เล่มที่ 1 บทที่ 30 บรรลุระดับกลาง (2)

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

รถขับมาถึงสวนสาธารณะ ขณะที่รถเคลื่อนตัวผ่านศูนย์การค้าข่ายเต๋อ ร่างกายของวัยรุ่นทั้งสองก็เกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะจิ้งจอกตัวใหญ่บนยอดตึกที่คนธรรมดามองไม่เห็นตัวนั้นได้ลืมตาสีทองเลื่อมขึ้นมา รูจมูกสีดำสนิทส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะมุดหัวกลับไปที่หางอันหนาฟูตามเดิม
“รองผู้ว่าการฉู่” ณ ประตูสวนสาธารณะ ในตอนที่พวกสวีหยางอี้มาช่วงสายๆ ยังไม่ใครสักคน แต่ตอนนี้กลับมีคนใส่ชุดคลุมยาวสีขาวหนึ่งคนยืนอยู่ตรงประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับประสานมือ “ยินดีต้อนรับ ผ่านไปเป็นปี ยังสบายดีหรือไม่?”

หน้าตาเขาดูธรรมดา อาจพูดได้ว่าดูไม่เกลี้ยงเกลา หนวดเครารุงรัง อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเห็นจะได้ ทว่าในยามค่ำคืนแบบนี้ เขากลับมายืนโด่เด่ตรงนั้นคนเดียว หากมีคนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า สายตาพวกเขาคงไม่สามารถสนใจสิ่งรอบข้างเป็นแน่ หากแต่คงต้องจ้องมองไปที่เขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

และแล้ว บนใบหน้าผอมเรียวของรองผู้ว่าการฉู่ก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาเจือจาง เมื่อรถหยุด คนขับรถก็รีบเปิดประตูหลังทันที พร้อมกับรับอีกฝ่ายลงจากรถ เขาเร่งฝีก้าวออกไปจับมือเขาด้วยรอยยิ้มอันสดใส “ไม่เลวเลย ไม่ได้เจอรองผู้อำนวยการฉีตั้งห้าสิบปี ไม่เปลี่ยนไปเลย ผมล่ะอดอิจฉาไม่ได้”

รองผู้อำนวยการฉี!

ที่นี่เป็นสาขาย่อยของสำนักเทียนเต้าในมณฑลหนานทง การมาเยือนของผู้เฒ่าคนนี้ ถึงขนาดที่รองผู้อำนวยการฉีต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว!

รองผู้อำนวยการฉีได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นอย่างเอือมระอา “ทุกสรรพสิ่งดุจฝันมายาอันไม่เที่ยง และย่อมเป็นเช่นนั้นร่ำไป… ทักทายแบบนี้ให้ได้อะไร ทำลายความรู้สึกอย่างไม่ใช่เหตุเสียเปล่า”

“ว่าแต่นายเถอะ” เขาพารองผู้ว่าการฉู่ที่รูปร่างไม่สูงนักเดินมาที่ศาลา “ปีนี้พวกเรายื่นข้อเสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวหวงหลงไปยังรัฐบาล ไม่นึกว่านายจะตีกลับมา และตอนนี้พวกเราเองก็กำลังวุ่นๆ กับเรื่องนี้อยู่”

“เหล่าฉี” รองผู้ว่าการฉู่ถอนหายใจ “ฉํนไม่ได้อยากจะตีกลับ แต่เขตพื้นที่ท่องเที่ยวหวงหลงเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระดับ A ของหวาซย่า ชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและนอกประเทศ โครงการของพวกนายดูรีบร้อนเกินไป อย่าว่าแต่การพิจารณาระดับมณฑลหรือส่วนกลางเลย แค่การพิจารณาจากท้องถิ่น พวกนายก็ไม่น่าผ่าน”

“แต่ว่าด้านล่างเป็นเหมืองหินวิญญาณขนาดใหญ่เชียวนะ! มีปริมาณสูงถึง 200 ล้านตัน! อีกทั้งยังค้นพบแร่ทองคำหายากสี่ชนิด! คนของแผนกหลอมอาวุธจากตู้มหาสมบัติเกือบได้ที่นี่ไปครองแล้ว!”

“ฉันรู้” แม้สถานที่ที่รองผู้ว่าการฉู่พูดถึงจะมีชื่อเสียงโด่งดังล้ำค่า แต่สีหน้าเขากลับไม่มีแววเสียดาย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยน “ดังนั้น ต้องค่อยๆ วางแผน ไม่งั้นจะไม่สามารถชี้แจงต่อประชาชนหลายพันล้านคนทั่วประเทศได้ แม้ว่าผู้ฝึกตนทั่วทั้งฮวาซย่าจะเป็นกองกำลังรบหลัก แต่รากฐานของประเทศยังคงเป็นประชากรหลายพันล้านคนอยู่ เรื่องนี้ฉันรับช่วงต่อมาจากหัวหน้าหวางและหัวหน้าชีแล้ว หลังจากนี้สามเดือนจะให้คำตอบกับเทียนเต้าแล้วกัน”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปด้านหลัง หยิบแก้วเก็บอุณหภูมิอุ่นผ่าวหนึ่งใบที่เปิดฝาครอบออก แล้วก็ยื่นเข้าส่งถึงมืออันเหี่ยวชราของเขา

“เจาหนานเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาจิบหนึ่งคำก่อนเปลี่ยนประเด็น นี่เป็นชาต้าหงเผาอัดเม็ด ทั่วทั้งฮวาซย่ามีเพียงเม็ดเดียว รสชาติของมันเป็นที่โปรดปรานของเขายิ่งนัก

“หลานชายของรองผู้ว่าการฉูนับว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น” รองผู้อำนวยการฉีหรี่ตา “แต่ว่านายไม่เคยสนใจหลานชายนาย สนใจแค่ผลการฝึกตนของเขา นายคงไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะเหตุผลแค่นี้หรอกใช่ไหม?”

ดวงตาของรองผู้ว่าการฉู่หรี่ลงเล็กน้อย คนที่เขาพามาด้วยอย่างบรรดาตำรวจ วัยรุ่นทั้งสองคน หรือจะเป็นคนขับรถที่ยืนรออย่างเป็นระเบียบราวกับกองทัพทหาร ขณะนี้ได้ถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ประหนึ่งคลื่นฝูงชนม้วนตัวกลับ ประหนึ่งการแสดงบทร้องเล่นบนเวลาที่จบลง และการแสดงชุดสำคัญกำลังเริ่มขึ้น

รองผู้อำนวยการฉีตกใจเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันรอเขาพูดจบ รองผู้ว่าการฉู่ที่ตัวเตี้ยกว่าเขาก็เดินเข้ามาด้านหน้า พร้อมกับดึงมือเขามา ก่อนใช้มือขวาเขียนตัวหนังสือสองสามคำ

“นายพูดจริงเหรอ?!” สีหน้าของรองผู้อำนวยการฉีเปลี่ยนไปในพริบตา น้ำเสียงเคร่งขรึมลงในบัดดล เขาพลิกมือกุมมือรองผู้ว่าการฉู่ ริมฝีปากซีดลงเล็กน้อย เอ่ยถามเพียงพร่าแหบ “รางวัลครั้งนี้… เป็นสิ่งนี้จริงๆ เหรอ?!”

“จริงแท้แน่นอน” รองผู้ว่าการฉู่ชักมือกลับมาเงียบๆ แสยะยิ้มเอ่ย “ไม่งั้นดึกดื่นป่านนี้ฉันจะถ่อมาที่เมืองเฟิงอี้ทำไม? ระยะทางจากจังหวัดจิงตูมาที่เมืองเฟิงอี้ก็หลายพันกิโลเมตร ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

รองผู้อำนวยการฉีเม้มปากแน่น เขาแทบไม่อยากเชื่อ การมอบน้ำอมฤตรังสรรค์ให้ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ก็นับเป็นบุญวาสนาแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ไม่นึกว่าจะเป็นยาชั้นเลิศที่เหนือกว่าน้ำอมฤตรังสรรค์… นับว่าเป็นสิ่งที่ทำเอาผู้ฝึกตนขั้นจู้จีใจคอสั่นคลอนได้เลยทีเดียว!

“เจินเหรินท่านไหนนำสิ่งนี้ออกมา?” หลังจากนั้นสิบวินาที เมื่อสะกดอารมณ์ลงมาได้ เขาก็รีบเอ่ยถามทันที

“ท่านฝู่หยุนเจินเหริน” รองผู้ว่าการฉู่ยื่นบัตรให้หนึ่งใบอย่างไม่คิดอะไร “500ล้าน บวกกับหินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งก้อน”

“ฉันต้องการให้ฉู่เจาหนานได้ที่หนึ่ง 100%”

เมื่อได้ยินคำว่าหินวิญญาณ แววตาของรองผู้อำนวยการฉีก็เป็นประกายขึ้นทันที

รองผู้ว่าการฉู่ขยับเข้าใกล้พลันกัดฟันเอ่ย “นายจะลงมือเองหรือให้คนที่ฉันพามาลงมือ?”

เห็นรองผู้อำนวยการฉีไม่พูดจา รองผู้ว่าการฉู่จึงคลี่ยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ ฉันไม่เอาอนาคตอันงดงามมาแลกกับพวกมดปลวกขั้นเลี่ยนชี่หรอก แต่ภายในหนึ่งปี ฉันจะทำให้พวกเขาโคจรพลังไม่ได้ ฉันเป็นแค่คนธรรมดา การที่ทำได้เท่านี้ก็นับว่าเป็นขีดจำกัดของตำแหน่งรองผู้ว่าการแล้ว…”

รองผู้อำนวยการฉียังคงไม่เอื้อนเอ่ย เพียงแต่จ้องมองรองผู้ว่าการฉู่อย่างลึกล้ำ

“เหล้าแห่งเซียน” รองผู้อำนวยการฉู่เอ่ยเสียงแผ่ว “ฉันตามหามาสิบปี เพิ่งหาเจอเพียงแค่นี้… อย่าใช้สายตาเหมือนฉันทำอะไรผิดแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้ทำงานกับโลกผู้ฝึกตนแค่หนึ่งปีกว่านะ ในบรรดาผู้ฝึกคนขั้นเลี่ยนชี่… นอกจากคนที่ได้ที่หนึ่งแล้ว เดิมทีพวกนายก็ไม่เคยแยแสคนอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ? ดังนั้น ขอแค่ไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นก็พอแล้ว คิดซะว่าเป็นการให้หน้าตำแหน่งรองผู้ว่าการอย่างฉันแล้วกัน”

เงียบสงบลงไปพักหนึ่ง รองผู้อำนวยการฉีก็ชักมือกลับ ซึ่งไม่เห็นบัตรนั่นแล้ว “เรื่องนี้… มันออกจะเกินไปหน่อย”

“ฝู่หยุนเจินเหริน… เป็นถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสของตระกูลฉินแห่งราชวงศ์ฉิน เขาร่วมมือแต่กับผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก ฉันเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีคนหนึ่ง ต่อให้เขาลงมือฆ่าฉัน ก็คงไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดหรอก”

รองผู้ว่าการฉู่เผยรอยยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ พลางจ้องมองเขาเรียบนิ่งสักพักก่อนเอ่ย “นายเริ่มพูดจาชวนขำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“คนธรรมดาที่ไร้ภูมิหลัง ไม่มีคุณสมบัติครอบครองมหาสมบัติเช่นนี้ ในเมื่อเป็นแค่คนธรรมดา… ก็ควรจะยืนอยู่ในที่ของตัวเอง”

เขาหรี่ตามอง “นายคิดว่ายังมีคนอื่นที่เหมาะสมเป็นของแบบนี้มากกว่าหลานชายของฉู่เทียนอีอย่างฉันอีกเหรอ? เขาเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลฉู่เชียวนะ”

คำพูดนี้ทำเอาบรรยากาศเย็นเยือกลงทันที แม้เขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่รองผู้อำนวยการฉีก็ไม่กล้าล้อเล่นกับเขา

ยังไม่ทันรอให้อีกฝ่ายปริปาก เขาก็คลี่ยิ้มเอ่ย “ไม่มีๆ พวกเขาทุกคนล้วนไม่เหมาะสม”

“หน้าประวัติศาสตร์ล้วนถูกเขียนด้วยผู้ชนะ… ผู้แข็งแกร่งอาจจะไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป แต่ผู้ชนะต่างหากคือผู้ที่แข็งแกร่ง” เขาเขี่ยไม้เท้าที่พื้นพลางแสยะยิ้มเยือกเย็น “ขอแค่พวกเรารับบทเป็นผู้ชนะตลอด หน้าประวัติศาสตร์ที่พวกเราเขียนก็จะถูกต้องไปตลอดกาล ส่วนพวก ‘เส็งเคร็งที่พึ่งแต่โชค’ ขั้นเลี่ยนชี่ทั้งหลายจะคิดยังไงก็ช่างมัน…”

เขาเลิกคิ้ว “พวกมันสำคัญเท่าเงิน 500 ล้านของฉันไหม?”

รองผู้อำนวยการฉีเงียบนิ่งลงสักพักก่อนเอ่ยปาก “ถ้างั้น… ครั้งนี้ฉันขอร่วมมือกับนายอย่างสุดตัวแล้วกัน”

………………

เวลาคล้อยผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า แต่สวีหยางอี้กลับไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วนานแค่ไหน หนึ่งวัน? สองวัน? สามวัน? หรือหนึ่งชั่วโมง?

เขาคิดว่าจะใช้เวลาเข้าฌานห้าวัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจว่ากี่วันแล้ว

สายตาของเขาไม่ผละออกจากทะเลลมปราณของตัวเองจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด พลังจิตที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหัน กอปรกับการใช้ค่ายกลหลอมปราณ ทำให้พลังปราณไหลทะลักเข้าร่างอย่างถาโถม อากาศรอบๆ ก็พลอยสั่นไหวไปด้วย “บ่อน้ำ” ที่เกือบใกล้เต็มก่อนหน้านี้ ตอนนี้ชายตามองไป พลังปราณที่ปะทุอยู่แลดูเข้มข้นมากกว่าเดิมราวกับน้ำร้อนที่เพิ่งเดือด!

ยังไม่ถึง “จุดสูงสุด…”

สวีหยางอี้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทุกๆ รายละเอียด แม้กระทั่งอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ชักนำ เขาก็จับสัมผัสได้อย่างชัดเจน ขาดอีกนิดเดียว… อีกนิดเดียวก็เติมทะเลลมปราณระดับต้นจนเต็มแล้ว!

ถึงตอนนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะบรรลุระดับกลาง!

จะสำเร็จหรือไม่ตอนนี้ไม่อาจทราบได้ แต่การบรรลุระดับของขั้นเลี่ยนชี่ไม่เหมือนกับขั้นจู้จีที่หากไม่สำเร็จหนึ่งครั้ง ร่างกายจะได้รับผลกระทบ สำหรับขั้นเลี่ยนชี่แล้ว ขอแค่เป็นไปตามเงื่อนไขก็สามารถบรรลุระดับได้ทุกเมื่อ

นี่คงเป็นสิ่งชดเชยที่พระเจ้ามอบให้ผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตน

แต่ถ้าหากเลื่อนระดับไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการสูญเสียพลังปราณ หนึ่งครั้งต้องสูญเสียไปราวหนึ่งส่วนสิบ แต่เทียบกับการบรรลุขั้นจู้จีที่ล้มเหลวหนึ่งครั้งต้องใช้เวลารักษาฟื้นฟูตัวเองหลายปี แบบนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

เขาตัดสินใจเอาไว้แล้ว เมื่อเติมทะเลลมปราณจนเต็มปริ่ม เขาจะบรรลุระดับกลางทันที!

พลังปราณไหลเวียนอย่างเอื่อยเฉื่อยทั่วร่างกาย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สวีหยางอี้ที่นั่งสมาธิอยู่ก็หนังตากระตุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น

สำรวจดูภายใน!

ตอนนี้ ทะเลลมปราณไม่นิ่งสงบอีกต่อไป พลังปราณสีขาวพวยพุ่งเป็นไอ ทะเลลมปราณกำลังเดือดอยู่อย่างพลุ่งพล่าน!

บรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นเสร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง!

“ซูด…” เขาสูด ลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก และโคจรพลังภายในอย่างไม่ลังเล เสียง “ตู้ม” ดังขึ้น! ทะเลลมปราณระเบิดทันที!

พลังปราณในลักษณะไอควันนับพันหมื่นเส้นสายพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณทุกเส้น และจุดรวมพลังทุกจุด!

เส้นลมปราณถุงน้ำดี เส้นลมปราณตับ เส้นลมปราณปอด เส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เส้นลมปราณกระเพาะ เส้นลมปราณม้าม เส้นลมปราณหัวใจ เส้นลมปราณลำไส้เล็ก เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะ เส้นลมปราณไต เส้นลมปราณถุงหุ้มหัวใจ เส้นลมปราณซานเจียว[1] เส้นผมสั้นสไลด์สั้นของเขาชี้ฟูขึ้นโดยไร้ลม ใบหน้าค่อยๆ แดงระเรื่อ

พลังปราณเป็นเส้นสายคล้ายงูไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณทั้งสิบสองเส้นเป็นวงจรที่สมบูรณ์ หากตอนนี้มีคนที่มองทะลุได้ จะต้องมองเห็นอวัยวะภายใน กระดูก และเลือดเนื้อทั่วทั้งร่างของสวีหยางอี้ที่กำลังเรืองแสงสีขาวระเรื่ออยู่ นั่นเป็นพลังปราณที่ห่อหุ้ม อันที่จริงมันคือการปรับสภาพร่างกาย เป็นกระบวนการวิวัฒนาการที่ทำให้ร่างกายตัวเองสามารถดูดซับและกักเก็บพลังปราณได้ดีขึ้น หากจะให้เป็นเปรียบเทียบก็คงเหมือนการอัพเกรดคอมพิวเตอร์

หัวใจคือ CPU โครงกระดูกคือเมนบอร์ด เลือดเนื้อคือวงจร… ตอนนี้ พลังปราณทั้งหมดกำลังปรับสภาพเข้ากับร่างกายของเขา! เมื่อการปรับสภาพดำเนินถึงจุดสูงสุด ทะเลลมปราณก็จะขยายขึ้นทันที! และบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางในที่สุด!

ณ ห้องพักในสังเวียน ตอนนี้ ฉู่เจาหนานกำลังจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินของตัวเอง แต่ว่าวินาทีถัดมา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน!

พลังปราณรอบๆ กำลังเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ…

ไม่ใช่การกระเพื่อมสั่นไหวที่อาจเกิดขึ้นได้บางครั้งบางคราว… แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกำลังควบแน่นอย่างรวดเร็ว!

ดวงตาทั้งสองข้างของเขาฉายแววตกตะลึงขึ้น สนามประลองหนึ่งในใต้หล้าเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกสุดของเทียนเต้าสาขาย่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้บุกรุกภายนอกหรือของวิเศษหายากปรากฏขึ้น ดังนั้นเหตุการณ์แบบนี้จึงเป็นไปได้แค่เรื่องเดียวเท่านั้น!

“มีคนเลื่อนขั้น!”

เขากระโดดพรวดลงจากเตียง พลันรีบคว้านกกระเรียนกระดาษไปที่ประตูอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง และพุ่งขึ้นไปที่สังเวียนทันที

“นี่มัน…” เพิ่งถึงด้านนอก เขาก็ถึงกับตกตะลึง

——————————————————————————–

[1] เป็นทางผ่านของของเหลว จากส่วนบน ตั้งแต่ปอด หัวใจและหัว ลงมาส่วนกลางคือกระเพาะอาหารและม้าม ส่งต่อไปยัง ส่วนล่างคือตับ ไต และอวัยวะเพศ เพื่อขจัดของเสียออกจากร่างกาย