“เลี้ยงสัตว์ในหมู่บ้านนั้นง่ายดาย แต่จ้างผู้คุ้มกันจํานวนมากเพื่อป้องกันคนร้ายกลับไม่ง่ายเลย!”
หยุนเถียนเถียนขมวดคิ้วแน่น นางรู้ว่าหยุนเคอมีวิธีการอยู่เสมอดังนั้นจึงหันไปมองเขาอย่างต้องการคําอธิบาย
“ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะจ้างคนในหมู่บ้านอยู่แล้วเช่นนั้นก็ให้ชาวบ้านช่วยเจ้าเลี้ยงหมูจะดีกว่าเนื้อที่หาซื้อจากข้างนอกน่าจะพอใช้ไปได้อีกสักระยะแต่จะใช้ในระยะยาวไม่ได้แน่นอนซื้อลูกหมูมาเลี้ยงที่บ้านคนอื่นก็ได้เมื่อมันโตขึ้นค่อยไปรับซื้อคืนแล้วหักเงินส่วนของค่าลูกหมูออกไป”
หยุนเถียนเถียนตระหนักในทันใด “ข้าคิดไม่ถึง!หยุนเคอเจ้าหลักแหลมยิ่ง!”
“แต่… ถ้าหมูน้อยตายตอนที่อยู่บ้านคนอื่นข้าก็ช่วยไม่ได้เช่นนั้นจะทําอย่างไรล่ะ? ระหว่างที่ลูกหมูเข้าไปอยู่ในบ้านคนอื่นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?ไม่ใช่ว่าชาวบ้านไม่อยากได้เงินค่าลูกหมูแต่เราจะทําอย่างไรหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น? ”
หยุนเคอยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ “เจ้าไม่จําเป็นต้องกังวล เจ้ามอบเรื่องนี้ให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดการได้หรือไม่?พวกผู้เฒ่าย่อมยินดีที่จะมีส่วนร่วมกับเรื่องดังกล่าวแน่”
หยุนเถียนเถียนมาที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้ง คราว นี้ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าเป็นหยุนเถียนเถียนมาเยือนนางก็ยิ่งกระตือรือร้นจะออกมาต้อนรับ
ทันทีที่หัวหน้าหยาก็รีบวิ่งไปหาผู้อย่างไร
ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินว่าทุกคนในหมู่บ้านจะ ได้รับผลประโยชน์ เขาก็รีบวิ่งไปหาผู้เฒ่าใหญ่ทันที และ เถียนเถียนไม่รู้เลยว่าพวกเขาคุยกันอย่างไร
ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกคนนําเงินไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยงก่อน แล้ วค่อยขายให้หยุนเทียนเถียนเมื่อพวกมันโตขึ้นด้วยวิธีนี้จะทําให้หยุนเถียนเถียนลดความเสี่ยงลง
ในขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านกําลังกังวลเรื่องงานต่าง ๆ หยุน เถียนเถียนก็กําลังกังวลเรื่องการเล่าเรียนของเฉินเฉินเช่นกัน
สิ่งที่หยุนเคอพูดนั้นมีเหตุผล นางสามารถสอนให้เฉินเฉิน เข้าใจในเนื้อหาของหนังสือเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่อ ย่างไรก็ตามในการสอบขุนนาง ไม่เพียงจําเป็นต้องเข้าใจความหมายเท่านั้น แต่ยังต้องเขียนเรียงความที่มีประโยชน์ซึ่ง ต้องมีการสอนอย่างเป็นระบบด้วย
ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่หยุนเถียนเถียนไม่เข้าใจ และแม้ว่าหยุ นเคอจะรู้เรื่องเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่เชี่ยวชาญนัก
ในมุมมองของหยุนเสียนเถียนวิชาการที่หยุนเคอเชียวชาญนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวกับการว่าจ้างและปกครองผู้คนแต่ในการเขียนบทความที่เข้มงวดเช่นนี้หยุนเคอทําได้ไม่ดีเท่าที่ควร
หยุนเถียนเถียนยิ่งกังวลมากขึ้น เมื่อได้ยินว่าในเมืองมีอาจารย์แค่สองท่าน
ตอนนั้นเองนางจึงตัดสินใจพาเฉินเฉินไปเยี่ยมผู้อาวุธโสเฉินซิวไฉเป็นการส่วนตัว
ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเฉินซิ่วไฉผู้นี้ แต่เดิมเป็นคนในหมู่บ้านเทพธิดาด้วยเหตุนี้ คนจากหมู่บ้านเดียวกันอาจช่วยหักล้างเรื่องราววุ่นวายในครอบครัวของเฉินเฉินให้ได้!
เรื่องดีไม่แพร่หลาย เรื่องร้ายๆมักกระจายไกลพันลี้
เรื่องราวของเฉินผิงอันและหลินชวนฮวานั้นเป็นที่โจษจันในวงกว้างไม่อาจรู้ได้ว่าจะไปไกลถึงพันลี้หรือไม่แต่ในเมืองเล็ก ๆแห่งนี้เรื่องฉาวโฉ่ไม่มีทางปกปิดได้!
ทั้งนี้ การจับฆาตรกรทั้งที่เรื่องผ่านมาหลายปีแล้วถือเป็นข่าวใหญ่
หยุนเวียนเถียนสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดาพาเฉินเฉินมาส่งที่โรงเรียนกวดวิชาพร้อมด้วยเสบียงและอาหารเสริม สําหรับหลายวัน!
หลังจากบรรยายจบ เฉินซิ่วไฉพักผ่อนอยู่ในบ้าน เมื่อคนเฝ้าประตูบอกว่ามีคนต้องการฝากตัวเป็นลูกศิษย์จึง เดินออกไป
เมื่อมองเห็นอีกฝ่ายแวบแรก หยุนเถียนเถียนเกือบจะเห็นหน้าของเฉินซิ่วไฉเป็นผู้เฒ่าสีในหมู่บ้าน
เขาเกรี้ยวกราดและล้าสมัยเหมือนกัน เพียงเท่านี้หัวใจของหยุนเทียนเถียนก็รู้สึกหมดหวัง
นางเพียงภาวนาขอให้ทั้งสองอย่าได้นิสัยเหมือนกันเลยไม่อย่างนั้นคงยากจะรับมือจริง ๆ !
“ท่านอาจารย์เฉิน น้องชายของข้าถึงวัยเข้าโรงเรียนแล้วรบกวนอาจารย์ช่วยสอนให้เขาจดจําสักคําสองคําจะสะดวกหรือไม่เจ้าคะ?”
หยุนเถียนเถียนพยายามยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวคําอย่างจริงใจ!
เฉินซิ่วไฉดูข้อมูลส่วนตัวที่เฉินเฉินมอบให้ในมือ ซึ่งเทียบเท่ากับบทความแนะนําตนเองของคนสมัยใหม่
สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง “คํานี้เขียนได้ดี เจ้าไปเรียน มาจากที่ใด?”
อาการตื่นเต้นของเฉินเฉินค่อย ๆ สงบลง เขาก้าวไปข้างห น้าและพูดอย่างสุภาพ “ผู้น้อยไร้ความสามารถ จึง พอจดจําคําศัพท์สองสามคําจากบัณฑิตข้างบ้านได้ขอรับ!”
เฉินซิ่วไฉลูบเคราสีดอกเลาของเขาอย่างยิ้มแย้ม “ช่างเป็นเด็กถ่อมตัวเขียนลายมือได้ดี ครอบครัวของเจ้าอยู่ในหมู่บ้านเทพธิดาหรือ?”
เฉินเฉินพยักหน้าอย่างนอบน้อม “พ่อของข้ามาจากหมู่บ้านเทพธิดาขอรับ”
“เหตุใดวันนี้พ่อของเจ้าไม่ส่งเจ้ามาที่นี่ แต่กลับเป็นพี่สาวมาแทน?”
หัวใจของหยุนเทียนเถียนสั่นไหว ท่านซิ่วไฉไม่ชอบที่นางเป็นผู้หญิงแล้วมาที่โรงเรียนกวดวิชางั้นหรือ?
เฉินเฉินที่เป็นเพียงเด็กชายวัยเจ็ดหนาว ไม่รู้จะตอบคําถามนี้อย่างไรทําได้เพียงยืนนิ่ง ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ซีดลงเรื่อย ๆ
หยุนเวียนเดียนถอนหายใจ ” ท่านอาจารย์ ข้าเกรงว่าท่านไม่ได้ไปที่หมู่บ้านเทพธิดามานานแล้วจึงไม่รู้ข่าวในหมู่บ้านไม่ทราบว่าท่านรู้ข่าวในหมู่บ้านมากน้อยเพียงใด?”
เฉินซิ่วไฉขมวดคิ้วแน่น “ข้าก็พอมีลูกศิษย์จากหมู่บ้านเทพธิดาอยู่บ้าง เหตุใด? มีสิ่งใดที่ไม่สะดวกจะพูดหรือ?”
หยุนเถียนเถียนอีกอัก “ท่านเคยได้ยินเรื่องของเฉินผิงอันหรือไม่? บิดาผู้ให้กําเนิดเด็กคือเฉินผิงอัน มารดาคือหลินชวนฮวาส่วนข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเดิมของเฉินผิงอัน”
เฉินซิ่วไฉตระหนักในทันทีดวงตาฉายแววซับซ้อน“เข้าใจล่ะถ้าเช่นนั้นเจ้าเป็นคนซื้อตัวเด็กคนนี้มาหรือ?”
หยุนเสียนเถียนขมวดคิ้วและพยักหน้า “ในคราแรกข้าคิดว่ามันเหมาะสมข้ากังวลเพียงแค่อยากช่วยเด็กผู้นี้ออก มาและไม่เคยคิดมากถึงอนาคตการทําเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ ให้เกิดปัญหา ขอบังอาจถามอาจารย์เฉิน เรื่องพวกนี้จะส่งผลต่ออนาคตของเด็กหรือไม่?”
เฉินซิ่วไฉลูบเคราพลางถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องคิดหาทางออกที่เหมาะสมอย่างจริงจัง เนื่องจากการกระทํานี้เป็นเพียง ข่าวลือจึงไม่นับอย่างไรเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่ทาส เพียงแต่ว่า เมื่อสอบขุนนาง จะมีการตรวจสอบบรรพบุรุษถึงสามชั่วอายุคน!ข้าเกรงว่าจะต้องคิดหาวิธีการแก้ไข”
หยุนเวียนเถียนถามด้วยความลําบากใจ “ท่านอาจารย์ เหตุใดไม่ให้ข้าพาเด็กผู้นี้ไปรับเลี้ยงภายใต้ชื่อของท่านผู้เฒ่า ในหมู่บ้านล่ะ? เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์และไหวพริบดีมาก ข้าจึงไม่อยากให้เขาเก็บมันไว้นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพาเขามาที่นี้เพื่อลองเสี่ยงโชค ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะให้เกิดปัญหาเช่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนเถียนเถียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปยังเฉินเฉินที่กําลังป ระหม่าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่เจ้าอยู่บ้านพี่สาวเจ้าศึกษาสี่หนังสือห้าคัมภีร์อย่างละเอียดเจ้ายังจําสิ่งที่เรียนรู้มาได้หรือไม่?”