ตอนที่ 135 ใช้กำลังแทนเหตุผล

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 135 ใช้กำลังแทนเหตุผล

ตอนที่ 135 ใช้กำลังแทนเหตุผล

“เสี่ยวฮวา อย่าร้องไห้นะ หลังเลิกเรียนตอนเย็นไว้ค่อยให้หู่จือสอนวิธีทำกระดิ่งลมให้หนูก็ได้” หลินเซี่ยดึงหู่จือเข้ามาใกล้และขยิบตาให้เขา “มาปลอบเสี่ยวฮวาเร็ว บอกว่าเย็นนี้จะสอนหล่อนทำกระดิ่งลมอันใหม่”

“เสี่ยวฮวา ไว้หลังเลิกเรียนฉันจะสอนเธอนะ”

หลังจากได้ยินสิ่งที่หู่จือพูด ในที่สุดเสี่ยวฮวาก็หยุดร้องไห้

เพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยวฮวาเห็น ‘งานศิลปะ’ ในมือของหู่จือ จนอาจถูกกระตุ้นให้รู้สึกหดหู่ต่อไป หวังซิ่วฟางจึงพาหล่อนเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล

หู่จือมองตามหลังหวังซิ่วฟางและเสี่ยวฮวา ถามด้วยความสงสัย

“น้าเซี่ยเซี่ย คุณคืนดีกับแม่ของเสี่ยวฮวาแล้วเหรอฮะ?”

หลินเซี่ยยิ้มและตอบกลับว่า “พวกเราดีกันมาสักพักแล้วล่ะ”

“แม่ของเสี่ยวฮวาคงไม่อยากแต่งงานกับพ่อผมแล้วใช่ไหม?” หู่จือมองหน้าเธออย่างจริงจัง เมื่อเขาพูดแบบนั้นออกมา น้ำเสียงของเขาก็ดูเหมือนผู้ใหญ่

เมื่อผู้เฒ่าเฉินได้ยินคำพูดของหู่จือ เขาก็มองหู่จือด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงมองไปยังผู้หญิงด้านข้างที่กำลังจูงมือลูกสาว

ผู้หญิงคนนั้นเคยอยากแต่งงานกับหลานชายคนโตของเขางั้นเหรอ?

หวังซิ่วฟางเร่งฝีเท้านำหน้าไปให้เร็วขึ้นด้วยความลำบากใจ

หลินเซี่ยมองหู่จือและอธิบายเสียงเบา

“เธอเป็นเด็ก อย่าพูดอะไรไร้สาระเลย แม่ของเสี่ยวฮวาไม่ได้ชอบพ่อเขาซะหน่อย เมื่อก่อนที่หล่อนทำอาหารมาฝากสองพ่อลูกบ่อย ๆ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเอ็นดูที่เธอน่ารัก ไม่เกี่ยวอะไรกับพ่อเลย”

“อ้อ เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อหวังซิ่วฟางที่เดินนำหน้าได้ยินคำอธิบายจากปากหลินเซี่ยต่อหน้าหู่จือ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งยังรู้สึกอบอุ่นในใจ

ดีเหลือเกินที่หลินเซี่ยอุตส่าห์ช่วยไว้หน้าหล่อนบราวนี่ออนไลน์

วันนี้หู่จืออารมณ์ดีมาก ทันทีที่เขาเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล เขาก็ยื่นกระดิ่งลมทำมือให้คุณครูเพื่อส่งงานด้วยความภาคภูมิใจ และได้รับคำชมจากครูตามอย่างที่คาดไว้ จากนั้นเขาก็รีบลากหลินเซี่ยไปทุกที่เพื่อตามหาตงตง

หลินเซี่ยเตรียมค่าธรรมเนียมสำหรับลงทะเบียนมาด้วย แต่ผู้เฒ่าเฉินบอกว่าเขาจะเป็นคนจ่ายค่าธรรมเนียมและทำเรื่องในขั้นตอนต่าง ๆ เอง หลินเซี่ยจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้

หลินเซี่ยถูกหู่จือลากไปยังลานกว้างกลางโรงเรียนอนุบาล จึงอดถามด้วยความสับสนไม่ได้ “หู่จือ พาฉันมาที่นี่ทำไม?”

หู่จือพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ผมอยากให้เพื่อนคนอื่น ๆ เห็นคุณ และก็อยากให้ตงตงเห็นชุดทหารของผม”

หลินเซี่ยกลายเป็นงานศิลปะที่ถูกหู่จือลากไปยืนตรงกลางลานเพื่อจัดแสดงนิทรรศการทันที

ตราบใดที่เพื่อนร่วมชั้นคนไหนเดินผ่านมา หู่จือก็จะโบกมือทักทายพวกเขา

พ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่มาจากโรงงานยานยนต์ต่างรู้ดีว่าเธอคือแม่เลี้ยงของหู่จือ จึงกล่าวคำทักทายอย่างอบอุ่น

จนกระทั่งเด็กชายร่างอ้วนคนหนึ่งเดินถือกระเป๋านักเรียนใบเล็กสวมชุดทหารเก่า ๆ ปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียน โดยมีผู้หญิงที่อ้วนพอ ๆ กันเดินนำหน้า

เมื่อหู่จือเห็นเขา เขาก็ปล่อยมือจากหลินเซี่ยทันที ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยขาสั้น ๆ จากนั้นก็เดินกลับไปกลับมาราวกับจะโชว์ตัว

หลินเซี่ย “…”

เมื่อเจ้าเด็กอ้วนคนนั้นเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ของหู่จือ เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าบูดบึ้งและตะคอกว่า “ในที่สุดก็มีปัญญาหาซื้อชุดทหารมาใส่แล้วเหรอ? เจ้าเด็กเหลือขอกำพร้าแม่”

หู่จือที่กำลังอวดเสื้อผ้าตัวเก่งอย่างจริงจังถูกตงตงโจมตีทางคำพูดดังนั้น เขาก็มองไปที่อีกฝ่ายและตอบโต้ด้วยสีหน้าไม่เป็นสุข “ตงตง ทำไมนายเอาแต่ว่าฉันอยู่เรื่อยเลย? พูดจาเหมือนไม่มีใครสั่งสอนงั้นแหละ”

ตอนแรกเขาคิดว่าการสวมชุดทหารอาจทำให้สามารถคว้าชัยชนะคืนกลับมาจากตงตงได้ แต่จู่ ๆ ตงตงก็หยิบยกเรื่องเด็กกำพร้าแม่มาสะกิดปมเขาอีกครั้ง

“เธอว่าใครไม่มีคนสั่งสอน?” หญิงอ้วนที่จูงมือเด็กชายร่างอ้วนเดินปรี่เข้าไปหาหู่จือ จ้องเขม็งมองดูเขาอย่างดุเดือด “สมควรแล้วล่ะที่เธอเป็นเด็กเหลือขอกำพร้าแม่ อายุยังไม่เท่าไหร่ก็หัดพูดจาหยาบคายแล้ว ถ้าลูกชายฉันไม่มีใครอบรมสั่งสอน แล้วตัวเองได้รับการอบรมมาดีนักเหรอ? เธอมีแม่คอยสั่งสอนหรือไง?”

จมูกของหู่จือคัดเปรี้ยวเหมือนจะร้องไห้เมื่อถูกหญิงอ้วนดุ เขาเงยหน้าเล็ก ๆ ขึ้นแล้วตอบโต้ว่า “ผมมีแม่แล้ว”

“แม่นายตายไปนานแล้วต่างหาก” ตงตงตะโกนตอกย้ำอย่างชั่วร้าย พร้อมกับแลบลิ้นใส่เขา

หลินเซี่ยวิ่งเข้าไปปกป้องหู่จือโดยผลักเขาไปอยู่ข้างหลัง ผลักผู้หญิงอ้วนและเจ้าอ้วนตัวน้อยออกไป “พวกคุณสองแม่ลูกกรุณาระวังคำพูดตัวเองหน่อย”

“เธอเป็นใคร?” แม่ของตงตงเหลือบมองหลินเซี่ยด้วยสายตาดูถูก

หู่จือชิงตอบก่อนว่า “หล่อนเป็นแม่ของผม”

“แม่เธองั้นเหรอ?” หญิงอ้วนมองไปยังหลินเซี่ยที่หน้าตายังดูอ่อนเยาว์มาก สีหน้าเย้ยหยันราวกับกำลังฟังเรื่องตลก

เจ้าเด็กหู่จือคนนี้ถึงขั้นจ้างนักเรียนมัธยมให้ปลอมตัวเป็นแม่และมาส่งเขาลงทะเบียนเรียนอนุบาลเชียวเหรอ?

เด็กไม่มีแม่ก็คือไม่มีแม่ เอาใครมาแทนก็เปล่าประโยชน์

หู่จือมองสายตาเหยียดหยามของแม่ตงตง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลและเศร้าโศก ร้องออกมาว่า “หล่อนเป็นแม่ผมจริง ๆ จากนี้ผมจะมีแม่เหมือนคนอื่นแล้ว”

หลินเซี่ยรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเศร้าโศกของหู่จือ

ที่ผ่านมาเด็กคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนกันนะกับความอยุติธรรมในโรงเรียนแค่เพราะเขาไม่มีแม่?

เฉินเจียเหอและสหายพี่น้องของเขาสามารถมอบความรักแบบพ่อแก่เขาได้อย่างเพียงพอ แต่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเด็กชายถูกหัวเราะเยาะในโรงเรียนได้

ไม่น่าแปลกใจเลย ตอนที่เธออยู่ในบ้านเกิดและพูดออกไปแค่ประโยคเดียวว่าจะทำให้เขากลายเป็นเด็กผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโรงเรียน หู่จือก็ยอมจับมือเธอโดยไม่ลังเล

เมื่อนึกถึงคำพูดที่หู่จือเคยบอกเธอในชาติก่อนว่าที่จริงแม่แท้ ๆ ของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่หล่อนทอดทิ้งเขาไปแล้ว หลินเซี่ยมองดูเขาอีกครั้ง หัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม

หลินเซี่ยกอดหู่จือไว้ในอ้อมแขน มองดูผู้หญิงอ้วนตรงหน้าแล้วพูดเสียงขรึมว่า “ฉันเป็นแม่ของเฉินหู่จริง ๆ ถ้าคุณกล้าโจมตีเขาด้วยคำพูดต่ำทรามอีกครั้ง เชื่อไหมว่าฉันกล้าฉีกปากของคุณออกเป็นชิ้น ๆ?”

“หึ เด็กเมื่อวานซืนของเธอมาจากไหนก็ไม่รู้ กล้าแอบอ้างว่าตัวเองเป็นแม่ของเฉินหู่ ห้าปีที่แล้วเธอมีประจำเดือนหรือยัง? เธอมีปัญญาคลอดลูกชายที่โตขนาดนี้จริงเหรอ?”

แม่ของตงตงมีทัศนคติที่หยาบคายมาก ยิ่งนานยิ่งพูดจาไม่ไว้หน้า

หลินเซี่ยรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายด้วยเหตุและผลกับคนประเภทนี้

สู้ใช้กำลังแทนเหตุผลอาจจะดีกว่า

เธอก้าวไปข้างหน้า เงื้อมือขึ้นโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัวแล้วคว้าผมของแม่ของตงตง ดึงทึ้งเพื่อผลักหล่อนให้ล้มลงกับพื้นอย่างแรง

แม่ของตงตงไม่ทันระวังตัว ถูกจิกผมจนหัวเอียง ร่างอ้วนล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ทันใดนั้นหล่อนก็กรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด

“นังเด็กหน้าด้าน กล้าดียังไงมาจิกหัวฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

หลินเซี่ยเชี่ยวชาญการต่อสู้โดยการจิกดึงผมเป็นพิเศษ ยิ่งอีกฝ่ายผมยาวแค่ไหน ไม่ว่าจะมีกำลังแข็งแกร่งเท่าใด ตราบใดที่โดนทึ้งผมก็ไม่ต่างจากกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่าง และอีกฝ่ายก็ไม่มีทางตอบโต้เธอได้

“ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นใคร คุณกล้ารังแกลูกชายฉัน อย่าคิดว่าฉันจะยอมจบง่าย ๆ อย่าคิดว่าพวกคุณสองแม่ลูกอ้วนเป็นหมูแล้วจะข่มเหงคนอื่นยังไงก็ได้ คนอย่างฉันไม่กลัวมนุษย์ป้าอย่างคุณหรอกโว้ย”

แม่ของตงตงตัวหนักเกินไป หลินเซี่ยที่กำลังดึงทึ้งผมของเธอก็พลอยล้มลงตามไปด้วย

เธอรีบปล่อยมือทันที ปัดเส้นผมที่หลุดติดมือมาออก แล้วลากหู่จือวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ตั้งใจว่าจะเข้าไป ‘หลบภัย’ ในห้องพักครู

ในที่สุดแม่ของตงตงก็ลุกขึ้นจากพื้นได้สำเร็จ หล่อนรีบพุ่งตัวไปหาหลินเซี่ยหมายจะทุบตีเธอ ครูแผนกอนุบาลและผู้ปกครองบางคนได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาดู

หวังซิ่วฟางตาไว เมื่อเห็นว่าแม่ของตงตงกำลังจะโจมตีหลินเซี่ยก็ออกมาขวางหล่อนไว้อย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ครูประจำชั้นของหู่จือมองไปที่แม่ของตงตงซึ่งตอนนี้มีสภาพไม่น่าดู ก่อนจะถามด้วยความสับสน

“คุณครูซุน นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้โผล่หัวมาจากไหน? หล่อนทำร้ายร่างกายฉัน แถมยังดึงผมฉันติดมือไปเป็นกระจุก”

“แม่ตงตงคะ นี่คือแม่ของเฉินหู่เพื่อนร่วมชั้นลูกชายคุณไงคะ ทำไมพวกคุณถึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันได้?”

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากครูประจำชั้น ดวงตาที่ดุร้ายของแม่ตงตงก็จ้องมองไปที่หลินเซี่ย

ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่เลี้ยงของเฉินหู่จริง ๆ เหรอ?

ผู้ชายคนนั้นแต่งงานกับเด็กสาวคนนี้เพื่อให้เธอมาเป็นแม่เลี้ยงของลูกตัวเองเนี่ยนะ?

หล่อนหวังสูบเงินจากเขาน่ะสิไม่ว่า?

พ่อของเฉินหู่เป็นผู้ชายรูปหล่อคนหนึ่ง รูปร่างกำยำล่ำสัน ทั้งยังมีใบหน้าดุดันเย็นชาอยู่เป็นนิจ ราศีของเขาดูแตกต่างจากสามีไก่อ่อนของหล่อนอย่างสิ้นเชิง เขาคือนิยามของคำว่าชายชาตรีโดยแท้

หล่อนพยายามริเริ่มบทสนทนากับเขาหลายครั้ง แต่ชายคนนั้นกลับเพิกเฉยต่อหล่อนเสมอ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โอ้โห นั่นปากเหรอยัยป้าช้างน้ำ สมควรแล้วที่จะโดนเซี่ยเซี่ยจิกหัวทุ่มแบบนั้น

ไหหม่า(海馬)