ตอนที่ 133 พ่อแท้ ๆ ของฉันเป็นยอดวีรบุรุษเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 133 พ่อแท้ ๆ ของฉันเป็นยอดวีรบุรุษเหรอ?

ตอนที่ 133 พ่อแท้ ๆ ของฉันเป็นยอดวีรบุรุษเหรอ?

หลังจากที่หลินเซี่ยกลับถึงบ้าน เธอก็ล้างหน้าล้างตา และเปิดทีวีดู

พอบ้านหลังนี้เหลือแค่เธอคนเดียว บรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบเหงา ตอนนี้เธอมีเวลาว่างแล้วจึงอดกังวลเกี่ยวกับเฉินเจียเหอไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนแล้ว

ถ้าเขาอยู่ในที่เกิดเหตุ สภาพแวดล้อมจะต้องรุนแรงมากแน่

เมื่อคิดถึงการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากตามที่พวกเขาบอก หลินเซี่ยก็รู้สึกหดหู่ เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงมากแน่จากเหตุการณ์ดังกล่าว

หลินเซี่ยหยิบบัตรประจำตัวของเธอออกจากกระเป๋า มองดูมันด้วยความเศร้าโศกในใจ

ก่อนหน้านี้พวกเขาตกลงกันว่าจะรอจนกว่าแม่ของเธอจะนำบัตรประจำตัวมาให้ แล้วไปจดทะเบียนกันที่อำเภอ

ตอนนี้เธอมีบัตรประจำตัวอยู่ในมือแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเฉินเจียเหอจะกลับมาเมื่อใด

เธอเห็นซองจดหมายที่โจวเจี้ยนกั๋วฝากมาให้เธอในกระเป๋า จึงวางบัตรประจำตัวลง หยิบจดหมายข้างในออกมาและเปิดอ่าน

โจวเจี้ยนกั๋วบอกในจดหมายว่าโรงงานของพวกเขาได้เริ่มทำการผลิตตัวอย่างเครื่องหยอดเมล็ดข้าวโพดที่เธอออกแบบ และทำการทดสอบภาคสนามแล้ว ผลก็คือมันใช้งานง่ายมาก

ประสิทธิภาพการหว่านเมล็ดด้วยเครื่องสูงกว่าวิธีการหว่านด้วยมือแบบเดิมหลายเท่า นอกจากนี้ผู้คนไม่จำเป็นต้องโก้งโค้งตลอดเวลา สามารถหว่านขณะยืนได้ ความลำบากในการใช้แรงงานจึงลดลง แต่ประสิทธิภาพการหว่านดีขึ้น นี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์อย่างแท้จริง

พวกเขาจัดประชุมในโรงงาน และตัดสินใจมอบรางวัลให้เธอเป็นเงินห้าร้อยหยวน

ต่อจากนี้ไป เครื่องจักรกลการเกษตรนี้จะถูกนำไปผลิตในจำนวนที่มากขึ้น แล้วจำหน่ายออกสู่ตลาด โดยอาจเป็นที่นิยมของเกษตรกรเมื่อถึงหน้าเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลินี้

ในอนาคตเครื่องนวดเมล็ดข้าวโพดก็จะถูกผลิตเป็นรายการต่อไป ถ้าหลินเซี่ยมีไอเดียเครื่องจักรใหม่ ๆ อยากยื่นขอรับสิทธิบัตร ก็สามารถคิดค้นและให้โรงงานของตนผลิตเครื่องดังกล่าวได้

หลินเซี่ยมีความสุขมากเมื่อได้อ่านจดหมายของโจวเจี้ยนกั๋ว

อย่างน้อยการเกิดใหม่ของเธอก็ถือว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้ชาวนา

เงินตอบแทนห้าร้อยหยวนนี้มีประโยชน์มาก เพราะทำให้เธอไม่ต้องรบกวนสมุดบัญชีธนาคารของเฉินเจียเหอ

เธอเก็บซองจดหมายและหยิบเงินออกไป สายตามองไปที่สมุดบันทึกส่วนตัวของเสิ่นอวี้อิ๋งอีกครั้งบราวนี่ออนไลน์

ช่วงบ่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ เธอพลิกเปิดดูแค่สองหน้า ไม่ได้อ่านส่วนที่เหลือเลย

ในขณะนี้เธออยู่คนเดียวที่บ้าน จึงตัดสินใจไล่อ่านบันทึกแต่ละหน้าอย่างระมัดระวัง หลังจากอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ บางทีเธออาจจะพอเข้าใจต้นเหตุของจิตใจที่มืดมนซึ่งอยู่เบื้องหลังใบหน้าเสแสร้งและน่าสงสารของเสิ่นอวี้อิ๋งขึ้นมาบ้าง

เนื้อหาภายในเริ่มต้นในปี 1987 โดยมีการบันทึกเหตุการณ์ในแต่ละวันเป็นระยะ ๆ

แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเสิ่นอวี้อิ๋งมีความทะเยอทะยานสูงมาก หล่อนดูถูกผู้คนในหมู่บ้าน และไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดกับสมาชิกตระกูลหลิน แม้ภายนอกหล่อนจะทำตัวเชื่อฟัง แต่จริง ๆ แล้วเป็นกบฏคนหนึ่ง

คำว่ากบฏยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเป็นหล่อน

ภายในใจนั่นเต็มไปด้วยความดำมืดแค่ไหนกันนะ

นอกจากนี้หล่อนยังบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เธอแอบชอบอีกด้วย บอกว่าเขาเป็นเหมือนบัณฑิตหน้าขาว เรียนเก่ง เกิดในตัวอำเภอ ครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวย

เหตุผลที่รายรับรายเดือนของหลิวกุ้ยอิงจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราวไม่เพียงพอสำหรับค่าครองชีพของเสิ่นอวี้อิ๋ง ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเสิ่นอวี้อิ๋งเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับเด็กชายคนนั้น

จากความหมกมุ่นกับเด็กชายคนนั้นในตอนแรก กลับกลายเป็นการแก้แค้นหลังจากถูกเขาปฏิเสธ

หล่อนตัดสินใจประชดโดยการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพี่ชายของเจิ้งต้าหมิง

หลินเซี่ยเปิดข้ามไปสองสามหน้า ขณะที่อ่านผ่านตาก็เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋งเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อตระกูลหลิน และดูถูกหลิวกุ้ยอิงอย่างที่สุด

น่าแปลกจริง ๆ คนตระกูลหลินต่างเล่าตรงกันว่าพวกเขาดีกับเสิ่นอวี้อิ๋งมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนเสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่รู้เสียหน่อยว่าตัวเองเป็นลูกสาวที่อุ้มผิดมาจากครอบครัวในเมือง

ในฐานะสมาชิกครอบครัว หล่อนไม่ควรมีทัศนคติแบบนั้นต่อตระกูลหลิน

เธอสำรวจเนื้อหาที่ตัวเองอ่านข้ามไปซ้ำอีกครั้ง

ในที่สุดเธอก็พบคำตอบของข้อสงสัยในไดอารี่ตอนปี 1987

มันถูกเขียนขึ้นไม่นานหลังจากที่หลินต้าฝูเสียชีวิต

หล่อนเขียนไว้ว่า :

“พ่อจับมือฉันไว้ก่อนจะตายจากไป ฉันเสียใจมาก เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันเสียใจที่ไม่รีบถามเขาในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ฉันจำได้ราง ๆ ว่าตอนที่ฉันอายุได้หกขวบ โรคเก่าของฉันกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง พ่อพาฉันไปที่บ้านของหมอแผนจีนชื่อหมอเย่เพื่อรับการรักษา ตอนที่ฉันนอนอยู่บนเตียง บังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับหมอเย่อย่างคลุมเครือ

เหมือนหมอเย่จะถามเขาว่า เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ฉันได้ยินเขาตอบกลับตอนที่ตัวเองเกือบเคลิ้มหลับว่า กุ้ยอิงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร ตั้งแต่เขาแต่งงานกับหล่อน เขาต้องรับผิดชอบทั้งสองชีวิต

ดูเหมือนเขาจะพูดด้วยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นยอดวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ ดังนั้นเด็กจึงควรได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด

ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไปที่จะแน่ใจว่าเขาพูดถึงใคร แต่หลายปีต่อมา ด้วยเบาะแสบางอย่าง ฉันมักจะรู้สึกเสมอว่าหลินต้าฝูไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของฉัน

ถึงอย่างนั้นเขาก็ใจดีกับฉันมาก ไม่ว่าฉันจะทำอะไรไม่ดี เขาก็ยอมอดทน ไม่เคยดุฉัน และไม่ปล่อยให้ครอบครัวดุด่าฉันด้วย ตอนที่ครอบครัวยากจนข้นแค้น เขาก็เสียสละบะหมี่แป้งขาวให้ฉันทั้งหมด ช่วงปีใหม่ปีนี้ฉันกลายเป็นคนเดียวในบ้านที่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ จนหลินจินซานไม่พอใจมากเพราะพ่อดีกับฉันจนถึงขั้นลำเอียง

เขาพูดไม่ผิดหรอก ดูเหมือนว่าเขาจะใจดีกับฉันจนเกินเหตุ

ฉันอยากรู้ความจริงมาตลอด แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ไม่มีทางสืบรู้ได้เลย

ฉันลองถามหลิวกุ้ยอิง แต่หล่อนนิ่งเงียบเหมือนคนใบ้ ไม่ยอมพูดอะไรเลย และก้มหน้าก้มตาทำงานหนักหาเช้ากินค่ำต่อไป ฉันล่ะเกลียดหล่อนจริง ๆ เกลียดหล่อนที่คอยทำตัวห่างเหินจากฉันอยู่เรื่อย เกลียดทุกคนในครอบครัวนี้ พวกเขาโง่เขลา หยาบคายไร้การศึกษา ไม่สิ ยังมีคนหนึ่งที่มีความสามารถ

ถ้าฉันเป็นลูกสาวของยอดวีรบุรุษที่ว่าจริงละก็ ฉันควรจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ แทนที่จะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาห่างไกลแห่งนี้ แล้วปั้นหน้าอยู่กับกลุ่มคนที่ทั้งโง่ทั้งไม่ได้เรื่อง”

ใบหน้าของหลินเซี่ยเต็มไปด้วยความตกใจเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้

อย่างนี้นี่เอง ตอนที่เสิ่นอวี้อิ๋งยังอยู่ในชนบท หล่อนเริ่มสงสัยว่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเองเป็นคนอื่นแล้วงั้นเหรอ?

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

หล่อนเป็นคนเจ้าแผนการมาตั้งแต่อายุยังน้อย ชาติที่แล้วตระกูลหลินถึงได้ตกอยู่ในกำมือของเธอ ซึ่งไม่ยุติธรรมเลย

ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นเรื่องจริง และคนที่หลินต้าฝูพูดถึงว่าเป็นมหาบุรุษที่สละชีวิตเพื่อประเทศคืออดีตสามีของหลิวกุ้ยอิงจริง พ่อแท้ ๆ ของเธอก็ควรจะตายไปแล้ว

แต่ก่อนที่เธอจะสิ้นใจตายในชาติก่อน คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งกลับชวนให้ฉุกคิด

หล่อนพูดว่า “นังงี่เง่าเอ๊ย เสียแรงจริง ๆ ที่แกมีพ่ออำนาจล้นฟ้าขนาดนั้น…ฉันจะไม่ยอมให้แกมีโอกาสเจอเขาเด็ดขาด ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาต้องตกเป็นของฉันเท่านั้น!”

ดังนั้น…

หลังจากเสิ่นอวี้อิ๋งกลับไปอยู่ในเมืองไห่เฉิง ชาติก่อนหน้านอกจากอีกฝ่ายจะสืบรู้ว่าใครเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอแล้ว ยังพบว่าชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เสิ่นอวี้อิ๋งเองก็มีความสัมพันธ์กับเขาด้วยงั้นเหรอ?

เพราะอย่างนี้นี่เอง หลังจากถูกเปิดเผยภูมิหลัง เสิ่นอวี้อิ๋งก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไห่เฉิง อาศัยความหน้าซื่อใจคดของตัวเองหลอกล่อให้เธอกลับเข้าสู่ตระกูลเสิ่น แล้วใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อควบคุมชีวิตเธออย่างสมบูรณ์

เหตุผลก็เพราะมันสะดวกกว่าสำหรับการตามติดเธอทุกการเคลื่อนไหว ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวของมหาบุรุษคนนั้นมาตามหาเธอจริง ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งสามารถรับรู้ได้ทันที

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินเซี่ยก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาจากฝ่าเท้า

แต่สิ่งที่ทำให้เธองงงวย คือถ้าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนอื่น แล้วทำไมหลิวกุ้ยอิงถึงปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้กันล่ะ?

ถ้าทุกอย่างเป็นจริงตามที่เขียนไว้ในไดอารี่ของเสิ่นอวี้อิ๋ง ชายคนนั้นก็คือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ นี่ถือเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจและไม่ควรปิดบังซ่อนเร้นอย่างนี้นี่นา

ปัญหานี้รบกวนจิตใจจนหลินเซี่ยข่มตานอนไม่หลับทั้งคืนอีกครั้ง

พรุ่งนี้เธอตั้งใจว่าจะไปหาหลิวกุ้ยอิงเพื่อขอคำอธิบาย แต่จากการลองหยั่งเชิงในสองครั้งแรก หลิวกุ้ยอิงเอาแต่หลีกเลี่ยงคำถามและแสดงท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

สงสัยเหลือเกินว่าหล่อนซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ผู้แปลก็อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าความลับที่ว่าคืออะไร แล้วยัยอวี้อิ๋งมันจะชั่วไปสุดถึงที่ไหน

ไหหม่า(海馬)