักข้า?”

เขาจ้องมองฉินเหลียนอยู่หลายครั้งก่อนจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอนางมาก่อนดูจากลักษณะท่าทางของนางแล้ว สมควรมาจากสํานักชื่อดังสมองพยายามคิดทบทวนแต่ก็ยังจตจําไม่ได้ว่าเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อน

“ฉินเหลียน?! เด็กหญิงที่ต้องตาผู้อาวุโสนิกายจิงชิงจนพาตัวกลับไปด้วย” จางไท่ซานตาเป็นประกายขณะกล่าวออกมา

ตอนนั้นฉันเหลียนที่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสนิกายจิงซึ่งทําให้เมืองชิงเหอแตกตื่นอย่างมากเหตุผลที่ทําไมเขาถึงจํานางได้ก็เพราะเคยเห็นนางเมื่อสิบปีก่อนสิบปีผ่านไปนางก็ไม่ได้แตก ต่างจากเดิมสักเท่าใด

“ศิษย์ตระกูลฉิน?” จ้าวอู่ตี้แค่นเสียงพลางปลดปล่อยแรงกดดันออกมา เขาเข้าใจแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรผู้ที่ช่วยฉันเทียนหนีไปคือนางนี่เอง ทั้งยังช่วยไปได้ภายใต้เงื้อมมือของหยางฮงความแข็งแกร่งของนางแน่นอนว่าไม่อ่อนแอ

ถึงตอนนี้ทุกคนก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม ต่างคนต่างหยิบอาวุธออกมา

”อาศัยพวกเจ้าหรือ…”

ก่อนที่นางจะกล่าวจบ หลิวปาก็ลงมือแล้ว เขาโจมตีออกด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดของผู้บ่มเพาะระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณพลังปราณของเขาควบแน่นเป็นก้อนก่อนจะทุบฟาดลงมา

“ลอบโจมตี?”

” ต่ําช้า” นางกล่าวเสียงเรียบพลางรวบรวมพลังปราณไปที่กระบี่ เผชิญหน้ากับการลอบโจม ตีของหลิวปา แววตาของนางฉายแววเหยียดหยาม “เหล่าผู้ที่รังแกเทียนน้อยล้วนต้องตาย!” 265

กลิ่นอายที่เปลี่ยนไปของนางทําไมฟ้าดินต้องสั่นสะเทือน

ที่ด้านหลังของนางเงานางเซียนปรากฏขึ้นพลางสะบัดห่วงวิเศษป้องกันการโจมตีจากค้อนของหลิวปา

พริบตาถัดมา กระปเล่มบางของฉินเหลียนก็กระพริบวูบ กระปราณนับพันพุ่งทะยานออก

ไป…………

ฉีก ฉีก ฉีก…….

บนร่างหลิวปาปรากฏรูโลหิตขึ้นหลายรู เขารีบถอยหนีด้วยใบหน้าซีดเผือด

ผู้บ่มเพาะระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณพ่ายแพ้ในท่าเดียวจ้าวอู่ตี้ขนหัวลุกแล้ว รัศมีพลังปราณสีแดงพวยพุ่งขึ้นฟ้าก่อเป็นเงาร่างเทพสีแดง..

“เหอเหอ……….”

เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นขณะที่ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยพลังชั่วร้าย เสียงเยาะเย้ยนี้ยังแฝงด้วยความตื่นเต้นและจิตสังหารอันลึกล้ํา………

“เทียนน้อย!” ฉินเหลียนดีใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม

รูม่านตาของจ้าวอู่ตี้หดตัว เขาพลันโพล่งออกมา “ขั้นกลั่นวิญญาณ?!”