นที่ 27 เป้าหมายนั้นคือเมืองหลวงของจักรวรรดิ

——–

「ข้าไม่ยอมให้อภัยพวกที่มันแอบเอาเรือลักลอบเข้ามาหรอกนะโว๊ย! ไม่ต้องไปปราณีพวกมันจมเรือเดินสมุทรพวกนั้นให้หมด!!」

กัปตันณองเดินกองเรือรบของเขาออกไปและทำการลาดตระเวนทั่วบริเวณชายฝั่ง รวมไปถึงเขายังได้ส่งคำสั่งให้มีการเสริมการป้องกันตามแนวชายฝั่งทั่วจักรวรรดิด้วยนกทะเลไปยังสำนักงานในจุดต่างๆ ของบริษัทอินเดี้ยนตะวันออกที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ของจักรวรรดิ เพราะเนื่องจากเหล่าลูกเรือและคนงานอาจจะติดเชื้อด้วยก็ได้ เขาจึงได้ให้นกทะเลนั้นส่งยาตามไปด้วย

นอกชายฝั่งนั้นมีเรือขนาดใหญ่ที่ถูกลงทะเบียนในนามของเนเดลลอยอยู่ ซึ่งสถานการณ์ภายในเรือนั้นอยู่ในขั้นวิกฤติและนั่นก็คือเรือที่ฟาร์มานั้นหาไม่พบนั่นเอง เพราะมันได้ออกมาจากฝั่งสักพักหนึ่งแล้ว

เหล่าลูกเรือที่อยู่บนเรือนั้นต่างติดเชื้อกาฬมรณะกันทั้งสิ้น พวกเขากำลังล้มตัวลงนอนบ้าง อาการสาหัสบ้าง เสียชีวิตบ้างปนๆ กันไป เพราะพวกเขานั้นพยายามที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเนเดลของตนแต่ขณะนี้แม้แต่การควบคุมเรือยังไม่สามารถจะทำได้เลย จนมันกลับมาใกล้ๆ บริเวณจุดลาดตระเวน

「หืมม นั่นมันเรือที่ลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ใช่หรือไงกัน? 」

โดยไม่รอช้า กัปตันณองได้ทำการสั่งให้ปืนใหญ่นั้นกระหน่ำกระสุนจำนวนมากไปยังเรือลำนั้นจนพัดเรือออกไปไกล และจมลงสู่ก้นทะเลในที่สุด

「ถ้าพวกแกเชื่อฟังทางนี้ซะตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก ไอ้เจ้าพวกงี่เง่าเอ้ย!」

“นี่ไม่ใช่การกักกันในเสรีทางการค้าครับ แต่เป็นการกักกันเพื่อช่วยชีวิตผู้คน” นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาเคยกล่าวไว้

ณองได้มอบมันให้กับเหล่าผู้โง่งมและน่าสงสารเหล่านี้

ธงเรือที่เป็นสัญลักษณ์ของเนเดลค่อยๆ เอนเอียงลงไปเรื่อยๆ จนจมลงไปในที่สุด และนั่นคือจุดสิ้นสุดของการเดินเรืออันยาวนาน

กัปตันณองถอดหมวกของตนและเดินไปยังดาดฟ้าก่อนจะจ้องมองไปยังแหล่งน้ำวนซึ่งเป็นจุดกำเนิดของโรคระบาดค่อยๆ จมลงไป

และในเวลาเดียวกันนั้น เอเลนที่ถูกทิ้งไว้อยู่เบื้องหลัง ณ เมืองมาเชลได้ช่วยกันตรวจสอบและกักกันเหล่าผู้คนและสินค้านำเข้า ร่วมกับเหล่าลูกศิษย์และผู้ใช้ศาสตร์แห่งไฟอย่างรอบคอบ เธอได้เปรียบเทียบผลตัวอย่างของผู้ติดเชื้อที่ได้มาก่อนหน้านี้กับผู้คนกลุ่มต่างๆ จากเรือ

「ทุกลำจนกระทั่งถึงลำที่ 20 ตรงนั้นผ่านไปได้」

「ท่านอาจารย์ เริ่มคุ้นเคยกับการจัดการเรื่องงานกักกันพวกนี้แล้วสินะ ฮิๆ 」

เหล่าลูกศิษย์ของเอเลนต่างชื่นชมในเรื่องนี้ เอลเลนสูดหายใจเข้าและเช็ดแว่นตาของเธอด้วยผ้า

「พวกเราก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรขนาดนั้นหรอก บางทีเราอาจจะเผลอปล่อยให้บางคนหลุดรอดไปก็ได้ ฉันก็ไม่ได้มีพลังพิเศษแบบฟาร์มาคุงด้วย การจะมองคนพวกนั้นขาดเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก」

เรือแต่ละลำนั้นจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบก่อนที่จะสามารถปล่อยให้เข้าไปเทียบท่าได้เพื่อไม่ให้ใครหลุดรอดไปได้ พวกเขาต้องทำตามสิ่งที่ฟาร์มานั้นได้สอนมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งการตรวจลูกเรือและสินค้าที่นำเข้ามา หากพบผู้ป่วยจะให้รีบทำการแยกตัวออกมาก่อนจะทำการรักษา ถ้าเป็นผู้ป่วยในช่วงอาการระยะเริ่มแรกนั้นสามารถรักษาได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่หากปล่อยให้อาการเข้าขั้นที่หนักมากจนเกินไปก่อนจะได้ทำการรักษา ก็คงจะไม่มีหนทางใดจะช่วยได้อีกแล้ว เพราะนี่แหละคือกาฬมรณะ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะสามารถช่วยผู้คนทั้งหมดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ดังนั้นก็จงทำในสิ่งที่ตนพอจะสามารถทำได้ก็พอ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มากล่าวไว้

การกักกันหากใช้ความสามารถของฟาร์มานั้นทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว แต่อัตราการค้นพบเชื้อกาฬมรณะของทางเอเลนนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนักด้วยฝีมือของเอเลนแม้จะใช้เวลามากกว่าก็ตามที

「ยาของท่านฟาร์มานี่สุดยอดไปเลยนะคะ」

「ก็อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ เพราะพวกเราได้ใส่ชุดป้องกันพวกนี้เอาไว้ด้วยเราเลยไม่ติดเชื้อจากผู้ป่วยแม้จะสัมผัสกับพวกเขา มันก็น่ารู้สึกผิดหน่อยๆ นะที่ในอดีตกระทั่งถึงก่อนหน้านี้ชีวิตของฉันไม่เคยรู้สึกว่าได้รับการปกป้องจากเหล่ายาพวกนี้ เหมือนกับในวันนี้เลย」

「ท่าทางท่านฟาร์มาจะบอกไว้อีกนะคะว่ามีโอกาสสามารถสกัดเชื้อเหล่านี้ขึ้นมาได้ซึ่งมีผลเหมือนกับเชื้อจุลินทรีย์」

「นั่นสินะ เรื่องนั้นก็ทำให้ฉันตื่นเต้นสุดๆ ไปเลยล่ะ เอาละมาทำงานส่วนของเราให้ดีที่สุดกันเถอะ ฉันจะคอยอยู่ที่นี่จนกระทั่งจบเรื่องนี้กันไปเลย」

จนถึงตอนนี้ก็เหลือเรือที่ต้องตรวจสอบเพียงแค่ 6 ลำเท่านั้น

「ฟาร์มาคุงก็กำลังพยายามอย่างหนักอยู่……ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ? 」

เอเลนรู้สึกกังวลเกี่ยวกับฟาร์มาที่ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อปาฏิหาริย์มรณะด้วยตัวเองแบบนั้น เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากเธอจะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่บ้างที่ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปได้ เพราะตัวเธอนั้นอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหา ณ จุดจุดนี้ได้

และในวันนั้นเอง ตัวแทนผู้ว่าการอดัมและเอเลนได้ยินถึงเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเอสทาร์ก

「ฉันก็อยากไปจะช่วยทางนั้นบ้างแท้ๆ 」

เอเลนรู้สึกถึงความสามารถอันอ่อนด้อยและความอ่อนแอในฐานะแพทย์โอสถของตัวเอง เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เธอจำเป็นจะต้องพึ่งพาเพียงแต่ยาชนิดใหม่ที่ฟาร์มาคิดค้นขึ้นมาเพียงเท่านั้น ทั้งความรู้ที่เข้าได้อธิบายให้กับเธอได้ฟัง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าฟาร์มานั้นคือผู้ที่แบกรับหน้าที่ที่หนักที่สุดในงานครั้ง ขณะที่ฟาร์มากำลังพยายามอย่างหนักในสถานการณ์เช่นนี้แต่ตัวเอเลนกลับไม่สามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเขาได้เลย

「ตัวฉันน่ะ…ตัวฉันต้องเรียนรู้พื้นฐานในทางการแพทย์การรักษามาจากฟาร์มาคุงให้ได้มากกว่านี้ เพื่อที่ต่อจากนี้จะสามารถช่วยเหลือเขาได้」

เอเลนคิดเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะในอดีตนั้นเธอกับฟาร์มานั้นอยู่ในฐานะแพทย์ด้วยกันทั้งคู่และเธอยังเป็นอาจารย์ของเขาอีกด้วย ด้วยเหตุนั้นในฐานะอาจารย์แล้วเธอไม่อาจจะก้าวเข้าไปให้ฟาร์มาสอนเรื่องราวต่างๆ ให้เธอได้นัก

เรื่องนั้นอาจจะเป็นเหมือนกับบรูโน ด้วยจุดยืนของเขาแล้วก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปหาฟาร์มาแล้วบอกว่า “ช่วยสอนพ่อหน่อยสิ” แน่นอน

(หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ฉันคงจะสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นราวกับนักเรียนคนหนึ่งได้แน่ๆ)

และนี่เป็นอีกครั้งที่เอเลนตระหนักได้ว่าสิ่งที่ฟาร์มาได้สอนมานั้นไม่เพียงแค่สามารถใช้ได้ในจักรวรรดิเท่านั้น แต่มันยังนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้

ความรู้คือพลัง(Scientia est potentia)。

นั่นคือคำที่สลักไว้ยังประตูทางเข้าหลักของวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟ

________________________________________________________

ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว บรรยากาศของค่ำคืนก็เริ่มหนาแน่น

หลังจากออกมาจากหมู่บ้านเอสทาร์ก ฟาร์มาก็พบเหล่าสมาชิกครอบครัวทั้ง 8 คนที่หลบหนีออกมาจากหมู่บ้านจากบ้านร้างในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งทางข้างหน้าของพวกเขานั้นมีปลายทางคือเมืองหลวงของจักรวรรดิ ในหมู่พวกเขานั้นมีอยู่ 3 คนที่มีอาการไข้ขึ้นสูง ทางเด็กเล็กนั้นไม่สามารถขยับไปไหนได้ พวกเขาได้ปลีกตัวแยกออกมาห่างจากคนในหมู่บ้านนี้พอสมควร พวกเด็กๆ นั้นหลับกันไปเร็วมาก เพราะคนกลุ่มนี้ได้หนีออกมาจากหมู่บ้านตั้งแต่ที่คนในบ้านเขานั้นมีอาการไข้ขึ้นสูง

หลังจากมาได้สร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาดขึ้นมาภายในที่พัก อาณาเขตอันแสนบริสุทธิ์ที่สามารถขับไล่เหล่ายุงและแมลงเล็กๆออกไปได้ด้วย เหล่าคนในบ้านนั้นตื่นขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงเท้าของฟาร์มา

「จะ-เจ้าตามพวกเรามาสินะ ที่มาไล่ล่าพวกเราก็เพราะพวกเราเริ่มป่วยกันใช่ไหมล่ะ?!」

ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นมาถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ข่มขู่ เขาชี้ดาบสั้นไปยังฟาร์มาในขณะที่เริ่มมีอาการหอบหืดเนื่องจากความเจ็บป่วย

จากการมองไปยังคนคนนั้น ฟาร์มาได้เห็นแสงสีฟ้าออกมาจากตัวของเขา พวกเขาสามารถเห็นฟาร์มาที่ถือคทาแห่งเทพโอสถซึ่งกำลังเปล่งแสงออกมาได้อย่าง่ายดายแม้จะเป็นที่มืด ส่วนทางฟาร์มาก็รู้ถึงอาการพวกเขาทั้งหมดเช่นกัน

「เจ้าเดินทางมาจัดการกับพวกเราสินะ?! ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม?!」

ผู้เป็นแม่เริ่มพยายามจะปกป้องลูกของตอน

「ไม่นะ ผมยังไม่อยากตาย!」

ประสาทการรับรู้ของพวกเขาพุ่งไปถึงขีดสุด หลังจากที่ผู้บุกรุกได้กล่าวออกมา

「ผมมาเพื่อช่วยพวกคุณครับ」

「เอ๋? 」

「คุณคือ คุณเฮอร์แมนจากหมู่บ้านเอสทาร์กสินะครับ」

ฟาร์มาได้ให้ยาพร้อมกับน้ำสะอาดที่เขาสร้างขึ้นมากับทุกคนและไม่ลืมที่จะร่ายมนตร์บรรเทาเหตุให้กับพวกเขาด้วย

หลังจากร่ายเสร็จฟาร์มาก็รู้สึกแปลกๆ แล้วเดินโซเซไปนั่งยังเก้าอี้ที่เริ่มผุกร่อน

「หลังจากดื่มยาเสร็จแล้วอาการของพวกคุณดีขึ้น กรุณากลับไปยังหมู่บ้านเอสทาร์กด้วยนะครับ และหากเป็นไปได้ระหว่างทางโปรดหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้คนหรือสัตว์ แต่หากเป็นการลำบากในการเดินทาง สามารถยืมเกวียนที่จอดอยู่ตรงทางหลวงได้นะครับ」

ฟาร์มากล่าว “นี่เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางครับ” และมอบเหรียญทองให้กับพวกเขา

「เกิดอะไรขึ้นที่หมู่บ้านกัน? 」

「มี 18 คนเสียชีวิตครับแต่ถึงแบบนั้นคนอื่นๆที่นั่นก็ได้รับยารักษากันหมดแล้ว คิดว่าอาการของพวกเขาน่าจะดีขึ้นในเร็ววันครับ」

「จะ-เจ้าเป็นใครกันแน่!」

「ผมก็เป็นเพียงแค่แพทย์โอสถครับครับ」

ฟาร์มาตอบกลับมาอย่างเงียบๆ

ในเวลานั้นเองได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากทางป่าในยามค่ำคืน และเปลวไฟก็ได้โหมกระหน่ำจนเกิดควันปรากฏอยู่ซึ่งห่างออกไปจากจุดที่ฟาร์มาอยู่หลายกิโลเมตร

หลังจากออกมาจากที่พักฟาร์มารีบทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับคทาแห่งเทพในมือของเขาและตรงไปยังบริเวณป่าที่เกิดเปลวไฟนั้น

เหล่าคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ได้มองตามเขาที่บินไปยังป่านั้นและมองหน้ากัน

「คนคนนั้นเป็นใครกันนะ? กะ-กำลังบินอยู่……」

「ไม่มีทางหรอก คนธรรมดามันจะไปบินได้ซะที่ไหน」

“พวกเราอาจจะเห็นภาพหลอนเพราะไข้ก็ได้นะ” บางคนกล่าวออกมา

ด้วยเหตุนี้พวกเขาก็ได้นอนหลับไป ดูเหมือนว่ายาที่ได้รับมานั้นจะแสดงผลได้เป็นอย่างดีจนอาการของพวกเขานั้นค่อยๆ ดีขึ้นมาเป็นลำดับ

「ตรงนั้นเองสินะ」

ฟาร์มาลงสู่พื้นพร้อมกับคทาแห่งเทพของตนและวิ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งได้พบกับหน่วยไล่ล่าที่สามซึ่งเป็นนักบวชที่มาจากหมู่บ้านเอสทาร์กกำลังล้อมรอบบริเวณเกวียนที่ถูกเปลวไฟปกคลุมไว้ ทั้งศพและสินค้าต่างถูกเปลวไฟกลืนกินคาร์บอนไดออกไซด์กระจายไปบริเวณรอบๆ พร้อมกับสะเก็ดไฟที่ปะทุออกมา

「พวกเขาเสียชีวิตหมดแล้วเหรอครับ? 」

「ครับ ท่านเทพโอสถ พวกเขาเสียชีวิตกันหมดแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่พวกเราจะมาถึงเสียอีกดังนั้นพวกเราเลยจำเป็นที่จะต้องจัดการเผาเกวียนพวกนี้กับศพครับ แล้วก็คนพวกนี้นั้นเป็นคนของทางเนเดลครับ」

ดูเหมือนว่าผู้ที่ขนสินค้าของเนเดลนั้นได้ติดเชื้อกาฬโรคกันหมดและเสียชีวิตไปโดยทิ้งสินค้าเหล่านี้ไว้ ซึ่งมีรายการสินค้าที่พวกเขาทิ้งเอาไว้อยู่ นักบวชได้นำมันมาให้ฟาร์มาดู

「พวกเขาขนอะไรกันมาเหรอครับ? 」

「ตามที่ได้จากรายงานนี้ เป็นพวกเสื้อขนสัตว์คุณภาพสูงกับสีย้อมที่หายากจากทางเขตอาณานิคมนั้นครับ แต่สินค้าที่ว่าบางส่วนนั้นเราไม่พบมันในเกวียนนี้ครับ บางทีมันอาจจะถูกขนไปโดยกลุ่มอื่น」

「แบบนี้ไม่ดีแน่ครับ มันจะต้องมีคาราวานอื่นอยู่ด้วยแน่ๆ ผมจะรีบมุ่งไปตามหน่วยไล่ล่าอื่นก่อนนะครับ」

「พวกเราจะดูแลทางนี้ให้เองครับ」

ฟาร์มาทะยานขึ้นไปบนฟ้าและเริ่มร่ายแดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาด หลังการร่ายออร่าสีน้ำเงินได้แผ่กระจายทั่วท้องฟ้า ซึ่งรัศมีของมันนั้นกว้างหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว

หลังจากการใช้งาน ฟาร์มานั้นค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้าและล้มตัวคุกเข่าลงที่พื้น จังหวะการหายใจของเขาเริ่มไม่ปกติ

「ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? 」

「เอ่อคือ คิดว่าไม่นะครับ……บางที……」

(ระดับความเหนื่อยล้านี่มันอะไรกัน? รู้สึกแตกต่างไปจากทุกที)

เขาเริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวก แม้ว่าเขาจะใช้ศาสตร์แห่งเทพไปพร้อมกับคทาแห่งเทพโอสถของเขามาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยแบบนี้มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามมันมีบางอย่างที่ต่างออกไปจากปกติ “นี่เราติดโรคไปด้วยแล้วงั้นเหรอ?” เขาเป็นกังวล ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ยังสามารถใช้ยาของเรารักษามันได้อยู่แต่ว่า…….

「บางทีท่านอาจจะพลังแห่งเทพหมดก็ได้นะคะ」

「เอ๋? เป็นแบบนั้นเหรอครับ」

สาวผู้ใช้ไฟ เคียร่าได้สังเกตถึงบางสิ่งเธอได้จับบริเวณหลังของฟาร์มาก่อนจะใช้เครื่องตรวจวัดพลังแห่งเทพกับเขา อุปกรณ์ตรวจวัดพลังแห่งเทพนี้หากเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแล้วย่อมต้องพกติดตัวกันทุกคนเพื่อใช้ในการวัดค่าพลังแห่งเทพที่หลงเหลืออยู่ของตน แม้ว่าทางที่ดีที่สุดคือใช้มือทั้งสองจับและวัด แต่ที่จริงแล้วนั้นมันสามารถวัดตรงส่วนไหนของร่ายกายก็ได้ถึงผลลัพธ์ที่ได้จะคลาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย

「คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ? 」

ฟาร์มาไม่ได้รู้สึกตัวถึงเรื่องที่เธอกำลังทำกับเขา ก่อนจะมองหน้าเธอที่กลายเป็นน้ำแข็งไป

「ขอประทานอภัยนะคะ ท่าทางว่าพลังแห่งเทพของท่านจะหมดลงไปจริงๆ ดังนั้นกรุณาพักผ่อนด้วยค่ะ ท่านต้องเหนื่อยมากแน่ๆ 」

เขาไม่เคยรู้สึกถึงพลังแห่งเทพของตนที่ลดลงไปเลยแม้แต่ครั้งเดียวดังนั้นฟาร์มาจึงคิดว่าพลังของตนนั้นไร้ขีดจำกัด

(หากลองกลับมาคิดดูอีกที มันพลังงานที่ใช้กันอยู่ทั่วไปดังนั้นมันก็ไม่มีทางที่จะไร้ขีดจำกัดอยู่แล้วนี่นะ)

มองในมุมของฟิสิกส์แล้วมันเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดามากๆ พลังงานที่ใช่ไปย่อมเกิดการลดลงและสลายไป

(หลังจากเราน่าจะไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้านักบวชที่เมืองหลวงให้ช่วยทดสอบเกี่ยวกับพลังแห่งเทพของเราสักหน่อย คงไม่ดีแน่หากเราปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกโดยไม่มีการวางแผนใดๆ)

“นี่เราจะต้องมาตายเพราะทำงานหนักเกินไปอีกแล้วเหรอเนี่ย” ฟาร์มาคิด

(ถ้าหากเราเกิดตายขึ้นมาจริงๆ)

ตัวเขานั้นยังต้องใช้เวลาอีกมากในการรักษาผู้คนในเมืองหลวง ทั้งเรียนรู้เรื่องศาสตร์แห่งเทพ ไหนจะงานที่เขาทิ้งไว้อีกมากมาย เรื่องที่เขาได้เรียนรู้ในวันนี้ก็ด้วย ทั้งความสามารถในการรักษาผู้คนที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ด้วยยาของเขาอีก

“มันคงจะเป็นเรื่องเลวร้ายสุดๆ แน่หากเราต้องมากตายหลังจบเรื่องนี้ไป” ฟาร์มาคิด

「ฉันรู้สึกอับอายเหลือเกินที่จะเสนอสิ่งนี้ให้กับท่านเทพโอสถแต่ว่าได้โปรดรับมันไว้ด้วยเถอะค่ะ」

ขนมปัง น้ำ และแอปเปิลถูกวางเอาไว้ตรงหน้าของฟาร์มา นี่ก็เกือบจะวันหนึ่งแล้วที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเขาเลย แน่นอนว่ายังไม่ได้พักผ่อนใดๆ เลยด้วย แม้ขนมปังจะทานยากอยู่บ้างแต่ด้วยความรู้สึกอันแสนห่วงใยจากผู้ให้ทำให้มันดูอร่อยขึ้นมาในทันที

「จะดีเหรอครับ? ถ้าอย่างงั้นขอบคุณมากนะครับ」

ฝืนจนเกินไป ฟาร์มาไม่สามารถจะออกบินได้อีกแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องซ้อนท้ายม้าของเคียร่าและมุ่งไปยังเมืองหลวงแทน

「คือว่า สำหรับมนุษย์แล้ว」

เคียร่าเรียกฟาร์มาที่อยู่ในอาการเหนื่อยล้าอย่างหนักซึ่งกำลังหนุนหลังของเธอยู่

「การจะใช้มหามนตราแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ติดต่อกันได้นะคะ แน่นอนว่ามันจะต้องใช้พลังแห่งเทพในการร่ายด้วยแต่ไม่เพียงเท่านั้นพลังใจยังถูกสูบลงไปด้วยค่ะ อาจจะหยาบคายไปบ้าง แต่ประการแรกร่างของท่านยังเป็นแค่เด็กอยู่นะคะจึงต้องควรพักผ่อนให้มากอยู่แล้วหลังจากใช้มนตร์นั้นไป ว่าแต่วันนี้ท่านใช้มันไปแล้วกี่ครั้งกันคะ? 」

เธอนั้นยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นมีน้ำเสียงราวกับเป็นคุณแม่เลยทีเดียว “ผมใช้แดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาด ไปหลายครั้งอยู่เหมือนกันครับ และรวมไปถึงมนตร์ชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการรักษาอีกด้วยครับ” ฟาร์มาพยายามนึก

「สรุปรวมๆ แล้วน่าจะประมาณร้อยกว่าหนครับ ผมก็ไม่แน่ใจนัก」

「นี่ท่านใช้ไปขนาดนั้นเลยเหรอคะ จริงๆ เลย! นี่มันเลวร้ายสุดๆ เลยค่ะ เด็กอย่างท่านคิดแบบนี้ได้ยังไงกัน! ใครสอนให้ท่านใช้มันมากขนาดนั้นกันคะ ท่านอาจจะตายได้เลยนะคะรู้ตัวหรือเปล่า?!」

และเมื่อเธอเริ่มเครื่องติด เหล่านักบวชโดยรอบก็ปรบมือห้ามเธอและบอกว่า อย่าเสียมารยาทกับท่านเทพโอสถสิ

「ขอบคุณครับ พี่เคียร่า」

“แม้เธอจะพูดแข็งไปบ้าง แต่ก็กังวลเกี่ยวกับเราจริงๆ” ฟาร์มาคิดและรู้สึกขอบคุณเธอก่อนจะงีบหลับลงไปบนหลังม้า เคียร่าได้นำเชือกมามัดตัวฟาร์มาไว้กับเธออย่างถูกวิธีก่อนจะเดินทางต่อ

หลังจากม้าวิ่งไปได้สักพัก ประกายไฟดวงใหม่ก็ลุกโชนขึ้นมา ทำให้ฟาร์มาที่รู้สึกถึงไฟตื่นขึ้นมา

「ดูเหมือนพวกเขาจะเจอตัวแล้วสินะ」

ม้ารีบเร่งฝีเท้าไปยังจุดเกิดเหตุก่อนจะพบกับผู้ขนส่งสินค้า 4 คนซึ่งยังรอดชีวิตอยู่พร้อมกับหน่วยไล่ล่าลำดับที่ 2 สินค้าของพวกเขานั้นถูกเผาจนสิ้น ส่วนคนเหล่านั้นต่างมีอาการไข้ขึ้นและเหนื่อยล้าจนไม่สามารถต้านทานหน่วยไล่ล่าได้

「พะ-พวกเราก็แค่ถูกจ้างมาเท่านั้นเองนะ!」

「พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในมีอะไร」

คนเหล่านั้นต่างเริ่มพูดแก้ตัว

พวกเขาเป็นคนที่มาจากเนเดล

ฟาร์มาลงจากมาและเดินเข้าไปหาพวกเขา คนพวกนั้นเริ่มมีอาการสงสัยเพราะมีเพียงแค่เด็กเท่านั้นที่เดินเข้ามาหา

「มีเกวียนและเหล่าคาราวานอีกเท่าไหร่ครับ ที่มุ่งไปยังเมืองหลวง? ถ้าหากพวกคุณตอบคำถามผมมาผมจะให้ยารักษาครับ แต่ถ้าไม่….」

ฟาร์มาเริ่มข่มขู่พวกเขาด้วยเสียงที่ไร้อารมณ์

「มีเกวียนอีก 4 คันที่มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงครับ สองคันเป็นพวกเสื้อขนสัตว์ อีกหนึ่งคือพวกเครื่องเทศ และสุดท้ายคือพวกสัตว์ครับ」

เพราะพวกเขาต้องการที่จะมีชีวิตรอดจึงได้พูดออกไป เพราะพวกเขานั้นซื้อม้ามาด้วยซึ่งทำให้คาดการได้ว่าการขนส่งจะถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้

「สัตว์……? 」

ฟาร์มาเริ่มรู้สึกไม่ดี

「พวกมันคือกระรอกสีขาวจากเกาะแพนทีสครับ」

(พวกตระกูลหนูมันอาจจะเป็นพาหะก็ได้)

สัญชาตญาณของฟาร์มากำลังร้องขึ้นมา มนุษย์นั้นสามารถติดเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมาผ่านหมัดของหนูและสัตว์ฟันแทะอย่างพวกกระรอกได้ สินค้าในจุดนั้นอาจจะเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อเลยก็ได้

「เกาะแพนทีสมันเป็นเกาะที่มีผู้คนตายกันยกเกาะนะครับ พวกคุณก็รู้เรื่องนี้สินะ? แล้วทำไมพวกคุณถึงยังไปเอาสัตว์จากเกาะแบบนั้นมาอีกพวกคุณรู้หรือเปล่าว่าที่พวกคุณติดเชื้อแล้วเพื่อนของพวกคุณที่ตายไปน่ะก็เป็นเพราะพวกมันนั่นแหละ!」

ฟาร์มาถามทั้งสี่คนนั้นขณะที่กำลังพยายามข่มความโกรธของตน

「ผะ-ผมไม่รู้นี่นา แถมพวกเราก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนั้นด้วย ก็นึกว่าพวกนั้นแค่รับภาระหนักในการเดินทางนานๆ ไม่ได้ พวกเราก็แค่เดินทางเอาของมาส่งหลังจากไปที่เกาะนั้นแล้วแค่นี้เอง!」

เขาเริ่มบ่น เพราะบนโลกใบนี้โรคร้ายต่างๆ นั้นเป็นฝีมือของปีศาจทั้งนั้น

ความรู้เรื่องที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ติดเชื้อมาพร้อมกับสัตว์นั้น นอกจากเหล่าผู้คนในเมืองหลวงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนในประเทศอื่นๆ จะรู้ถึงตัวตนของมัน

“พวกเราก็แค่ไปขนของมาต่อเพื่อขายในราคางามๆ เท่านั้นเอง” ,พวกเขาบอกว่าแม้จะมี 18 คนต้องตายไปก็ตามแต่พวกเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์นี้เท่านั้น

「คนมีกี่คนกันที่มุ่งไปยังเมืองหลวง」

「มีผู้ดูแลสินค้า 24 คนและครูเซเดอร์อีก 5 คนครับ」

「ครูเซเดอร์? 」

ครูเซเดอร์ โดยปกตินั้นพวกเขาจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพซึ่งมีทักษะในการรบระยะประชิดด้วย แน่นอนว่าพวกเขาจะรับใช้แต่ชนชั้นสูงเท่านั้น

「เป็นผู้ใช้ลม 3 น้ำ 2 ซึ่งเป็นอัศวินของทางราชอาณาจักรเนเดลครับ」

「แล้วทำไมอัศวินของราชอาณาจักรแบบนั้นถึงมาอยู่กับกองคาราวานเล็กๆ กัน!」

การที่จะมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพมาดูแลสินค้าต่างๆ นั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย หากขาดการสนับสนุนจากชนชั้นสูงบางกลุ่ม

「ผม ก็ไม่รู้ครับ พวกเขาก็ตามมาตั้งแต่ตอนเทียบท่าแล้ว……」

「แบบนี้มัน……ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ค่ะ เพราะโดยปกติแล้วผู้คนมักจะไม่รับสินค้าที่ส่งมาจากเกาะที่มีโรคเพราะในปีถัดไปพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานเทศกาลสินค้าแซงต์เฟลิฟ เนื่องจากปัญหาความไว้เนื้อเชื่อใจ 」

เคียร่าเสนอความคิดเห็น ซึ่งฟาร์มาก็เห็นด้วย

(หรือว่าภารกิจของครูเซเดอร์พวกนั้นคือการมาแพร่กระจายเชื้อยังจักรวรรดิ?)

“หากลองกลับมาคิดดูดีๆ ทำไมถึงมีเพียงแค่เอลิซาเบทเพียงคนเดียวที่ติดเชื้อวัณโรคกันในตอนแรก เพราะโดยปกติแล้วมันเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติมากๆ แถมยังไม่พบที่มาของแหล่งเชื้ออีกต่างหาก” ฟาร์มาเริ่มสงสัย เขาคิดว่าคนของทางนั้นอาจจะมีเชื้อวัณโรคอยู่ซึ่งวางแผนให้มันติดมากับพวกของบรรณาการแก่จักรพรรดินี เมื่อพวกเขารู้ว่าแผนการนั้นถูกทำลายลง จึงได้สร้างแผนการใหม่ขึ้นมาโดยการกระจายโรคเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของเมืองหลวงแทน โดยกระรอกจำนวนมากที่ติดเชื้อ

“อย่าบอกน่าจะ เนเดลจงใจแพร่กระจายโรคระบาดและพยายามจะทำลายจักรวรรดิโดยใช้มัน…..……” ฟาร์มาเริ่มตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้นเพราะเรื่องนี้

「พวกเราก็พูดเท่าที่รู้ไปหมดแล้วนะ ที่นี่ก็ให้ยาพวกเรามาได้แล้ว ท่านมีติดตัวอยู่สินะ? 」

เหล่าผู้ดูแลสินค้าต่างร้องไห้ของชีวิตตน คนพวกนี้ก็เป็นเพียงกระสุน กระสุนที่บรรจุดินปืนซึ่งมีชื่อเรียกว่า กาฬโรค….

「ท่านเทพโอสถคะ จะดีเหรอคะที่จะเอายามาให้พวกชั้นต่ำแบบนี้จริงๆ 」

เคียร่าแสดงท่าทางน่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

แบบนี้ก็เป็นเรื่องโกหกน่ะสิ หากเขาไม่ได้ให้ยากับคนพวกนั้นไป แต่ด้วยคติของเขาที่มองว่าทุกคนนั้นเท่าเทียบกันจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้ให้ยากับคนพวกนั้นไป

ด้วยคำพูดของคนพวกนี้อาจจะช่วยในการป้องกันการขนสินค้าที่มีเชื้อและป้องกันการลักลอบเข้าประเทศได้มากยิ่งขึ้นก็ได้

「หลังจากพวกเขาฟื้นตัวแล้ว พาพวกเขาไปยังเมืองหลวงด้วยนะครับและช่วยจัดการพวกเขาตามกฎของทางจักรวรรดิด้วย」

หลังจากพูดเสร็จฟาร์มาก็จับคทาแห่งเทพของเขา เนื่องจากได้พักผ่อนอยู่บนหลังม้ามาบ้างแล้วตอนนี้เขาจึงกลับมาบินได้

「เมืองหลวงกำลังตกอยู่ในอันตราย」

เหล่านักบวชต่างช่วยกันอธิษฐานต่อเด็กหนุ่มผู้บินหายไปในท้องฟ้าพร้อมกับดวงอาทิตย์รุ่งสาง

_________________________

นกพิราบสื่อสารสองตัวถูกส่งมาจากฟาร์มาที่อยู่ยังเมืองมาเชลถึงบรูโนที่อยู่ในเมืองหลวงโดยตัวแรกนั้นเป็นจดหมายรายงาน

พบเรือบรรทุกสินค้ามีเชื้อกาฬมรณะและเหล่ากาละสีเรือก็ต่างติดเชื้อ

กาฬมรณะนั้นสามารถป้องกันได้หากมีการกักกันเรือไว้ตั้งแต่ที่น่านน้ำ แต่มันก็ไม่แน่ว่าเชื้อตัวนี้อาจจะถูกนำพาไปยังประเทศอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า

เพิ่มความเฝ้าระวังของเขตกักกันภายในเมืองหลวงและพยายามแยกผู้ที่กลับมาจากที่อื่นไว้นอกกำแพงบริเวณเขตกักกันประมาณสองถึงสามวัน

นั่นคือคำแนะนำที่ฟาร์มาเขียนมา

「ในที่สุดมันก็มีถึงสินะ! ฟาร์มา เอเลโอนอร์……พวกเธอจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ? 」

“เพราะฟาร์มาและเอเลนต่างก็มีโอกาสติดเชื้อ” บรูโนจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามบรูโนก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติงานของตนอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้

เมื่อบรูโนได้รับรายงานเรื่องนี้ เขารายงานเรื่องกาฬมรณะถึงจักรพรรดินีและพระองค์ตอบกลับมา

「ฝันร้ายนั้น ได้กลายเป็นจริงแล้วสินะ อย่างไรก็ตามลูกของท่านนั้นทำได้ดีมากในการเตรียมรับมือสิ่งนี้」

เธอยกย่องผลงานนี้กับบรูโน

「พวกเราจะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ บางทีหากพวกเราทำการปิดประตูของเมืองหลวงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ」

รัฐมนตรีกิจการแห่งรัฐฟิลิปถามกับจักรพรรดินี มีแม่น้ำสามสายหลักไหลผ่านเมืองหลวง ประตูทางเข้าสิบสองแห่งและทางน้ำอีกแปดแห่งด้วยการตรวจสอบที่เข้มงวดนี้ จะสามารถกำจัดการเดินเรือผ่านทางน้ำที่จะเข้ามาได้

「ขอประทานอภัยที่เข้ามาแทรก แต่กระหม่อมคิดว่าหากพวกเราปิดประตูและทางน้ำแล้ว ภายนอกปราสาทนั้นต้องเกิดการระบาดของโรคอย่างหนักแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ」

บรูโนกล่าว หากมีการปิดประตูเมืองและทางน้ำจริงๆ เมืองหลวงนั้นจะสามารถรอดพ้นจากโรคระบาดนี้ได้ แต่ถึงแบบนั้นเหล่าพ่อค้าและผู้คนที่อยู่ภายนอกนั้นก็จะทำการแพร่เชื้อไปยังบริเวณอื่นๆ แทนและนั่นจะทำให้การขนส่งสินค้าทรัพยากรต่างๆ ภายในนั้นหยุดชะงักลงไป เพราะส่วนใหญ่แล้วทั้งสินค้าและอาหารภายในเมืองหลวงนั้นต่างถูกนำเข้ามาจากแหล่งอื่น ถ้าหากประตูไม่สามารถเปิดได้แบบนี้ก็เหมือนการปิดตายตัวเอง

เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคนั้นยังไม่ค่อยเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้คนแถบบริเวณเมืองหลวงนั้นก็ถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อยหมดแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องดีด้วยที่จะให้ผู้คนภายในเมืองหลวงรู้ถึงการมาของมัน นั่นคือสิ่งที่

บรูโนพูด

และคำสั่งนั้นก็ถูกส่งไปยังสถานกักกันทันที

เหล่าบุคลากรของร้านขายยาต่างโลกสาขาสองและสามรวมไปถึงเหล่าสมาชิกของกิลด์ร้านขายและจ่ายยาต่างก็ทำงานอยู่ที่สถานกักกัน ลอตเต้ เซดริกและ บรรดาแพทย์โอสถต่างสวมผ้าปิดปากป้องกันเอาไว้ กำลังตรวจสอบเหล่าพ่อค้าที่จะเข้ามายังเมืองหลวงของจักรวรรดิและมอบผ้าปิดปากนี้ให้กับคนเหล่านั้นด้วย

「ทุกคนคะ〜! มาป้องกันตัวเอง〜! จากโรคร้าย〜กันเถอะค่ะ〜!」

ลอตเต้พูดขึ้นมา

「นี่คือผ้าปิดปากที่จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกคุณหายใจสูดเอาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เข้าไปครับ」

「สิ่งมีชีวิตเล็กๆ? 」

เหล่าพ่อค้าไม่เข้าใจ แต่เหล่าทหารยามก็กล่าวแบบนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำตาม

「อืมมมม……?!」

ปีแอร์ หัวหน้ากิลด์ร้านขายและจ่ายยาผู้อยู่ในค่ายกักกันส่วนกลาง กำลังตรวจสอบผลรายงานที่ได้มาจากสถานกักกันทั้งหกแห่ง

「อ้า……คุณปีแอร์อยู่นี่นี่เอง」

ความตีงเครียดได้ไหล่เขามาผ่านเสียงของช่างเทคนิค

「ไม่ผิดแน่นอนครับ ผลของมันเป็นบวก!」

พวกเขาบอกว่าเหล่าคาราวานพ่อค้าซึ่งขนพวกกระรอกขาวนั้นถูกกักไว้ในเขตกักกันนั้นมีเชื้อของกาฬมรณะที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงอย่างไรด้วยวิธีการตรวจสอบของฟาร์มาได้มอบให้ผลที่แสดงออกมาจากคนพวกนั้นคือบวก

ปีแอร์ไม่ลังเลใจที่จะเชื่อรายงานนั้น เพราะเขาเชื่อในตัวฟาร์มาด้วย พ่อค้าทุกคนที่มานั้นมีผลตรวจออกมาเป็นบวกและเหล่าผู้ดูแลซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ตามมานั้นก็มีไข้สูง

「แยกพวกเขาออกมา! แยกพวกเขาออกมาเดี๋ยวนี้ーー!! พวกเราต้องรีบไปที่สถานกักกันแห่งที่ 6 โดยด่วนー!!」

แต่เมื่อปีแอร์และเหล่าผู้ช่วยมาถึง ณ ที่แห่งนั้น

“หอกสายน้ำ(Spear van water)”

เขาได้พบกับเหล่าครูเซเดอร์แห่งเนเดลกำลังปลดปล่อยศาสตร์แห่งเทพออกมา

————

Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913