บทที่ 24 ผู้ใดทำให้ผู้ใดเกรงขาม?
ยาขั้นห้าธรรมดาๆ หนึ่งเม็ด ในเมืองหลวงราคาห้าหมื่นตำลึงเงิน
ยาขั้นห้าอย่างดีในมือเย่จายซิง สามารถเพิ่มราคาได้อย่างน้อยๆ หนึ่งเท่าตัว
หนึ่งแสนตำลึงเงิน!
เทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายระยะเวลาสามปีของจวนแม่ทัพ ทว่าเย่จายซิงกลับเอาให้ผู้อื่น
คนตระกูลเย่ร้อนใจอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเหยียนเฟิงคือองครักษ์ลับของอ๋องเซ่อจิ้ง เกรงว่าพวกเขาคงรีบไปแย่งยากลับมาแล้ว
เย่จายซิงเห็นพวกเขาโมโหแต่ไม่กล้าส่งเสียง รู้สึกสะใจยิ่งนัก
นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น วันข้างหน้ายังมีเรื่องให้พวกท่านโมโหยิ่งกว่านี้
ฮูหยินเฒ่าจับกุญแจคลังสมบัติแน่น พูดในใจว่าทันทีที่ประตูคลังสมบัติเปิดออก จวนแม่ทัพของพวกเขาสามารถยกระดับเป็นจวนที่รวยที่สุดในเมืองหลวง เช่นนั้นมีหรือจะกลัวว่าไม่มีปัญญาซื้อยาดีๆ เช่นนี้?
นางโบกมือแล้วพูด: “ออกไปให้หมด ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
“เช่นนั้นท่านย่าก็พักผ่อน ในเมื่อล้มป่วย เช่นนั้นไม่อาจกระทบการไหลเวียนของเลือดลมได้”
หลังจากเย่จายซิงพูดด้วยรอยยิ้มจบลง นางก็จับมือน้องชายแล้วเดินออกไป
คนอื่นๆ ในตระกูลเย่ไม่ยอมออกไป เวลานี้กุญแจอยู่ในมือแล้ว พวกเขารอเปิดคลังสมบัติแล้วแบ่งขุมทรัพย์กัน!
“ท่านแม่ พวกเรารีบเปิดคลังสมบัติกันเถอะ ระวังนางสารเลวนั่นเอากุญแจปลอมมาให้เจ้าค่ะ!”
นางเสิ่นพูดด้วยความร้อนใจ
นางคุกเข่าขอโทษเย่จายซิง ฮูหยินเฒ่าจึงได้กุญแจมาครอบครอง เช่นนั้นนางคือผู้ที่ทำคุณงามความดีมากที่สุด
ลูกสาวคนโตของนางเย่เจียหรงเวลานี้อยู่ในเฉินตูเงินไม่พอใช้ เป็นช่วงเวลาที่ต้องการเงินพอดี นางไม่อยากให้เรื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มาถ่วงลูกสาวของตนเอง
“ไม่ว่านางจะมีความกล้ามากเพียงใดก็ไม่มีวันเอากุญแจปลอมมาให้พวกเรา นอกเสียจากว่าวันข้างหน้านางไม่อยากแต่งงานแล้ว”
ฮูหยินเฒ่าหัวเราะเยือกเย็น
อนาคตของเย่จายซิงอยู่ในมือของนาง นางอยากให้เย่จายซิงแต่งงานกับผู้ใดก็ต้องแต่งงานกับคนคนนั้น เพียงเรื่องนี้ เย่จายซิงก็ต้องประจบนางที่เป็นท่านย่าคนนี้แล้ว
ทุกคนคิดในใจว่าหลักเหตุผลข้อนี้ถูกต้อง เย่จายซิงถึงในวัยที่ควรออกเรือนแล้ว ทั้งยังอัปลักษณ์ อยากจะแต่งงานกับตระกูลดีๆ ต้องฝากความหวังไว้ที่ฮูหยินเฒ่า?
เจ้าพระยาเซี่ยไม่มีวันแต่งงานกับนาง ฮ่องเต้มีเพียงความคิด แต่ฮองเฮาไม่ยอม พระสัสสุระท่านพ่อพระยาก็ไม่ยอม สุดท้ายทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น
อ๋องเซ่อเจิ้งยิ่งไม่มีวันแต่งงานกับนาง เขามีอำนาจทั่วใต้หล้า อยากได้หญิงงามคนใดล้วนได้ทั้งนั้น แล้วจะชมชอบหญิงอัปลักษณ์เยี่ยงเย่จายซิงได้อย่างไร!
แต่ว่าฮูหยินเฒ่าเองก็อยากจะดูว่าคลังสมบัติมีของล้ำค่าใด ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติ
ฮูหยินเฒ่าจับกุญแจแน่น ไม่ยอมให้ผู้ใดทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดเห็นว่า ผงสีชมพูที่แทรกอยู่ระหว่างกุญแจซึมเข้าสู่ผิว เข้าไปในเส้นเลือดของฮูหยินเฒ่า
นางแกล้งป่วยไม่ใช่หรือ แกล้งป่วยได้ไม่เหมือนจะทำเช่นไร ดังนั้นเย่จายซิงจึงช่วยเหลือนาง ให้นางป่วยจริงๆ เช่นนี้จึงจะไม่ได้เป็นการโกหก
อย่างรวดเร็วพวกเขาก็ไปถึงด้านหน้าคลังสมบัติ คลังสมบัติคือห้องสีดำขนาดใหญ่ ปิดสนิท แม้แต่มดก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้ สร้างจากวัสดุที่ใช้ในการหลอมอาวุธ คนตระกูลเย่คิดหาวิธีมากมายก็ไม่อาจเปิดประตูบานนี้ได้
ฮูหยินเฒ่า ท่านรองเย่ นางเสิ่นและคนอื่นๆ ต่างดีใจและตื่นเต้นยิ่งนัก ตระกูลเย่เคยชินกับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก่อนที่เย่เจ๋อหยวนจะสิ้นใจเงินกองกลางยังเหลือหลายแสนตำลึงทองแต่พวกเขาใช้หมดในสองปี ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้คนตระกูลเยี่ยประหยัดอย่างมาก มีเพียงเบื้องหน้าเท่านั้นที่สวยงาม
ความโลภที่อยู่ในแววตาของทุกคนไม่อาจซ่อนเร้นได้ ทุกคนต่างถูมือ บอกให้ฮูหยินเฒ่ารีบปลดล็อกคลังสมบัติ
“ร้อนใจอะไรกัน คลังสมบัติอยู่นี่แล้ว ไม่ได้จะบินหนีเสียหน่อย ของด้านในล้วนเป็นของตระกูลเย่ของพวกเราไม่ใช่หรือ”
ฮูหยินเฒ่าก่นด่าพวกเขาที่ไม่อาจควบคุมคนเองได้ แต่ตัวนางเองที่ถือกุญแจก็สั่นเทาเพราะความดีใจ ขณะเดินไปที่หน้าประตูหมายจะปลดล็อก จู่ๆ ก็หมดเรี่ยวแรง กุญแจหล่นลงบนพื้น
“ท่านย่า ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
เย่เจียหยูรีบพยุงฮูหยินเฒ่า ฮูหยินเฒ่าคล้ายหมดเรี่ยวแรง แม้แต่ยืนก็ยังยืนทรงตัวไม่ได้ ทิ้งแรงทั้งหมดมาที่หัวไหล่ของเย่เจียหยู
ท่านสามเย่มือไวตาเร็วรีบเก็บกุญแจขึ้นมา พูด “ท่านแม่ตื่นเต้นเกินไปหรือไม่ แม้แต่กุญแจก็เอาไม่อยู่ ข้าเปิดเอง!”
“ไม่ได้!”
ฮุหยินเฒ่าร้องตะโกนกะทันหัน “ใครก็ห้ามเปิด!คืนกุญแจให้ข้า!”
นางรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ปวดหัวยิ่งนัก คล้ายจะหมดสติ เวลานี้ หากพวกเขาเปิดคลังสมบัติ แล้วแบ่งของข้างในไปจนหมดจะทำเช่นไร?
ท่านสามเย่ทำได้เพียงคืนกุญแจให้ฮูหยินเฒ่า
ฮูหยินเฒ่าใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายในการเก็บกุญแจ แล้วพูด
“เชิญหมอ!”
พูดจบฮูหยินเฒ่าก็หมดสติ
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านย่า?”
“รีบไปเชิญหมอเร็วข้า!”
แม้ทุกคนจะเจ็บใจเพียงใด ก็ทำได้เพียงรักษาอาการของฮูหยินเฒ่าก่อน
เรื่องนี้ไปถึงหูเย่จายซิงอย่างรวดเร็ว นางยิ้มทว่าไม่ได้พูดสิ่งใด
อยากจะทำให้นางเกรงขาม ผู้ใดกันแน่ที่ควรจะเกรงขามผู้ใด
นางเย่จายซิงไม่เคยเป็นคนเสียเปรียบมาก่อน
เย่จายซิงและเย่ยู่หยางพักอยู่ในเรือนหลังเล็ก ลูกสาวและลูกชายของตระกูลใหญ่ ชายหญิงต้องแยกกัน ตอนที่เย่เจ๋อหยวนบิดาของพวกเขายังมีชีวิต เรือนสองหลังที่ดีที่สุดในจวนแม่ทัพเป็นของพวกนาง แต่ทันทีที่เย่เจ๋อหยวนสิ้นใจ เรือนของพวกนางก็ถูกบ้านรองและบ้านสามแย่งไป
กลายเป็นว่าเรือนที่ทรุดโทรมที่สุดในจวนแม่ทัพ เป็นเรือนอาศัยของพวกนางสองคนพี่น้อง
ไม่เพียงแค่นี้ ทั่วทั้งเรือนมีหญิงรับใช้เพียงสองคน หญิงรับใช้คนหนึ่งคือคนที่ก่อนหน้านี้ทรยศหักหลังเย่จายซิงที่ท้องถนน อีกคนหนึ่งคือหญิงรับใช้ทำงานหนักที่รับผิดชอบกวาดบ้านและซักเสื้อผ้า
หญิงรับใช้คนนี้อายุสิบห้าสิบหก เพราะป่วยเป็นไข้ทรพิษตั้งแต่เด็ก ใบหน้าจึงมีรอยแผลเป็น ปกติแล้วนางจะก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองผู้คน ถ่อมตนอย่างมาก
ฮูหยินเฒ่าเจตนายกหญิงรับใช้คนนี้ให้เย่จายซิง มีเจตนาดูแคลนนางไม่มากก็น้อย คุณหนูอัปลักษ์เหมาะสมกับหญิงรับใช้อัปลักษ์
แต่ว่าในความทรงจำของเย่จายซิง หญิงรับใช้นามไป๋จู๋วคนนี้ขยันขันแข็งยิ่งนัก ไม่เคยแอบขี้เกียจมาก่อน
ดูเล่า เมื่อกลับมาถึงนางก็สังเกตเห็นว่า ภายในเรือนถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่เศษใบไม้
ไม่นาน ไป๋จู๋วยกน้ำร้อนกลับมาจากโรงครัวใหญ่
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายเจ้าคะ ข้าน้อยตักน้ำร้อนมา มาล้างเท้าให้คุณหนูและคุณชายค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องล้างขาให้ข้า เจ้าไปดูแลปรนนิบัติพี่สาวเถอะ”
เย่ยู่หยางพูดกับไป๋จู๋ว แล้วยกน้ำเข้าไปในห้องด้วยตนเอง
เขาเพียงไม่อาจฝึกยุทธ์ เพียงขาพิการ ไม่ใช่ว่าไม่อาจดูแลตนเองได้
ในเรือนนี้มีหญิงรับใช้ทั้งหมดเพียงแค่คนเดียว แน่นอนว่าเขาย่อมให้พี่สาว
“ไป๋จู๋ว เจ้าเข้ามาเถอะ”
เย่จายซิบพูดในห้อง
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ไป๋จู๋วยกน้ำเข้ามา นางก้มหน้าตลอดเวลา
“เงยหน้าให้ข้าดู”
เวลานี้ไป๋จู๋วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นด้วยความระมัดระวัง เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและรอยดำ
เย่จายซิงเพียงแค่มอง ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพียงเรื่องเล็ก
“เหตุใดหน้าของเจ้าจึงบวม?”
เหตุเพราะใบหน้าของไป๋จู๋วดำ ดังนั้นเพียงมองผ่านๆ ไม่อาจเห็นรอยบวมแดง เมื่อครู่ตอนเย่จายซิงกลับมายังไม่เห็นใบหน้าของนางบวมเลย
ซึ่งก็หมายความว่ามีคนทำร้ายนางตอนไปยกน้ำ
ไป๋จู๋วรีบพูด “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยไม่ทันระวังจึงชนกำแพงเข้า”
“พูดความจริง ข้าไม่ชอบคนโกหก”
ดวงตาสีนิลของเย่จายซิบจับจ้องไปที่นาง
ไป๋จู๋วรู้สึกคล้ายคุณหนูเปลี่ยนไป ดูเคร่งขรึมและใจเย็นลง ทั้งยังให้ความรู้สึกสงบกับผู้คนด้วย
นางไม่กล้าโกหก จึงทำได้เพียงพูดไปตามความจริง:
“เมื่อครู่ข้าน้อยไปตักน้ำที่โรงครัวใหญ่ พวกนางเจตนาหลอกข้าน้อยว่าไม่มีน้ำร้อน ให้ข้าไปยกน้ำที่ทะเลสาบ ข้าน้อยเห็นว่าน้ำในกระทะมีไอร้อนพุ่งขึ้นมา จึงโต้เถียงไปสองสามคำ แม่หวางตบหน้าข้าน้อย แล้วให้ข้าน้อยยกน้ำกลับมา”
“พวกนางน่าจะพูดถ้อยคำไม่รื่นหูมากมายด้วยกระมัง”
เย่จายซิงพูด
ไป๋จู๋วตกใจยิ่งนัก “คุณหนูทราบได้อย่างไรเจ้าคะ? พวกนาง…พวกนางบอกว่าคุณหนูและคุณชายไม่เป็นที่โปรดปราน ไม่คู่ควรใช้น้ำร้อน บอกข้าว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปเอา มิเช่นนั้นจะถ่มน้ำลายลงไปในน้ำเจ้าค่ะ”
ไป๋จู๋วกัดริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คุณหนูและคุณชายน้อยไม่อาจใช้น้ำเย็นอาบน้ำ