“ยังคิดว่าเจ้ากะจะตั้งรกรากเมืองหลวงไม่กลับมาแล้วเสียอีก” พอได้ยินว่าซูสุ่ยเลี่ยนกลับมาแล้ว เจียงอิ้งอวิ๋นก็หาเวลาว่างมาเยี่ยมนางที่เมืองฝานฮัว มองดูสตรีตัวน้อยที่ไม่เห็นมาครึ่งเดือนยิ่งงดงามกว่าเดิม อดหัวเราะสัพยอกไม่ได้ “ข้าว่านะ ไปมาครั้งนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่การเดินทาง ไม่ถูกลมฝุ่นยามเดินทางทำหมองก็แล้ว ไป ทำไมยังยิ่งดูยิ่งงามกว่าเดิมอีกล่ะ พูดมาตามตรง หนุ่มบ้านเจ้าบำรุงเจ้าด้วยอะไร”

“ตรงไหนกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ฟังเจียงอิ้งอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ประคองสองแก้มนางอย่างนึกสงสัย คิดถึงคืนนั้นที่พักในเมืองสุ่ยเยว่ ถูกอาเย่ารังแกจนนางส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด เขากระซิบข้างหูนางว่า นี่คือวิธีการที่ดีในการรักษาความงามสตรีให้เยาว์วัยอยู่เสมอ เป็นไปได้ไหม สุดท้ายเขามอบความร้อนผ่าวเข้าสู่กายนาง เป็นเคล็ดลับที่รักษาความงามอ่อนเยาว์ของสตรีได้จริงหรือ

“นี่ ข้าก็แค่ถาม เจ้าคิดไปถึงไหนกันเนี่ย ถึงกับหน้าแดงเลย?” เจียงอิ้งอวิ๋นค้อนนาง ไม่สนใจสตรีที่กำลังเขินหน้าแดง หันไปหยอกล้อกับทารกแฝดที่กำลังคลานอยู่บนตั่งอุ่นดีกว่า

“ใช่แล้ว สุ่ยเลี่ยน โรงหมอหยางจิ้งจือเปิดแล้ว ข้าควรมอบอะไรให้ดี” เจียงอิ้งอวิ๋นถามพลางยกกลองป๋องแป๋งหลอกล่อให้ทารกแฝดคลานมาหานาง

“เจ้าอยากมอบอะไรก็มอบสิ หรือว่ามีอะไรต้องห้ามหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติพลางตบสองแก้มร้อนฉ่าของตนเอง หันไปถามเจียงอิ้งอวิ๋นอย่างไม่เข้าใจ

“ห้ามก็ไม่มีอะไรห้ามนะ แต่ทว่าเห็นการตกแต่งโรงหมอพวกนางแล้ว ของขวัญที่ข้าคิดไว้เหมือนว่ายากจะใช้งานได้” เจียงอิ้งอวิ๋นกล่าวอย่างกลัดกลุ้มใจ

กลับมาเมืองฝานฮัวได้สิบวัน หยางจิ้งจือกับชิงหลันก็ไปซื้อบ้านที่แบ่งเป็นสามห้องได้หลังหนึ่งบนปากทางถนนตะวันตกของเมืองฝานลั่ว กะว่าจะเปิดทำการในวันที่แปดเดือนสี่ สองสามวันนี้กำลังยุ่งกับการเตรียมการอยู่

การจัดตั้งโรงหมอชิงหยางนี้ เจียงอิ้งอวิ๋นได้รับข่าวที่นางฝากซือถูอวิ๋นมาให้นางที่เมืองฝานฮัวก่อนหน้านี้แล้ว นางได้รู้จักหยางจิ้งจือที่มีความประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีเข้ากันได้ดี

กำแพงขาวทาสีใหม่ มีโต๊ะที่มีลิ้นชักแคบและยาวอยู่ตรงทางเข้า หลังโต๊ะติดกำแพงก็เป็นตู้ลิ้นชักสูงถึงเพดาน ในนั้นแบ่งออกเป็นยาสมุนไพรแต่ละอย่างแยกประเภทไว้ ว่ากันว่าวันหน้าที่นี่ก็คือที่นั่งของชิงหลัน คนไข้ที่มาทุกคนก็จะให้ชิงหลันซักถามอาการอย่างละเอียดจดบันทึกใส่สมุดเล็กๆ ก่อน จากนั้นก็จ่ายเงินสิบเหรียญทองแดงเพื่อซื้อแผ่นไม้มีตัวเลข ไปนั่งรอบนม้านั่งยาวในห้องโถง

หยางจิ้งจือก็จะอยู่ในห้องฝั่งซ้าย รับป้ายตัวเลขแล้วก็ตรวจอาการคนไข้ พอตรวจเสร็จเขียนใบสั่งยากับวิธีการกินแล้ว ก็ให้คนไข้เอากลับไปให้ชิงหลัน จ่ายเงินรับยา หากคนไข้ไม่อยากสั่งยาที่โรงหมอ ก็เอาใบสั่งยาไปหาร้านยาอื่นได้ แต่ทว่ามียาบางอย่างที่พิเศษและมีเฉพาะที่โรงหมอชิงหยางเท่านั้น เพราะว่านี่คือยาที่หยางจิ้งจือกับชิงหลันขึ้นเขาไปขุดสมุนไพรมาด้วยตนเองแล้วก็ปรุงเอง

สำหรับฝั่งขวาก็แบ่งออกเป็นห้องพักสองห้องที่มีห้องน้ำในตัว ก็คือห้องนอนหยางจิ้งจือกับชิงหลัน เพื่อสะดวกหากต้องลุกขึ้นตรวจรักษาเร่งด่วนกลางดึก พวกนางจึงอาศัยอยู่โรงหมอ ไม่ได้ซื้อบ้านที่อื่นอีก กะว่ารอให้กิจการโรงหมอดีแล้ว ก็จะได้ขยายเป็นเรือนสี่ประสานแบบสองชั้นหน้าหลัง นั่นคือแผนที่พวกนางวางไว้ในห้าปีข้างหน้านี้

ซูสุ่ยเลี่ยนเหลือห้องที่เรือนกล้วยไม้ไว้ให้พวกนางสองห้อง ตอนมาเมืองฝานฮัว พวกนางก็เข้าพักได้ เพียงแต่พอโรงหมอเปิดทำการ วันหยุดก็หาได้น้อยมาก

ตามที่หยางจิ้งจือเล่า หลินซือเย่าเหลือห้องว่างที่ศาลในเมืองฝานฮัวให้นางห้องหนึ่ง ทุกๆ วันที่ห้าของเดือน หยางจิ้งจือกับชิงหลันก็จะมาประจำที่ศาลเมืองฝานฮัว ตรวจร่างกายและรักษาโรคให้ชาวบ้าน เช่นนี้เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่พวกชาวเมืองฝานฮัวและสองเมืองละแวกใกล้ๆ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าคงมีชาวบ้านไม่น้อยได้ยินชื่อเสียงแล้วก็มากันมากกว่าเดินทางไปที่โรงหมอชิงหยาง เพราะสะดวกกว่า

“เดิมเจ้าตั้งใจว่าจะมอบอะไร” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น แท้จริงแล้วนางเองก็ยังคิดไม่ออกว่าจะมอบอะไรดี เดิมตั้งใจว่าวันที่หนึ่งเดือนสี่ไปแก้บนที่วัดชิงอวี้ ก็จะเลยไปเขตการค้าเมืองฝานลั่วดูสักหน่อย มีอะไรถูกใจค่อยซื้อ

“ป้ายชื่อร้าน ฉากบังลม แจกันดอกไม้…” เจียงอิ้งอวิ๋นเอียงคอคิด เอ่ยออกมาทีละอย่างให้นางฟัง สรุปคือของพวกนี้เป็นตัวเลือกของขวัญแรกสุด แต่ดูการตกแต่งโรงหมอแล้ว ดูไม่เข้ากันเลยไหม

“ฉากบังลมดีไหม ข้าจำได้ว่าจิ้งจือเหมือนเอ่ยถึง คิดซื้อฉากบังลม เหมือนเตรียมจะวางไว้ในห้องตรวจนาง” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดพักหนึ่งก็ยิ้มกล่าว “เจ้าไม่สังเกตหรือ ห้องตรวจนางติดหน้าต่างทางเหนือ มีเตียงนอนตั้งอยู่ คิดว่าคงไว้ให้คนไข้นอนตรวจ”

“จริงด้วย ข้าลืมไป อย่างนั้นก็ดี มอบฉากบังลมแล้วกัน อืม ห้องตรวจนางนั้นก็ไม่ใหญ่มาก สักสี่บานก็คงพอ เลือกสีอ่อนสักหน่อย ใช่แล้ว ที่ร้านปักยังมีภาพปักฝนพรำสีเขียวอ่อน ใช้ทำฉากบังลมสี่หน้าบานพอดี ฮา ฮา…แก้ปัญหาได้แล้ว…สุ่ยเลี่ยน เจ้าห้ามแย่งกับข้านะ ฝากบอกจิ้งจือด้วย นางจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง” เจียงอิ้งอวิ๋นเบิกบานใจ ยิ้มตบไหล่ซูสุ่ยเลี่ยนเบาๆ

“ตอนนี้ข้าได้รู้แล้วว่า ทำไมเจ้ากับจิ้งจือถึงได้คบหากันสนิทสนมได้” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบขำพลางส่ายหน้า แค่พบหน้ากันครั้งเดียวก็เป็นสหายสนิทกันทันที ก็เพราะนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของหยางจิ้งจือกับเจียงอิ้งอวิ๋นนั่นเอง

……

ห้องทางตะวันตกสุดในเรือนสวนไผ่

“ซือทั่วฝากวาจามา ทุกอย่างราบรื่นดี ให้เจ้าวางใจได้” ซือชงดีดละอองฝนที่ทำเสื้อตัวนอกเปียกทิ้ง พลางเดินพลังวัตรทำให้เสื้อแห้ง ก่อนจะเข้ามาในห้องซือเล่า หันไปกล่าวกับหลินซือเย่าที่อ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ

“อืม สองสามวันนี้ข้าอยู่” หลินซือเย่าเงยหน้ามองซือชงที่ผอมลง กล่าวเสียงราบเรียบ

“อย่างนั้นก็ดี ข้ากลับหอกว่างชื่อโหลวก่อน ก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกลูกหมานั่นครึ่งเดือนนี้ดูแลเป็นอย่างไรบ้าง ขอให้อย่าทำหมดตัวก็พอ เฮ้อ ตอนนี้เพิ่งพบว่า เด็กมากไปก็ไม่ใชเรื่องดี ปวดหัว” ซือชงคอตกถอนหายใจกล่าว

“ตอนนี้เพิ่งรู้? ข้าคิดว่าห้าปีก่อนเจ้าควรจะรู้ตัวแล้ว” คิดถึงเมื่อห้าปีก่อน ศิษย์คนโตซือชงอายุแค่สิบเอ็ดไปก่อเรื่องที่หอร้อยบุปผาแล้วก็แทบอยากจะร้องไห้ ทำให้ซือชงโมโหแทบจะสังหารเจ้าลูกหมาในตอนนั้นเลยทีเดียว

“เชอะ หากข้าเหมือนกับเจ้า มีสตรีดีงามยอมอยู่เคียงข้างกับข้า ออกลูกให้ข้า ไหนเลยจะอยากเลี้ยงเจ้าพวกลูกหมาพวกนี้กัน! เห็นๆ ว่าข้าหัวหงอกก่อนวัยแล้วนี่” ซือชงค้อนใส่หลินซือเย่า บ่นไม่หยุด

นักฆ่าไหนเลยจะมีสตรีดีงามยอมมาติดตามด้วยใจกัน แม้นางยอม ครอบครัวนางก็คงไม่ยอม แม้ว่าตอนนี้เขาล้างมือจากวงการแล้ว ออกจากรายชื่อนักฆ่าแล้ว แต่กลิ่นอายสังหารติดตัวก็ยังคงไม่จางหายไป แม้เดินตามท้องถนน รอบๆ ก็ยังรู้สึกได้ เขายังแอบสงสัยตัวเองว่ามีป้ายติดประกาศที่ตัวเขาหรือว่า นักฆ่ามาแล้ว ทุกคนอย่าเข้าใกล้

แต่ทำให้สงสัยหนักยิ่งกว่าก็คือ ทำไมซือหลิงที่เป็นนักฆ่าเย็นเยียบเหมือนกันกลับมีสตรียอมติดตามเขา และยังเป็นถึงคุณหนูสูงศักดิ์จวนอ๋องอีกด้วย เฮ้อ ‘คนเราพอเทียบกันแล้ว มันน่าโมโหยิ่ง’ วาจานี้เขานับว่าได้สัมผัสด้วยตนเองแล้ว

หลินซือเย่าย่อมเดาความในใจที่สับสนได้จากใบหน้าของซือชง แต่ทว่าเขายังนับว่าจิตใจดี ไม่ได้เล่าเรื่องที่สุ่ยเลี่ยนช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไร หากบอกให้พวกเขาฟัง ไม่แน่ ยากจะรับประกันว่าพวกเขาจะไม่สังหารกันเองแล้วแล่นไปเขาต้าซื่อ ไปลองดูว่าจะมีนางฟ้าอย่างสุ่ยเลี่ยนมาช่วยพวกเขาแล้วยอมติดตามพวกเขาไหม

“อย่างนั้นข้าไปละ ซือเล่ากลับมา เจ้าก็บอกกับเขาสักคำ” ซือชงกล่าวไม่ทันจบก็ทะยานออกจากเรือนสวนไผ่ไปแล้ว มุ่งไปยังหอกว่างชื่อโหลวใจกลางเมืองฝานลั่ว

“บอกอะไรกับข้า” ซือเล่าเพิ่งเข้ามาก็ถามอย่างสงสัย

หลินซือเย่ากำลังยืนส่งซือชงที่ริมหน้าต่างก็ตอบโดยไม่หันมามองว่า “ซือชงกลับหอกว่างชื่อโหลวแล้ว”

“ต้องบอกข้าด้วย? เขาเรื่องมากพร่ำเพ้อเช่นนี้เหมือนคนอื่นเขาตอนไหนกัน” ซือเล่าล้มตัวนอนบนเตียง บาดแผลแม้ว่าหายดีแล้ว แต่อาการบาดเจ็บทำลายพลังวัตรเขาไปครึ่งหนึ่ง ยังไม่ฟื้นคืน แต่ทว่าหลังผ่านความตายครั้งนี้มา เขามองทุกอย่างอย่างปล่อยวางแล้ว เรื่องวิทยายุทธ์ฟื้นคืนได้ก็ดี หากไม่ได้จริงๆ ก็อยู่ที่นี่เป็นชาวนาธรรมดาไปก็ไม่มีอะไรไม่ดี อย่างไรก็มีเทพสังหารซือหลิงคอยดูแลปกป้อง เขายังต้องกังวลอะไร

“ยังมีผู้ใดอีก” หลินซือเย่าถอนสายตากลับมา ปิดหน้าต่างหันมามองซือเล่า

“เอ๋? เจ้าไม่รู้?” ซือเล่าลืมตามองหลินซือเย่า พลันเผยรอยยิ้มบางทีหาได้ยากยิ่ง “คนบางคนตอนนี้นิสัยอ่อนยวบยาบแล้ว เป็นเรื่องที่ทุกคนในเมืองรู้กันทั่วแล้ว”

หลินซือเย่าได้ยินก็ใบหูร้อนผ่าว จากนั้นก็เคลื่อนพลังสะกดความเขินอายลงไป

“วันหน้ามีแผนเช่นไร” เขามานั่งที่โต๊ะเอื้อมมือไปเทน้ำชา หันมามองซือเล่าที่หลับตาพักอยู่บนเตียง

“เป็นชาวนาที่นี่อย่างไร ทำไม ไม่ต้อนรับ? วางใจ ข้าไม่เป็นภาระเจ้าหรอก ที่เจ้าทำเป็น ข้าก็ทำได้” ซือหลิงหลับตาตอบอย่างว่องไว

“แน่ใจแล้ว?” หลินซือเย่าเลิกคิ้วแปลกใจ ในบรรดาเขาสี่คน ซือเล่านิสัยร่าเริงที่สุด หากซือชงบอกว่าจะอยู่ตั้งรกรากเมืองฝานฮัว เขายังพอเชื่อ แต่ซือเล่า…

“มีอะไรไม่แน่ใจ อย่างน้อยตอนนี้ ข้าก็ไม่ได้กะว่าจะไปไหนอยู่แล้ว” ซือเล่ายืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นพิงหัวเตียงคลายความเมื่อย แล้วหันมามองด้วยสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ซือหลิง เจ้าก็เป็นลูกกำพร้า ย่อมรู้ รสชาติตัวคนเดียวเป็นเช่นไร ตอนนี้ไม่ต้องวางแผนภารกิจเตรียมสังหารผู้อื่นทั้งวัน ก็ไม่จำเป็นต้องวันๆ ฝึกแต่วิชาแล้ว พอว่างแล้ว วันเวลาคนๆ หนึ่งก็เงียบเหงาง่ายยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก ดังนั้น…ข้าไม่อยากไปจากที่นี่ชั่วคราว”

“อย่างั้นก็อยู่ไป ที่นี่เดิมก็สร้างให้พวกเจ้าทั้งสามคนอยู่ คิดอยู่นานเท่าไรก็ไม่เป็นไร” หลินซือเย่าดื่มน้ำชาหมดแล้วก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ฮา…บอกว่าเจ้ากับซือชงพูดจามากเรื่องพร่ำเพ้อยังไม่ยอมรับ” ซือเล่าบ่นงึมงำ ก่อนจะเอามือสอดรองท้ายทอยไว้ ปิดหน้ากล่าวเบาๆ ว่า “ได้ยินว่าเดือนหน้าจะต้องหว่านเมล็ดพันธุ์แล้ว? ถึงตอนนั้นเรียกข้าด้วยคน”

“วางใจ ขอเพียงเป็นชายมีกำลัง ก็ต้องลงทำนากัน” หลินซือเย่าสีหน้านิ่งเรียบอย่างมาก แต่ลึกลงไปนั้นมีรอยยิ้มแวบหนึ่ง เผยความคิดในใจเขายามนั้นออกมา เขากำลังอารมณ์ดีอย่างมาก