ตอนที่ 77 ดูถูกผู้ใด
น้องสี่ มาเฝ้าเตาไฟให้หน่อย กระเพาะหมูห่อไก่ต้องตั้งเตานานถึง 2 ชั่วยามซึ่งเป็นเวลานานพอที่นางจะขึ้นไปตักน้ำบนภูเขามารดแปลงนาได้
ช่วงนี้ที่บ้านของนางทำผลไม้อบแห้งเป็นงานเสริมจึงจำเป็นต้องใช้ฟืนจำนวนมาก แม้ว่าพี่สาว น้องเล็กและนางเฝิงจะช่วยไปขนกลับมาทุกเช้าก็ยังไม่ทันกับความต้องการใช้งานอยู่ดี
หลังจากรดน้ำที่ดิน 3 หมู่เรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ขึ้นเขาไปแบกท่อนไม้แห้งสองท่อนกลับมาด้วย ซึ่งแต่ละท่อนมีความหนาเท่ากับถังน้ำ
ตอนที่นางแบกท่อนไม้ลงจากเขามาก็มีชาวบ้านที่กำลังทานข้าวอยู่ตรงประตูบ้านเห็นเข้า พวกเขาต่างก็พากันเบิกตากว้างเพราะไม่ว่าบนบ่าของนางจะเป็นท่อนไม้ประเภทใด ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์สองคนก็ยังเหนื่อยแต่นางสามารถแบกมันไว้สองท่อนอย่างสบายราวกับว่า…จะบีบบังคับให้ผู้ชายไปตายเสียให้ได้ !
หลังจากที่บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินหายโง่เขลา สิ่งที่ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินกันมากที่สุดคือ ‘เจ้าช่างไร้ประโยชน์ สู้บุตรสาวคนรองสมองทึ่มของตระกูลหลินก็ไม่ได้ ! ’ หึ ยิ่งคิดยิ่งแค้น…
ท่อนไม้แห้งทั้งหนาและยาว ไม่สามารถย้ายเข้าไปเก็บในลานบ้านได้อย่างสะดวก หลินเว่ยเว่ยจึงผ่าฟืนที่หน้าประตูเสียเลย นางค่อย ๆ มัดแล้วเอาเข้าไปกองไว้ในห้อง หากเป็นผู้อื่นไม้สองท่อนนี้คงใช้เวลาผ่าเป็นวัน แต่หลินเว่ยเว่ยผ่ามันอย่างรวดเร็วและง่ายดายราวกับหั่นเต้าหู้ นางใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
นางเฝิงเห็นเช่นนั้นก็อดชื่นชมไม่ได้ เสี่ยวเว่ยมีความสามารถเสียจริง ทั้งตัวราวกับว่ามีพลังงานไม่รู้จบ แรงของนางเพียงคนเดียวสามารถเทียบได้กับชายฉกรรจ์ถึง 3 คน !
ทว่านางหวงกล่าวอย่างทุกข์ใจ นางยังเด็กจึงใช้ชีวิตไม่รู้จักออมแรง ข้ากลัวว่านางจะเหน็ดเหนื่อยจนบาดเจ็บ ข้าเคยเตือนให้นางอย่าทุ่มเทแรงมากเช่นนี้ นางเองก็รับคำเป็นอย่างดี แต่ไม่ทันไรก็ไปทำสิ่งมากมายอีกแล้ว
ความกังวลของท่านถือว่ามีเหตุผล วันหลังข้าจะช่วยเกลี้ยกล่อมนางอีกแรงก็ได้ ส่วนสูงและรูปร่างของหลินเว่ยเว่ยทำให้ผู้อื่นมองข้ามเรื่องอายุและเพศไป แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น อีกทั้งนางยังทำแต่งานของผู้ใหญ่ พอคิดแล้วก็น่าเศร้าใจ หากเหล่าหลินยังอยู่จะยอมให้เด็กหญิงคนหนึ่งแบกรับครอบครัวในปีที่เกิดภัยพิบัตินี้ได้อย่างไร ?
กระเพาะหมูห่อไก่เสร็จแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยเปิดฝาหม้อออกด้วยความตื่นเต้นตามมาด้วยกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งกระจายออกมา นางตักกระเพาะหมูขึ้นมาแล้วแกะเชือก กรองน้ำแกงในหม้อแล้วตัดกระเพาะหมูออกเป็นเส้น ฉีกไก่เป็นชิ้นแล้ววางกลับลงในน้ำแกง ใส่เก๋ากี้ลงไปต้มอีกครั้ง เติมเกลือ เหล้าและผงปรุงรสห้าชนิดตามไป
นางลองชิมหนึ่งชิ้นก็พบว่ากระเพาะหมูกรุบกรอบและเนื้อไก่ที่สดใหม่ก็นุ่มลิ้น ไหนจะน้ำแกงที่หอมเข้มข้น รสชาติยอดเยี่ยม แม้ฝีมือการทำอาหารของหลินเว่ยเว่ยในชาติก่อนค่อนข้างธรรมดา แต่พอมาถึงที่นี่แล้ว นางก็รู้สึกว่าตนสามารถเทียบเท่ามาตรฐานของพ่อครัวได้เลย เดาว่า…ต้องเป็นผลงานของน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณแน่นอน
หลินเว่ยเว่ยตักให้มารดาและนางเฝิงคนละถ้วยแล้วกล่าวว่า ท่านแม่ น้าเฝิง น้ำแกงนี้สามารถบำรุงร่างกายได้ มีผลดีต่อม้ามและกระเพาะอาหาร พวกท่านทานเยอะ ๆ สิ
นางยกอีกถ้วยไปให้เจียงโม่หาน แต่เขาพูดอย่างไม่ได้ซาบซึ้งใจว่า ร่างกายของข้าแข็งแรงดีมาก พลังชี่1และเลือดไม่ขาด ไม่จำเป็นต้องบำรุง
หลินเว่ยเว่ยอมยิ้มแล้วเหลือบมองเขาพลางกล่าวว่า นอกจากนี้ยังช่วยระงับอาการปวดท้อง มีสรรพคุณรักษาโรคกระเพาะได้ด้วย เมื่อคืนข้าเห็นเจ้าเอามือกุมท้องพยายามอดทนกับความไม่สบาย ในเมื่อกระเพาะหล่อเลี้ยงมนุษย์ได้ มนุษย์ก็ควรดูแลกระเพาะจึงจะถูก เจ้าอายุยังน้อยก็ไม่ควรเป็นโรคกระเพาะ
เจียงโม่หานก้มมองน้ำแกงที่กำลังร้อน เขามีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เด็กอ้วนตั้งใจทำน้ำแกงนี้เพราะเห็นว่าเขาไม่สบายโดยเฉพาะหรือ ?
เมื่อชาติที่แล้วเขาตัวคนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยทำน้ำแกงกระเพาะหมูห่อไก่ให้เขาอย่างอบอุ่นใจเช่นนี้ ต่อมาแม้ว่าตำแหน่งจะสูงขึ้น แต่โรคกระเพาะทำให้ทรมานอยู่บ่อย ๆ เขาได้คิดแล้วว่าหากไม่โดนตัดศีรษะเสียก่อนก็คงต้องตายเพราะโรคกระเพาะแน่นอน
เป็นอย่างไรบ้าง ? ซาบซึ้งมากใช่หรือไม่ ? เจ้าคิดว่าข้าจิตใจงดงามทั้งภายในและภายนอก ดูแลบ้านได้อย่างเพียบพร้อมใช่หรือไม่ ? ข้าจิตใจดีจริง ๆ นะ แถมยังดีเลิศเลยด้วย ! หลินเว่ยเว่ยดื่มน้ำแกงที่หวานหอมเข้าไปหนึ่งอึกและอวดว่าตนเป็นบุปผางามดอกหนึ่ง
เจียงโม่หานเงยหน้าขึ้นมองนาง จากนั้นความซาบซึ้งใจของเขาก็หายไปในพริบตา ‘บุตรสาวคนรองตระกูลหลิน เจ้าเป็นตัวก่อกวนที่ทหารทัพศัตรูส่งมาใช่หรือไม่ ? ช่างเก่งในการก่อกวนบรรยากาศเป็นที่สุด ! ข้าต้องยอมเสียจริง ! ’
หลินเว่ยเว่ยชินกับการไม่ได้คำตอบจากเขาแล้วจึงกล่าวว่า อาหารนี้ยังสามารถเติมผักแห้งและเห็ดหอมได้ด้วย มันสามารถช่วยดูดซับกลิ่นเนื้อ ทำให้น้ำแกงมีรสหวาน หากเติมลูกชิ้นหรือเครื่องในไก่ลงไป น้ำแกงก็จะยิ่งมีรสชาติเข้มข้นมากขึ้นอีก
เจ้าหนูน้อยสูดกลิ่นน้ำแกงไก่ จากนั้นก็ดื่มไปหนึ่งอึกแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มว่า พี่รอง ท่านเคยกินกระเพาะหมูห่อไก่มาก่อนหรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า ข้าจะทานคนเดียวได้อย่างไร ? ความรู้สึกบอกข้าว่าหากทำเช่นนั้นจะยิ่งอร่อยขึ้นอีก ถึงตอนนี้ความรู้สึกของข้าก็ยังไม่ผิด !
พี่สาวคนโตหัวเราะเยาะแต่เพราะทานฝีมือของหลินเว่ยเว่ยทุกวัน ช่วงนี้นางแทบไม่ได้ถกเถียงกับหลินเว่ยเว่ยเลยและทุกครั้งนางต้องข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ อีกทั้งเรียนรู้ที่จะสงบปากสงบคำ
กระเพาะหมูห่อไก่หนึ่งหม้อ ผู้ใหญ่ห้าคนกับเด็กอีกหนึ่งทานจนหมดไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง หลังทานข้าวเสร็จ ทุกคนก็พากันนั่งอยู่ที่ลานบ้านเพื่อสนทนากันพร้อมแกะผลชิงไปด้วย
จริงสิ เสี่ยวเว่ยบอกว่าจะไปซื้ออาหารที่อำเภอจิงหยุนไม่ใช่หรือ ? วางแผนว่าจะไปเมื่อใด ? นางเฝิงถามลอย ๆ ขึ้นมา
หลินเว่ยเว่ยคิดเล็กน้อยแล้วตอบว่า ข้าเพิ่งส่งสินค้าให้อาเถียนไปแปดสิบกว่าชั่ง คาดว่าอีกสองวันคงไม่ต้องไปในเขตเริ่นอันแล้ว หรือ…ข้าจะไปพรุ่งนี้ดี ?
ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นหรอก เจ้าไปในเมืองตั้งสองวันก็พักอยู่ที่บ้านสักหน่อยแล้วค่อยวางแผนเถิด ! นางเฝิงรับปากนางหวงว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยจึงไม่อาจคืนคำได้
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแล้วกล่าวว่า สองวันนี้ข้าเอาแต่นั่งเกวียนไปกลับ ไม่เหนื่อยเลย ! อีกประเดี๋ยวข้าจะไปซ่อมห้องใต้ดินเพื่อขยายที่ว่างสำหรับเก็บอาหาร
เมื่อเห็นท่าทางกระฉับกระเฉงเต็มเปี่ยมของนางแล้ว เจียงโม่หานก็อดนับถือไม่ได้ เด็กคนนี้ทำราวกับว่าพละกำลังจะไม่มีวันหมด สิ่งที่กระตุ้นเขายิ่งกว่าก็คือท่าทางสดใสของนาง ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว ความยากลำบากไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด
เด็กสาวกล่าวอีกว่า ปีนี้พืชผลคงไม่ได้ผลผลิตดีแน่นอน พวกเราคิดที่จะไปซื้ออาหารในอำเภอจิงหยุนได้ ผู้อื่นย่อมคิดได้เช่นกัน หากเราไปซื้อเร็วหน่อยน่าจะดีกว่า เมื่อมีเสบียงในมือแล้วใจจะได้ไม่ว้าวุ่น !
นางหวงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นห่วงแล้วกล่าวว่า อำเภอจิงหยุนห่างจากที่นี่ร้อยกว่าลี้เชียว ! เจ้าไม่เคยห่างบ้านไกลเช่นนี้มาก่อน หากหลงทางขึ้นมาหรือเจอกับคนเลว…จะทำเช่นไร ?
ไม่รู้ทาง ข้าก็ถามได้เจ้าค่ะ ! ส่วนคนไม่ดี…ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าใครจะปล้นใครกันแน่ ! หลินเว่ยเว่ยม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วทำท่าเบ่งกล้าม
นางหวงรีบจับมือบุตรีไว้ เด็กผู้หญิงจะมาเปิดเผยแขนตามอำเภอใจได้อย่างไร ? แถมที่นี่ยังมีผู้อาวุโสกว่าอยู่ด้วย !
เจียงโม่หานเอ่ยเสียงเฉื่อยว่า เช่นนั้นข้า…ข้าจะไปกับนางเอง !
อย่า ! อย่าเด็ดขาด ! หลินเว่ยเว่ยรีบโบกมือใส่ หนทางร้อยกว่าลี้ ข้าเข็นรถคนเดียวก็กินแรงมากพออยู่แล้ว หากมีเจ้ามาเพิ่ม…เจ้าจะให้ข้าเหนื่อยจนเดินไม่ไหวเลยหรือ !
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วกล่าวว่า เจ้าดูถูกผู้ใด ? ข้าไปเองได้ ไม่ต้องให้เจ้ามาลากเข็นไปหรอก !
1 พลังชี่ คือ เป็นต้นธารของพลังขับเคลื่อนต่าง ๆ ในร่างกาย
ตอนต่อไป