ตอนที่ 139 ถอนตัวหรืออยู่ต่อ

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

สัตว์อสูรกระแทกเข้ากับรั้วฉับพลัน เมื่อทุกคนคิดว่ารั้วจะต้องถูกกระแทกจนหักนั้น ความจริงกลับทำให้พวกเขาตกตะลึงไป ไม่นึกเลยว่ารั้วที่ดูเปราะบางจะแข็งแรงทนทานจริงๆ กระทั่งด้านบนยังมีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่น่ากลัวด้วย รั้วส่งเสียงช็อตไฟฟ้าดังแสบแก้วหู อาร์คไฟฟ้าส่องวูบวาบ ไม่นาน สัตว์อสูรก็ถูกไฟช็อตจนกลายเป็นเถ้าถ่าน สุดท้ายก็ตกลงบนพื้นด้านนอกรั่ว

หลิงหลานค่อยสังเกตเห็นว่า ด้านนอกรั้วมีเถ้าถ่านแบบนี้มากมาย ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์อสูรจำนวนมากที่ฆ่าตัวตายด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่ใช่มีแค่สัตว์อสูรตรงหน้าพวกเขาตัวเดียวเท่านั้น

หานจี้จวินตะโกนเสียงหลงว่า “บาเรียแม่เหล็กไฟฟ้า!”

เสียงนี้ทำให้สีหน้าตกตะลึงของเหล่าลูกเสือเผยความเข้าใจสัตว์อสูรแจ่มแจ้งออกมา มีเพียงบาเรียแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้นถึงจะมีอานุภาพแบบนี้

ดูท่าสัตว์อสูรของดาวดวงนี้จะไม่ธรรมดามากๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐหรอก หลิงหลานคิดเช่นนี้ ไม่เพียงหลิงหลานที่คิดได้ ลูกเสือมากมายต่างก็คิดได้เช่นกัน ใบหน้าพวกเขาเริ่มเผยสีหน้าตึงเครียดออกมา พวกเขาสัมผัสได้แล้วว่าหลักสูตรล่าสัตว์ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการไว้

“นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือทุกคน….”

เวลานี้เอง เสียงก้องกังวานดังลอดเข้ามาในหูของเหล่าลูกเสือทุกคน “ยินดีต้อนรับทุกคนมาที่ดาวอนารยะ ครั้งนี้ นักเรียนห้าสิบคนของสถาบันพวกเธอจะมีหลักสูตรการล่าสัตว์ที่นี่ ฉันคาดหวังจากใจจริงว่าพวกเธอแต่ละคนจะสามารถจบหลักสูตรนี้ไปได้ แต่ว่าก่อนหน้าที่จะจบหลักสูตรนั้น สิ่งที่ฉันคาดหวังไว้มากที่สุดคือพวกเธอแต่ละคนจะเอาชีวิตรอดจากการล่าสัตว์ไปได้!”

คำพูดไม่กี่ประโยคนี้ทำให้บรรดาลูกเสืองุนงงสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมการเข้าร่วมหลักสูตรการล่าสัตว์ธรรมดาถึงเกี่ยวพันกับชีวิตขึ้นมาได้

“พวกเธอไม่ได้ฟังผิดไปหรอก มีความเป็นไปได้สูงที่หลักสูตรนี้จะให้พวกเธอจ่ายด้วยชีวิต เพราะว่าสัตว์อสูรที่พวกเธอจะต้องจัดการนั้นไม่ใช่พวกสัตว์อ่อนโยนอย่างที่พวกเธอเคยเห็นมาก่อน แต่ว่าเป็นสัตว์ประหลาดระดับ H เป็นอย่างต่ำ”

เมื่อเหล่าลูกเสือได้ยินว่าระดับต่ำสุดคือสัตว์ประหลาดระดับ H ก็ส่งเสียงเอะอะขึ้นมาทันที ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

สหพันธรัฐเคยประกาศต่อสาธารณะว่า ในจักรวาลมีสัตว์ป่าดุร้ายที่แข็งแกร่งทรงพลังต่างๆ นานา สัตว์ป่าที่ต่ำกว่าระดับ J ลงไปจะอยู่ในขอบเขตการควบคุม หรือพูดอีกอย่างก็คือพลังทำลายไม่ได้สูงนัก ทว่าตั้งแต่ระดับ J เป็นต้นไปจะหลุดพ้นจากขอบข่ายสัตว์ป่าและเข้าสู่ระดับสัตว์อสูร แน่นอนว่าระดับ J ยังคงเป็นสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุด ความสามารถของมันแทบจะใกล้เคียงกับการต่อสู้พื้นฐานที่ไปถึงระดับสองหรือระดับสาม คนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้และเคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาสามสี่ปีต่างจัดการพวกมันได้

ทว่าตั้งแต่ระดับ I เป็นต้นไปไม่เหมือนกันแล้ว ความสามารถของสัตว์อสูรใกล้เคียงกับระดับห้าหรือหกของการต่อสู้พื้นฐาน สัตว์ประหลาดระดับ H ก็เทียบเคียงได้กับระดับแปดหรือเก้าของการต่อสู้พื้นฐาน หรือพูดอีกอย่างก็คือเหยียบเข้าไปในระดับสำแดงตนครึ่งก้าวแล้ว

ในขณะเดียวกันลูกเสืออย่างพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็มีพื้นฐานไปถึงระดับแปดระดับเก้าแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าไปสู่ระดับสำแดงตนที่อยู่สูงกว่าหนึ่งระดับเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับ H พวกนี้ พวกเขาก็ไม่ได้เปรียบอะไรเลย

นี่ทำให้พวกลูกเสืองุนงงสับสน สถานการณ์แบบนี้ยังเป็นวิชาล่าสัตว์อีกเหรอ? แทบจะให้พวกเขาเอาชีวิตไปเดิมพันเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นแค่สัตว์ประหลาดระดับต่ำสุดของที่นี่เท่านั้น ถ้าเกิดโชคร้ายเจอระดับ G หรือว่าระดับที่สูงกว่านี้ล่ะ พวกเขาไม่จบเห่ไปทันทีเลยเหรอ?

ในตอนนี้เอง เสียงกังวานนั้นก็ดังขึ้นข้างหูเหล่าลูกเสียอีกครั้ง “อยากเข้าร่วมหลักสูตรนี้ต่อหรือไม่ สิทธิในการเลือกอยู่ที่ตัวพวกเธอแล้ว ถอยตอนนี้ก็ยังทันนะ ทางขวามือของพวกเธอก็คือจุดลงทะเบียนถอนตัว ตอนนี้จะให้เวลาพวกเธอเลือกสามนาที…”

เวลานี้ทางด้านขวามือที่พวกหลิงหลานยืนอยู่ มีทหารคนหนึ่งที่อุ้มออปติคัลคอมพิวเตอร์ไว้กำลังโบกมือให้พวกเขาอยู่ บ่งบอกว่ารบกวนไปหาเขา หากคิดจะถอนตัว

ตัวเลือกที่มาโดยไม่คาดคิดนี้ทำให้บรรดาลูกเสือตกสู่ความสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี

ในเวลานี้เอง อู่จย่งดึงเยี่ยซวี่สื่อว่าพวกเขาจะเข้าไปปรึกษากับพวกหลิงหลาน ส่วนหลี่อิงเจี๋ยที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งแววตาวูบไหว เขาพลันกัดฟันและก็ตามเข้ามาเช่นกัน

“หลิงหลาน นายคิดว่าไง?” อู่จย่งเอ่ยถาม

หลิงหลานประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าอู่จย่งจะเข้ามาสอบถามความคิดเห็นของเธอ แต่ว่าประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ เธอยังคงตอบการตัดสินใจของตัวเองให้อู่จย่งฟังอย่างตรงไปตรงมาว่า “เข้าร่วมหลักสูตรต่อสิ”

“ไม่กลัวอันตรายเลยหรือไง?” อู่จย่งเอ่ยถาม แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดสื่อความในใจของเขาไม่ได้อยู่บ้าง จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ฉันหมายถึงพวกลูกทีมของนาย” การต่อสู้ของหลิงหลานกับครูฝึกในวันนั้นทำให้อู่จย่งรู้ว่าความสามารถของหลิงหลานแตกต่างกับพวกเขามากเกินไปแล้ว บางทีการล่าสัตว์นี้อาจจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อเขาเลย แต่ว่าสำหรับหานจี้จวินกับหลินจงชิงไม่เหมือนกัน….

“การล่าสัตว์คราวนี้อันตรายมากจริงๆ เรื่องที่พวกเขาพูดมาก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง แต่ว่าอันตรายก็นำโอกาสมาให้เหมือนกัน รวมไปถึงการเพิ่มความสามารถด้วย…” หลิงหลานกล่าวถึงตรงนี้ก็หันไปมองพวกฉีหลงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันเชื่อว่าพวกฉีหลงจะปกป้องตัวเองได้ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น หาโอกาสของตัวเองเจอ”

หลังจากที่หลิงหลานเอ่ยคำพูดประโยคนี้จบ เธอก็พยักหน้าหนักๆ และพูดว่า “พวกเขาแข็งแกร่งกันขนาดนี้นี่นา!”

คำพูดประโยคนี้ดังก้องทรงพลัง บ่งบอกว่าหลิงหลานเชื่อมั่นพวกฉีหลงเต็มร้อย

คำกล่าวนี้ก็ทำให้พวกฉีหลงยิ้มสว่างไสวเช่นกัน นี่คือสีหน้าตื้นตันใจ พริบตานั้นในใจพวกเขาเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงว่านักรบยอมตายเพื่อเพื่อนรู้ใจได้…ความเชื่อใจของหลิงหลานทำให้หัวใจที่เดิมทีตุ้มๆ ต่อมๆ ของพวกเขาสงบลงทันที

อู่จย่งมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด ถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้จะอันตรายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของพวกเราด้วย จะทิ้งหลักสูตรนี้ไม่ได้แน่นอน”

คำพูดของอู่จย่งทำให้หลิงหลานพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หลี่อิงเจี๋ยได้ยินบทสนทนาระหว่างอู่จย่งกับหลิงหลานแล้ว ความลังเลในตอนแรกหายไปเช่นกัน เขาลอบกล่าวกับตัวเองว่าแพ้พวกหลิงหลานกับอู่จย่งไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาทำได้ เขาเองก็ทำได้เหมือนกัน

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ในใจของอู่จย่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีคำถามของเขาเมื่อสักครู่นี้มีเป้าหมายหวังว่าคำตอบของหลิงหลานจะเป็นคำพูดที่ไม่แยแส ทำให้ในใจพวกฉีหลงเกิดความรู้สึกคับข้องใจ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคำตอบของหลิงหลานกลับทำให้พวกฉีหลงเลื่อมใสศรัทธาหลิงหลานมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคิดจะทำให้พวกฉีหลงแยกจากหลิงหลาน หันมาร่วมมือกับเขานั้นไม่มีความเป็นไปได้เลย นี่ก็บ่งบอกแล้วว่าโอกาสที่เขาจะกดหัวหลิงหลานนั้นแทบจะเป็นศูนย์

ใช่แล้ว อู่จย่งไม่เคยคิดจะยอมแพ้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว เขาอยากเอาชนะหลิงหลานมาตลอด เมื่อเห็นว่าการท้าประลองหลิงหลานหนึ่งต่อหนึ่งเป็นเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้แล้ว ก็เลือกการท้าประลองแบบทีม เขาตั้งเป้าไว้ว่าประลองตัดสินกันในตอนอยู่ปีเจ็ด หรือก็คือตอนอายุ 13 ท้าประลองด่านโลกออนไลน์เสมือนจริง

แต่ความสามารถของทีมหลิงหลานก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน เขามีฉีหลงกับลั่วล่างซึ่งเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะสองคน แต่อู่จย่งไม่ได้ท้อแท้ใจเพราะเหตุนี้ เขาไม่คิดว่าพวกฉีหลงจะยอมรับหลิงหลานอย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ โดยเฉพาะฉีหลง คนที่เป็นอันดับหนึ่งของห้องพวกเขามาตลอดจะยินดีเป็นหุ่นเชิดในมือหลิงหลานจริงๆ เหรอ?

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเอ่ยถามคำถามที่มีกับดักไว้เป็นพิเศษ ถ้าหากหลิงหลานแสดงท่าทีไม่สนใจสมาชิกทีมขึ้นมา เขาก็จะมีโอกาสกระตุ้นความไม่พอใจของฉีหลงจากในคำพูด สุดท้ายก็ทำให้ทีมหลิงหลานแตกคอกัน (สมาชิกทีมสามารถเลือกสร้างทีมเองได้ในเวลาจำเป็น หลังจากนั้นสมาชิกคนอื่นๆ ของทีมสามารถเลือกหัวหน้าทีมที่อยากจะติดตามใหม่ได้ จากนั้นก็ทำการจัดแบ่งทีมใหม่ นี่เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมเพื่อจัดการในตอนที่ทีมเกิดความขัดแย้งที่ไม่อาจแก้ได้)

แต่ผลที่ได้กลับทำให้เขาผิดหวัง มิตรภาพระหว่างทีมหลิงหลานแข็งแกร่งดั่งเหล็กมาก ทุกคนต่างรู้ตำแหน่งของตัวเองดี ไม่มีความขุ่นเคืองใจอย่างที่เขาจินตนาการไว้เลย

ความจริงแล้วการที่อู่จย่งมีความคิดเหล่านี้เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจตำแหน่งของหลิงหลานที่อยู่ในใจพวกฉีหลง พูดได้ว่าคนที่นับถือหลิงหลานมากที่สุดในทีมหลิงหลานไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉีหลง ควรจะพูดว่าหลิงหลานถือได้ว่าเป็นกึ่งอาจารย์ของฉีหลง มีหลายครั้งที่ฉีหลงเจอปัญหาในการต่อสู้ เขาก็ให้หลิงหลานมาแก้ไขข้อสงสัยให้ ดังนั้นฉีหลงไม่ยอมรับคนอื่นได้ แต่ว่าไม่อาจไม่ยอมรับหลิงหลานแน่นอน

ส่วนลั่วล่างการตามติดฉีหลงมาตลอด อันที่จริงเขากับฉีหลงก็นับได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน เวลาฉีหลงเจอข้อสงสัย เขาก็ติดอยู่ในข้อสงสัยเช่นกัน ในขณะที่ฉีหลงก้าวหน้า เขาก็ก้าวหน้าเหมือนกัน หลิงหลานเป็นกึ่งอาจารย์ของฉีหลง และก็เป็นกึ่งอาจารย์ของเขาด้วย เพราะฉะนั้นลั่วล่างเลยไม่เคยคิดจะแยกจากหลิงหลานมาก่อน เขาหวังเพียงอย่างเดียวคือสักวันต้องเหยียบฉีหลงกลายเป็นลูกน้องอันดับหนึ่งข้างกายหลิงหลานให้ได้ (เสี่ยวซื่อกระโดดออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง แม่งเอ๊ย ลูกน้องอันดับหนึ่งของลูกพี่คือฉันนนน…. (ตามต่อด้วยตัว ‘น’ ประมาณสิบล้านตัว) ←มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักแทรกแซงเข้ามา โปรดมองข้ามไป)

ตรงกันข้าม คนที่สงสัยหลิงหลานนิดหน่อยมาตลอดกลับเป็นหานจี้จวินที่ไม่ค่อยเด่นสะดุดตา เขามีความสามารถในการต่อสู้ที่ธรรมดามากในห้องเรียน ชอบใช้สมองแก้ไขปัญหาอย่างยิ่งยวด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับพวกคนที่แขนขาแข็งแรงแต่สมองธรรมดาหรอก ต่อให้มีความสามารถสูงอีกแค่ไหน เขาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างเละเทะภายใต้แผนการที่ไม่เหมือนใครได้ ต่อมาเขาพบว่าความจริงแล้วหลิงหลานเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือมาก (เรื่องนี้มีความดีความชอบของเสี่ยวซื่อเป็นส่วนใหญ่ หลิงหลานไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หานจี้จวินคิดไว้ขนาดนั้น) เขาถึงค่อยยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ของเขาอย่างสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง

ส่วนหลินจงชิงที่เข้าทีมในตอนท้ายสุด เดิมทีเขาก็ขายตัวเข้ามา เขายังไม่ได้รับการยอมรับจากหลิงหลานโดยสมบูรณ์ เวลานี้จึงตั้งเป้าอยากได้การยอมรับจากใจจริงของลูกพี่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดอยากหลุดพ้นจากหลิงหลานเลย….

สามทีมใหญ่ของห้องเอตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรต่อพร้อมกัน คนอื่นๆ ที่เดิมทีลังเลใจอยู่บ้างก็สงบใจลง แล้วทยอยกันบอกว่าจะอยู่ต่อ

ความจริงแล้วคนที่มอบความมั่นใจให้พวกเขายอมอยู่ต่อคือหลิงหลาน บนยานอวกาศหลิงหลานแข่งขันประลองกับครูฝึกคนนั้นได้อย่างทัดเทียม ทำให้พวกเขาเชื่อว่าขอเพียงไม่ใช่สัตว์ประหลาดระดับ G ขึ้นไป จากความสามารถของหลิงหลานแล้วจะต้องเอาชนะพวกมันได้หมด

ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเย็นชามาก ทำหน้านิ่งราวกับไม่ค่อยเป็นมิตร แต่พวกเขาเชื่อว่า หลิงหลานจะลงมือช่วยเหลือในเวลาสำคัญแน่นอน

สามนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการค่ายทหารเห็นเหล่าลูกเสือไม่เลือกจากไปก็พอใจมาก “เด็กกลุ่มนี้ไม่เลวเลยจริงๆ จิตใจแน่วแน่มาก ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ ที่มีหลายคนเลือกถอนตัวตลอด…ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ประมาทเลินเล่อไม่ได้ ต้องระวังตัวขึ้นมาแล้ว เราจะให้พวกเขาเกิดเรื่องอันตรายจริงๆ ไม่ได้เด็ดขาด”

“วางใจเถอะครับ ท่าน! ทีมหุ่นรบไพ่ราชาของเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงพวกลูกเสือออกไปล่าสัตว์ พวกเขาจะบินไปบนฟ้าลอบคุ้มกัน ไม่มีทางให้พวกเขาทำพลาดได้แน่นอน” เสนาธิการเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม

บทที่ 139 ถอนตัวหรืออยู่ต่อ?

สัตว์อสูรกระแทกเข้ากับรั้วฉับพลัน เมื่อทุกคนคิดว่ารั้วจะต้องถูกกระแทกจนหักนั้น ความจริงกลับทำให้พวกเขาตกตะลึงไป ไม่นึกเลยว่ารั้วที่ดูเปราะบางจะแข็งแรงทนทานจริงๆ กระทั่งด้านบนยังมีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่น่ากลัวด้วย รั้วส่งเสียงช็อตไฟฟ้าดังแสบแก้วหู อาร์คไฟฟ้าส่องวูบวาบ ไม่นาน สัตว์อสูรก็ถูกไฟช็อตจนกลายเป็นเถ้าถ่าน สุดท้ายก็ตกลงบนพื้นด้านนอกรั่ว

หลิงหลานค่อยสังเกตเห็นว่า ด้านนอกรั้วมีเถ้าถ่านแบบนี้มากมาย ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์อสูรจำนวนมากที่ฆ่าตัวตายด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่ใช่มีแค่สัตว์อสูรตรงหน้าพวกเขาตัวเดียวเท่านั้น

หานจี้จวินตะโกนเสียงหลงว่า “บาเรียแม่เหล็กไฟฟ้า!”

เสียงนี้ทำให้สีหน้าตกตะลึงของเหล่าลูกเสือเผยความเข้าใจสัตว์อสูรแจ่มแจ้งออกมา มีเพียงบาเรียแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้นถึงจะมีอานุภาพแบบนี้

ดูท่าสัตว์อสูรของดาวดวงนี้จะไม่ธรรมดามากๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐหรอก หลิงหลานคิดเช่นนี้ ไม่เพียงหลิงหลานที่คิดได้ ลูกเสือมากมายต่างก็คิดได้เช่นกัน ใบหน้าพวกเขาเริ่มเผยสีหน้าตึงเครียดออกมา พวกเขาสัมผัสได้แล้วว่าหลักสูตรล่าสัตว์ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการไว้

“นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือทุกคน….”

เวลานี้เอง เสียงก้องกังวานดังลอดเข้ามาในหูของเหล่าลูกเสือทุกคน “ยินดีต้อนรับทุกคนมาที่ดาวอนารยะ ครั้งนี้ นักเรียนห้าสิบคนของสถาบันพวกเธอจะมีหลักสูตรการล่าสัตว์ที่นี่ ฉันคาดหวังจากใจจริงว่าพวกเธอแต่ละคนจะสามารถจบหลักสูตรนี้ไปได้ แต่ว่าก่อนหน้าที่จะจบหลักสูตรนั้น สิ่งที่ฉันคาดหวังไว้มากที่สุดคือพวกเธอแต่ละคนจะเอาชีวิตรอดจากการล่าสัตว์ไปได้!”

คำพูดไม่กี่ประโยคนี้ทำให้บรรดาลูกเสืองุนงงสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมการเข้าร่วมหลักสูตรการล่าสัตว์ธรรมดาถึงเกี่ยวพันกับชีวิตขึ้นมาได้

“พวกเธอไม่ได้ฟังผิดไปหรอก มีความเป็นไปได้สูงที่หลักสูตรนี้จะให้พวกเธอจ่ายด้วยชีวิต เพราะว่าสัตว์อสูรที่พวกเธอจะต้องจัดการนั้นไม่ใช่พวกสัตว์อ่อนโยนอย่างที่พวกเธอเคยเห็นมาก่อน แต่ว่าเป็นสัตว์ประหลาดระดับ H เป็นอย่างต่ำ”

เมื่อเหล่าลูกเสือได้ยินว่าระดับต่ำสุดคือสัตว์ประหลาดระดับ H ก็ส่งเสียงเอะอะขึ้นมาทันที ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

สหพันธรัฐเคยประกาศต่อสาธารณะว่า ในจักรวาลมีสัตว์ป่าดุร้ายที่แข็งแกร่งทรงพลังต่างๆ นานา สัตว์ป่าที่ต่ำกว่าระดับ J ลงไปจะอยู่ในขอบเขตการควบคุม หรือพูดอีกอย่างก็คือพลังทำลายไม่ได้สูงนัก ทว่าตั้งแต่ระดับ J เป็นต้นไปจะหลุดพ้นจากขอบข่ายสัตว์ป่าและเข้าสู่ระดับสัตว์อสูร แน่นอนว่าระดับ J ยังคงเป็นสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุด ความสามารถของมันแทบจะใกล้เคียงกับการต่อสู้พื้นฐานที่ไปถึงระดับสองหรือระดับสาม คนที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้และเคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาสามสี่ปีต่างจัดการพวกมันได้

ทว่าตั้งแต่ระดับ I เป็นต้นไปไม่เหมือนกันแล้ว ความสามารถของสัตว์อสูรใกล้เคียงกับระดับห้าหรือหกของการต่อสู้พื้นฐาน สัตว์ประหลาดระดับ H ก็เทียบเคียงได้กับระดับแปดหรือเก้าของการต่อสู้พื้นฐาน หรือพูดอีกอย่างก็คือเหยียบเข้าไปในระดับสำแดงตนครึ่งก้าวแล้ว

ในขณะเดียวกันลูกเสืออย่างพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็มีพื้นฐานไปถึงระดับแปดระดับเก้าแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าไปสู่ระดับสำแดงตนที่อยู่สูงกว่าหนึ่งระดับเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับ H พวกนี้ พวกเขาก็ไม่ได้เปรียบอะไรเลย

นี่ทำให้พวกลูกเสืองุนงงสับสน สถานการณ์แบบนี้ยังเป็นวิชาล่าสัตว์อีกเหรอ? แทบจะให้พวกเขาเอาชีวิตไปเดิมพันเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นแค่สัตว์ประหลาดระดับต่ำสุดของที่นี่เท่านั้น ถ้าเกิดโชคร้ายเจอระดับ G หรือว่าระดับที่สูงกว่านี้ล่ะ พวกเขาไม่จบเห่ไปทันทีเลยเหรอ?

ในตอนนี้เอง เสียงกังวานนั้นก็ดังขึ้นข้างหูเหล่าลูกเสียอีกครั้ง “อยากเข้าร่วมหลักสูตรนี้ต่อหรือไม่ สิทธิในการเลือกอยู่ที่ตัวพวกเธอแล้ว ถอยตอนนี้ก็ยังทันนะ ทางขวามือของพวกเธอก็คือจุดลงทะเบียนถอนตัว ตอนนี้จะให้เวลาพวกเธอเลือกสามนาที…”

เวลานี้ทางด้านขวามือที่พวกหลิงหลานยืนอยู่ มีทหารคนหนึ่งที่อุ้มออปติคัลคอมพิวเตอร์ไว้กำลังโบกมือให้พวกเขาอยู่ บ่งบอกว่ารบกวนไปหาเขา หากคิดจะถอนตัว

ตัวเลือกที่มาโดยไม่คาดคิดนี้ทำให้บรรดาลูกเสือตกสู่ความสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี

ในเวลานี้เอง อู่จย่งดึงเยี่ยซวี่สื่อว่าพวกเขาจะเข้าไปปรึกษากับพวกหลิงหลาน ส่วนหลี่อิงเจี๋ยที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งแววตาวูบไหว เขาพลันกัดฟันและก็ตามเข้ามาเช่นกัน

“หลิงหลาน นายคิดว่าไง?” อู่จย่งเอ่ยถาม

หลิงหลานประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่คาดคิดว่าอู่จย่งจะเข้ามาสอบถามความคิดเห็นของเธอ แต่ว่าประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ เธอยังคงตอบการตัดสินใจของตัวเองให้อู่จย่งฟังอย่างตรงไปตรงมาว่า “เข้าร่วมหลักสูตรต่อสิ”

“ไม่กลัวอันตรายเลยหรือไง?” อู่จย่งเอ่ยถาม แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดสื่อความในใจของเขาไม่ได้อยู่บ้าง จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ฉันหมายถึงพวกลูกทีมของนาย” การต่อสู้ของหลิงหลานกับครูฝึกในวันนั้นทำให้อู่จย่งรู้ว่าความสามารถของหลิงหลานแตกต่างกับพวกเขามากเกินไปแล้ว บางทีการล่าสัตว์นี้อาจจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อเขาเลย แต่ว่าสำหรับหานจี้จวินกับหลินจงชิงไม่เหมือนกัน….

“การล่าสัตว์คราวนี้อันตรายมากจริงๆ เรื่องที่พวกเขาพูดมาก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง แต่ว่าอันตรายก็นำโอกาสมาให้เหมือนกัน รวมไปถึงการเพิ่มความสามารถด้วย…” หลิงหลานกล่าวถึงตรงนี้ก็หันไปมองพวกฉีหลงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันเชื่อว่าพวกฉีหลงจะปกป้องตัวเองได้ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น หาโอกาสของตัวเองเจอ”

หลังจากที่หลิงหลานเอ่ยคำพูดประโยคนี้จบ เธอก็พยักหน้าหนักๆ และพูดว่า “พวกเขาแข็งแกร่งกันขนาดนี้นี่นา!”

คำพูดประโยคนี้ดังก้องทรงพลัง บ่งบอกว่าหลิงหลานเชื่อมั่นพวกฉีหลงเต็มร้อย

คำกล่าวนี้ก็ทำให้พวกฉีหลงยิ้มสว่างไสวเช่นกัน นี่คือสีหน้าตื้นตันใจ พริบตานั้นในใจพวกเขาเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงว่านักรบยอมตายเพื่อเพื่อนรู้ใจได้…ความเชื่อใจของหลิงหลานทำให้หัวใจที่เดิมทีตุ้มๆ ต่อมๆ ของพวกเขาสงบลงทันที

อู่จย่งมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด ถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้จะอันตรายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของพวกเราด้วย จะทิ้งหลักสูตรนี้ไม่ได้แน่นอน”

คำพูดของอู่จย่งทำให้หลิงหลานพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หลี่อิงเจี๋ยได้ยินบทสนทนาระหว่างอู่จย่งกับหลิงหลานแล้ว ความลังเลในตอนแรกหายไปเช่นกัน เขาลอบกล่าวกับตัวเองว่าแพ้พวกหลิงหลานกับอู่จย่งไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาทำได้ เขาเองก็ทำได้เหมือนกัน

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ในใจของอู่จย่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีคำถามของเขาเมื่อสักครู่นี้มีเป้าหมายหวังว่าคำตอบของหลิงหลานจะเป็นคำพูดที่ไม่แยแส ทำให้ในใจพวกฉีหลงเกิดความรู้สึกคับข้องใจ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคำตอบของหลิงหลานกลับทำให้พวกฉีหลงเลื่อมใสศรัทธาหลิงหลานมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคิดจะทำให้พวกฉีหลงแยกจากหลิงหลาน หันมาร่วมมือกับเขานั้นไม่มีความเป็นไปได้เลย นี่ก็บ่งบอกแล้วว่าโอกาสที่เขาจะกดหัวหลิงหลานนั้นแทบจะเป็นศูนย์

ใช่แล้ว อู่จย่งไม่เคยคิดจะยอมแพ้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว เขาอยากเอาชนะหลิงหลานมาตลอด เมื่อเห็นว่าการท้าประลองหลิงหลานหนึ่งต่อหนึ่งเป็นเส้นทางที่เป็นไปไม่ได้แล้ว ก็เลือกการท้าประลองแบบทีม เขาตั้งเป้าไว้ว่าประลองตัดสินกันในตอนอยู่ปีเจ็ด หรือก็คือตอนอายุ 13 ท้าประลองด่านโลกออนไลน์เสมือนจริง

แต่ความสามารถของทีมหลิงหลานก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน เขามีฉีหลงกับลั่วล่างซึ่งเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะสองคน แต่อู่จย่งไม่ได้ท้อแท้ใจเพราะเหตุนี้ เขาไม่คิดว่าพวกฉีหลงจะยอมรับหลิงหลานอย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ โดยเฉพาะฉีหลง คนที่เป็นอันดับหนึ่งของห้องพวกเขามาตลอดจะยินดีเป็นหุ่นเชิดในมือหลิงหลานจริงๆ เหรอ?

ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงเอ่ยถามคำถามที่มีกับดักไว้เป็นพิเศษ ถ้าหากหลิงหลานแสดงท่าทีไม่สนใจสมาชิกทีมขึ้นมา เขาก็จะมีโอกาสกระตุ้นความไม่พอใจของฉีหลงจากในคำพูด สุดท้ายก็ทำให้ทีมหลิงหลานแตกคอกัน (สมาชิกทีมสามารถเลือกสร้างทีมเองได้ในเวลาจำเป็น หลังจากนั้นสมาชิกคนอื่นๆ ของทีมสามารถเลือกหัวหน้าทีมที่อยากจะติดตามใหม่ได้ จากนั้นก็ทำการจัดแบ่งทีมใหม่ นี่เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมเพื่อจัดการในตอนที่ทีมเกิดความขัดแย้งที่ไม่อาจแก้ได้)

แต่ผลที่ได้กลับทำให้เขาผิดหวัง มิตรภาพระหว่างทีมหลิงหลานแข็งแกร่งดั่งเหล็กมาก ทุกคนต่างรู้ตำแหน่งของตัวเองดี ไม่มีความขุ่นเคืองใจอย่างที่เขาจินตนาการไว้เลย

ความจริงแล้วการที่อู่จย่งมีความคิดเหล่านี้เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจตำแหน่งของหลิงหลานที่อยู่ในใจพวกฉีหลง พูดได้ว่าคนที่นับถือหลิงหลานมากที่สุดในทีมหลิงหลานไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉีหลง ควรจะพูดว่าหลิงหลานถือได้ว่าเป็นกึ่งอาจารย์ของฉีหลง มีหลายครั้งที่ฉีหลงเจอปัญหาในการต่อสู้ เขาก็ให้หลิงหลานมาแก้ไขข้อสงสัยให้ ดังนั้นฉีหลงไม่ยอมรับคนอื่นได้ แต่ว่าไม่อาจไม่ยอมรับหลิงหลานแน่นอน

ส่วนลั่วล่างการตามติดฉีหลงมาตลอด อันที่จริงเขากับฉีหลงก็นับได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน เวลาฉีหลงเจอข้อสงสัย เขาก็ติดอยู่ในข้อสงสัยเช่นกัน ในขณะที่ฉีหลงก้าวหน้า เขาก็ก้าวหน้าเหมือนกัน หลิงหลานเป็นกึ่งอาจารย์ของฉีหลง และก็เป็นกึ่งอาจารย์ของเขาด้วย เพราะฉะนั้นลั่วล่างเลยไม่เคยคิดจะแยกจากหลิงหลานมาก่อน เขาหวังเพียงอย่างเดียวคือสักวันต้องเหยียบฉีหลงกลายเป็นลูกน้องอันดับหนึ่งข้างกายหลิงหลานให้ได้ (เสี่ยวซื่อกระโดดออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง แม่งเอ๊ย ลูกน้องอันดับหนึ่งของลูกพี่คือฉันนนน…. (ตามต่อด้วยตัว ‘น’ ประมาณสิบล้านตัว) ←มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักแทรกแซงเข้ามา โปรดมองข้ามไป)

ตรงกันข้าม คนที่สงสัยหลิงหลานนิดหน่อยมาตลอดกลับเป็นหานจี้จวินที่ไม่ค่อยเด่นสะดุดตา เขามีความสามารถในการต่อสู้ที่ธรรมดามากในห้องเรียน ชอบใช้สมองแก้ไขปัญหาอย่างยิ่งยวด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับพวกคนที่แขนขาแข็งแรงแต่สมองธรรมดาหรอก ต่อให้มีความสามารถสูงอีกแค่ไหน เขาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างเละเทะภายใต้แผนการที่ไม่เหมือนใครได้ ต่อมาเขาพบว่าความจริงแล้วหลิงหลานเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือมาก (เรื่องนี้มีความดีความชอบของเสี่ยวซื่อเป็นส่วนใหญ่ หลิงหลานไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หานจี้จวินคิดไว้ขนาดนั้น) เขาถึงค่อยยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ของเขาอย่างสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง

ส่วนหลินจงชิงที่เข้าทีมในตอนท้ายสุด เดิมทีเขาก็ขายตัวเข้ามา เขายังไม่ได้รับการยอมรับจากหลิงหลานโดยสมบูรณ์ เวลานี้จึงตั้งเป้าอยากได้การยอมรับจากใจจริงของลูกพี่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดอยากหลุดพ้นจากหลิงหลานเลย….

สามทีมใหญ่ของห้องเอตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรต่อพร้อมกัน คนอื่นๆ ที่เดิมทีลังเลใจอยู่บ้างก็สงบใจลง แล้วทยอยกันบอกว่าจะอยู่ต่อ

ความจริงแล้วคนที่มอบความมั่นใจให้พวกเขายอมอยู่ต่อคือหลิงหลาน บนยานอวกาศหลิงหลานแข่งขันประลองกับครูฝึกคนนั้นได้อย่างทัดเทียม ทำให้พวกเขาเชื่อว่าขอเพียงไม่ใช่สัตว์ประหลาดระดับ G ขึ้นไป จากความสามารถของหลิงหลานแล้วจะต้องเอาชนะพวกมันได้หมด

ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเย็นชามาก ทำหน้านิ่งราวกับไม่ค่อยเป็นมิตร แต่พวกเขาเชื่อว่า หลิงหลานจะลงมือช่วยเหลือในเวลาสำคัญแน่นอน

สามนาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการค่ายทหารเห็นเหล่าลูกเสือไม่เลือกจากไปก็พอใจมาก “เด็กกลุ่มนี้ไม่เลวเลยจริงๆ จิตใจแน่วแน่มาก ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ ที่มีหลายคนเลือกถอนตัวตลอด…ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็ประมาทเลินเล่อไม่ได้ ต้องระวังตัวขึ้นมาแล้ว เราจะให้พวกเขาเกิดเรื่องอันตรายจริงๆ ไม่ได้เด็ดขาด”

“วางใจเถอะครับ ท่าน! ทีมหุ่นรบไพ่ราชาของเราเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงพวกลูกเสือออกไปล่าสัตว์ พวกเขาจะบินไปบนฟ้าลอบคุ้มกัน ไม่มีทางให้พวกเขาทำพลาดได้แน่นอน” เสนาธิการเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม

……………………………….

Related