ตอนที่ 30

Dungeon Defence

อค้าเร่แห่งเมโตรรานอม, พ่อค้าทาส, เกียโคโม เปตราก

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 10

ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย, ณ ตลาดทาสพาเวีย

ณ มุมหนึ่งของตลาด ผมกำลังดื่มเบียร์อยู่กับพ่อค้าเร่แปลกๆคนนึง

มันน่าฉงนใจนะ ผมจำไม่ได้เลยจริงๆว่าไปไงมาไงผมถึงได้ลงเอยมานั่งดื่มเบียร์เช่นนี้ มันรู้สึกแบบทำนองว่าผมถูกผีสิงยังไงยังงั้นเลย ก็อย่างว่านะ มันย่อมมีวันหนึ่งในชีวิตคุณที่คุณแค่เบลอเป๋อเหลอไปบ้าง……

“ผมจะบอกคุณเพียงคนเดียวเลยนะ คุณเกียโคโม”

ชายแปลกพิลึกตรงหน้าผมได้ฝืนยิ้มขมขื่นออกมา

“จริงๆแล้ว ไอ้พวกการขายและซื้อทาสสร้างความอึดอัดใจแก่ผมมากเลย มันรู้สึกคล้ายกับผมได้ทำผิดต่อมวลมนุษยชาติประมาณนั้นเลยแหละ ”

“ยังงั้นเหรอครับ? ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเลย ”

ผมตอบรับอย่างมีความสุขต่อความเห็นของเขา อย่างงี้นี่เอง มันเป็นเพราะอุปนิสัยของชายคนนี้ ที่ทำให้พวกเราเริ่มนั่งดื่มด้วยกันอย่างง่ายดาย ผมสงสัยว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตากระมั่ง แต่คลื่นความคิดระหว่างชายตรงหน้าผมและตัวผมเองมันเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อเลย

“เดิมที ผมไม่ต้องการที่จะทำอาชีพอย่างเช่นพ่อค้าทาสหรอกนะ แต่ว่า พ่อผมกดดันให้ผมเข้าสู่อาชีพนี้ พ่อบอกว่าถ้าผมอยากจะเป็นพ่อค้ามืออาชีพอย่างรวดเร็ว งั้นมันไม่มีงานใดที่ดีไปกว่าพ่อค้าทาสอีกแล้ว… ”

“คุณมีพ่อที่ดีจังนะครับ แต่ว่า มีหลายสิ่งในโลกใบนี้ที่มีค่ามากกว่าการเป็นมืออาชีพนะ มันคงจะดีถ้าพ่อคุณคิดได้ในเรื่องนั้นน่ะ ”

“นั่นแหละที่ผมกำลังพูดถึงอยู่!”

อาแย่ละสิ ผมดันตะเบ็งเสียงผมโดยไม่ได้ตั้งใจออกมา

แต่มันก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่นา มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เคยพบเคยเจอคนที่เข้ากันกับผมได้เป็นอย่างดีเลย และเจอในใจกลางตลาดทาสซะด้วย นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ค่อนข้างน่าแปลกประหลาดหรือไง?

“พ่อผมยึดติดกับเรื่องเงินมากเกินไป มันก็ใช่นะ ที่งานของพ่อค้าคือการหาเงินและขนส่งสินค้า ผมไม่มีปัญหาตรงจุดนั้นหรอกนะ…… แต่ว่า ไม่ใช่ว่าพวกทาสก็เป็นคนเหมือนกันเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เอลฟ์ หรือแม้แต่ไซเรน…… ถึงกับปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งเช่นการจัดโชว์สินค้าบางอย่างเลย…… ”

“ผมเข้าใจดีเลย อา, แก้วคุณว่างเปล่าแล้วนี่นา, มาๆ, รับไปอีกสักแก้ว ”

“ขอบคุณ……”

ผมดื่มไวน์ที่ชายคนนั้นรินให้ผม ผมรู้สึกได้ว่าอาการมึนเมาอันน่าเพลิดเพลินใจกำลังเพิ่มมากขึ้นนะ ดูแล้วผมคงต้องการใครสักคนที่ผมสามารถพูดคุยอย่างเปิดอกได้จริงๆนั่นแหละ มันรู้สึกคล้ายกับผมกำลังดื่มหนักกว่าที่เคย แต่มันไม่เป็นไรหรอก นี่อยู่ในปริมาณที่ผมพอรับได้น่ะ

และแล้ว เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยไป ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ผมก็พบว่าตัวเองกำลังนำทางชายผู้นี้ไปยังที่พักบนลานกว้างยกสูงของผม…… หือ ทำไมผมถึงพาเขามาที่นี่หว่า?

“วิเศษอะไรเช่นนี้ ที่หลีกเลี่ยงการใส่โซ่ตรวนบนตัวพวกทาสของคุณเกือบซะทั้งหมด นั่นช่างเป็นการคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมซึ่งคุณได้ดำรงไว้สำหรับพวกทาสมากเลย ”

ชายหนุ่มได้มองด้วยความชื่นชมไปตรงเหล่าทาสที่อยู่บนรถเกวียน

อ้า จริงสิ ผมจำได้แล้ว เขาถามว่าเขาสามารถเที่ยวชมบรรดาทาสของผมได้รึเปล่าและผมก็ได้ตอบรับคำขอเค้าด้วยความยินดีอย่างยิ่งเลย ถึงแม้ว่าคุณไม่ควรนำบุคคลอื่นเข้ามาในพื้นที่นี้ก็เถอะ ……มันคงจะไม่เป็นปัญหาอะไรมากหรอก เนอะ? คนๆนี้ไม่ใช่แขกเหรื่อทั่วไปสักหน่อย เขาน่ะเป็นเพื่อนของผมนะ

เออมาคิดๆดูแล้ว เขาชื่ออะไรหว่า?

“คนส่วนใหญ่สักแต่พูดเท่านั้นแต่ไม่เคยพยายามลงมือทำเลย แต่คุณน่ะผิดแผกแตกต่างออกไปนะ คุณเกียโคโม คุณดูแลพวกทาสของคุณอย่างจริงจังด้วยความเมตตา ผมสามารถเห็นได้ชัดด้วยสายตาของผมเองเลย มันยอดเยี่ยมมาก ”

“อะฮ่าฮ่า คุณนี่พูดเกินจริงไปแล้ว”

โอ้ช่างมันเถอะ บางสิ่งบางอย่างเช่นชื่อมันไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดยามเมื่อพิจารณาตัวบุคคลคือการดูจากบุคลิกลักษณะของพวกเขาต่างหาก ชายคนนี้ดูแล้วท่าทางจะไว้ใจได้ เขามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วยนะ

“เว้นแต่ว่า ผมไม่คิดว่าทาสทุกคนจะพอใจหรอกนะ”

“ว่าไงนะครับ?”

เขากำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ?

มันอาจจะดูเป็นการโอ้อวด แต่ในความคิดผม มันไม่มีพ่อค้าคนไหนอีกแล้วที่แสดงความห่วงใยต่อทาสของพวกเขามากเท่ากับที่ผมทำหรอกนะ ผมให้อาหารสองมื้อเป็นประจำทุกวัน และเป็นที่ชัดเจนว่า พวกทาสต้องชอบอกชอบใจผมแน่ๆเช่นกัน แต่ดันมากล่าวว่าพวกทาสไม่พอใจนี่สิ……

“โอ้ตายจริง ผมนั้นช่างหยาบคายจัง ผมแค่คิดถึงในมุมมองของพวกทาสน่ะครับ ”

ชายหนุ่มได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า

“ก่อนที่จะถูกจับโดยพ่อค้าอย่างพวกเรา ทาสเหล่านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตที่ออกจะสุขสบายหรอกรึ? พวกเขาต้องได้เดินทางไปไหนมาไหนอย่างอิสระและใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตนเองแน่ๆ ผมว่าพวกเขาคงจะมีความขุ่นเคืองใจอย่างแน่นอนแม้ว่าพวกเขาจะได้รับอาหารเป็นประจำก็ตาม ”

“คิดในมุมมองของทาสเหรอ… ”

มันน่าประหลาดใจนะ ผมไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

ผมคือเสรีชนและพวกเขาคือทาส พวกเรานั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่มีเหตุผลที่ผมควรจะบังคับยัดเยียดความเห็นของตนเองต่อพวกทาสในเมื่อพวกเขาแตกต่างจากตัวผมอย่างสิ้นเชิง แต่ผมกลับได้มองข้ามมันซะอย่างนั้นไป……

ว่ามันมากพอแล้วที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเอาใจใส่เพียงเล็กน้อย ลองคิดในมุมมองของทาสงั้นเหรอ? มันเป็นไปได้จริงรึ? นั่นไม่ใช่แนวคิดเพ้อฝันแบบสุดโต่งไปหน่อยเหรอ…… ?

“ตกลงเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

ขณะที่ผมกำลังประสบกับความตะลึงจากคำพูดของชายดังกล่าว เขาก็ได้โยนคำถามมาให้ผมอีก

ผมเงยหน้าขึ้นด้วยความตระหนก พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องไหนหว่า? ผมไม่สามารถจำเนื้อหาการสนทนาของพวกเราได้เลย ก็หัวผมรู้สึกหมุนติ้วๆตั้งแต่เมื่อตะกี้ที่ผ่านมาแล้วนี่นา

“เป็นยังไง…… ?”

“ผมหมายถึงคุณหนูฟาร์เนเซ่น่ะ คุณได้ลืมไปแล้วหรือไง? ”

ฟาร์เนเซ่? เขากำลังพูดถึงคุณหนูลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่หรือเปล่า?

ไม่สิ ตั้งแต่ตระกูลนั้นถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางอันทรงเกียรติ ผมก็ไม่ควรเรียกเธอโดยใช้ชื่อตระกูลอีกต่อไป แต่ว่าผมไม่สามารถจำได้อย่างชัดเจนว่าพวกเราได้มีการพูดคุยกันแบบนั้นจริงๆแฮะ โอ้เวรล่ะ ผมคิดว่าผมได้ดื่มมากเกินไปแล้ว

ชายคนนั้นได้อธิบายอย่างใจเย็นว่า

“นี่ผมไม่ได้ถามว่าคุณหนูฟาร์เนเซ่พอใจกับชีวิตของเธอในฐานะทาสหรือไงครับ? เมื่อผมได้ถาม, คุณ, ซึ่งก็คือคุณเกียโคโม ก็ได้พูดว่าคุณจะโชว์ให้ผมดูเป็นการเฉพาะเลย ”

“เออใช่ ใช่เลย…… ผมเผลอลืมไปแวบนึงน่ะ ”

ผมก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะในตอนที่ผมได้ตอบไป

คุณหนูฟาร์เนเซ่คือของล้ำค่าซึ่งมีค่าสุดๆ เพื่อเป็นการป้องกันพวกโจรจากการลักตัวเธอ ผมจึงได้ซ่อนเธอไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของลานกว้างผม ถึงเขาจะเป็นเพื่อนของผม ผมก็ไม่สามารถโชว์ให้เขาดูอย่างง่ายๆได้หรอกนะ ผมเริ่มรู้สึกเสียใจซะแล้วสิ ทำไมผมถึงได้ให้สัญญาอย่างพล่อยๆไปน้า……

อีกฝ่ายได้สังเกตเห็นท่าทีของผมอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า

“เข้าใจล่ะ ดูแล้วคุณคงจะรู้สึกขัดข้องใจแน่ๆต่อการโชว์เธอให้ผมดู ”

“ไม่ใช่นะ จริงๆแล้ว…”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ โปรดอย่ารู้สึกกดดันใดจากเรื่องนี้เลย ผมเพียงเสนอขอเรื่องนี้ด้วยความคิดที่ตื้นเขินแท้ๆ ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณดูแลจัดการเหล่าทาสของคุณอย่างไร และพวกทาสทั้งหมดของคุณนั้นใจจริงแล้วรู้สึกยังไงต่อตัวคุณบ้างก็เท่านั้นเอง ”

ชายคนนั้นยิ้มอย่างขื่นขมใจและได้พูดอ้อมแอ้มออกมา

“ผมเองคือคนที่ควรจะกล่าวขอโทษครับ เนื่องจากความสอดรู้ของผม ผมได้บังคับให้คุณเกียโคโมตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจ พวกเรามาย้อนกลับไปที่บาร์กันดีกว่าครับ”

“เออ……”

หลังจากเห็นสีหน้าหงอยๆของชายคนนั้นแล้ว ความรู้สึกผิดอย่างสุดที่จะบรรยายก็ได้ก่อตัวขึ้นในอกของผม มันเป็นแบบนั้นเลยแหละ อีกฝ่ายเพียงแค่กล่าวขอบางสิ่งจากตัวผมในขณะที่คิดคำนึงต่อผมเหมือนเพื่อนคนนึง แต่ว่าผมกลับกำลังทำอยู่เนี่ย?

ท้ายที่สุดแล้ว ผมไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นคนแปลกหน้าหรือไงกัน? สิ่งใดที่ทำให้ผมแตกต่างจากคนเหล่านั้นในห้องจัดเลี้ยงผู้ซึ่งได้เฆี่ยนตีทาสของพวกเขาล่ะ? ผมนี่มันแย่ที่สุดเลย ถ้าพ่อค้าเหล่านั้นเป็นวายร้าย งั้นผมก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคนปากว่าตาขยิบหรอกนะ

“……ไม่นะ รอก่อนสิ ผมจะนำทางคุณไปยังที่ซึ่งคุณหนูฟาร์เนเซ่ขังอยู่เอง ”

“ว่าไงนะครับ?”

ชายคนนั้นกระพริบตาของเขาอย่างแปลกใจ

“นั่นทำได้แน่นะครับ?”

“ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอกถ้าพวกเราแค่มองดูแล้วก็กลับออกมาน่ะ โชคดีจริง ที่คุณหนูฟาร์เนเซ่ยังไม่ได้เข้านอนตอนกลางคืน ดังนั้นมันคงไม่เป็นไรหรอกมั้งที่จะแวะไปดูในตอนนี้น่ะ ”

“……คุณเกียโคโม หากคุณรู้สึกลำบากใจจากคำขอผม งั้นคุณสามารถที่จะปฏิเสธได้ทุกเมื่อเลยนะครับ ”

ชายคนนั้นกำลังมอบสีหน้าอันห่วงใยแก่ผม

“มันอาจจะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่เราได้พบกันนะครับคุณเกียโคโม แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงมิตรภาพระหว่างพวกเรา ผมไม่ต้องการที่จะเป็นภาระแก่เพื่อนหรอกนะครับ ”

ผมถูกทำให้ซึ้งใจโดยความเป็นห่วงของเขา ผมได้บอกกับเขาว่ามันไม่เป็นไรหรอก แต่ชายผู้นี้ก็ยังคำนึงถึงผมและพยายามที่จะปฏิเสธ ยังจะมีสิ่งใดอีกล่ะที่จะทำให้ผมลังเลใจต่อหน้าคนซึ่งมีจิตใจดีงามได้ขนาดนี้!

รอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้ก่อตัวขึ้นบนริมฝีปากของผม สัมผัสแห่งความกังวลซึ่งเคยวนเวียนอยู่ในอกของผมได้ละลายหายไปดั่งเช่นหิมะ

“ไม่เลยครับ มันไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็อยากฟังความเห็นของคุณหนูฟาร์เนเซ่เช่นกัน ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมก็อยากขอร้องให้คุณมากับผมด้วยน่ะครับ หากมันเป็นไปได้ที่ผมจะสามารถคิดในฐานะทาส……ซึ่งก็คือสิ่งที่ผมได้บกพร่องไปจนถึงทุกวันนี้ ผมเลยต้องการที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับคุณน่ะครับ ”

“……”

ดวงตาของชายหนุ่มได้เบิกกว้างขึ้น

จนในที่สุด เขาก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนมาก

“เกียโคโม คุณรู้วิธีการให้ความเคารพผู้อื่น และนั่นคือพรสวรรค์อันล้ำค่าที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจคุณ มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้หรอกนะ ผมจึงเคารพนับถือคุณด้วยความสัตย์จริงเลย ”

ผมรู้สึกพูดไม่ออกจากคำชมอย่างไม่อ้อมค้อมของเขา

แม้ว่าผมจะไม่สามารถพูดอะไรได้และปากของผมก็ได้เปิดกว้างค้างไว้ ชายคนนั้นก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้ผมอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังบอกผมว่าเขาเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม……ไม่สิ มันราวกับว่าเขาเข้าใจถึงปริมาณความชื่นชมที่ผมต้องการจากโลกใบนี้ต่างหาก มันเป็นรอยยิ้มแบบนั้นแหละ

“อา เอิ่ม คือว่า”

“ครับ”

ชายคนนั้นได้ยิ้มกริ่มออกมา

” ว่าไงเหรอครับ คุณเกียโคโม”

“นั่น……ทะ-ทางนี้เลยครับ โปรดเดินตามผมมาครับ ”

เพราะรู้สึกอาย ตัวคำพูดก็เลยไม่ดังออกมาได้อย่างถูกต้อง

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมรู้สึกอายเกินที่จะมองเขาตรงใบหน้าได้ ใช่แล้ว มันเป็นเพราะผมเมาเหล้า อารมณ์ของผมได้เตลิดเปิดเปิงเพราะความมึนเมาแน่ๆ มันไม่มีความนัยเกินกว่านั้นแน่นอน ไม่มีเลย จริงๆนะ (เอ็งมันสายซึนนี่เอง….)

หัวของผมค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นมึนเมามากขึ้น มันได้กลายเป็นเรื่องยากแล้วที่จะทรงตัวผมเองให้มั่นคงไว้ แม้ว่าผมจะพยายามฝืนทนพลางคิดว่ามันก็แค่การอุปทานไปเอง แต่ทัศนวิสัยของผมได้สั่นคลอนแคลนเหลือเกิน มันแปลกนะ ผมไม่น่าคออ่อนขนาดนี้เลยนี่นา

“อีก-อีกแค่นิดเดียว”

คำพูดผมเริ่มที่จะกลายเป็นการฝืนพูด สติของผมได้หลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว

“อีกแค่นิดเดียวแล้วกรงขังที่นางถูกขังอยู่…… ”

“มันไม่เป็นไรแล้ว เกียโคโม”

ชายคนนั้นพยุงตัวผมอย่างอ่อนโยน ซึ่งก็คือผู้ที่กำลังโอนเอนไปมาอยู่นั่นเอง

เมื่อผมพิงหัวผมไว้บนร่างของชายคนนั้นแล้ว เรี่ยวแรงทั้งหมดของผมก็ได้ละจากร่างกายของผมไป

ขณะที่ดวงตาผมเริ่มที่จะปิดลงอย่างช้าๆ ผมก็ได้ยินเสียงของชายคนนั้น

“ดูเหมือนคุณได้ดื่มมากเกินไปหน่อยในค่ำคืนนี้นะ ดังนั้นผมจะขอรับผิดชอบและพาคุณเกียโคโมกลับไปยังที่พักของคุณเองนะครับ เพราะฉะนั้น โปรดวางใจเถอะครับ ”

มันคือเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเพลงกล่อมเด็กของแม่เลย

เมื่อรู้สึกสุขใจจากเสียงนั้น ผมก็ได้หลับตาลง

แม้ความจริงที่ว่าข้างในหัวผมจะยังสับสนอยู่ แต่มีความจริงเพียงอย่างเดียวที่ผมมั่นใจ คือผมได้รับมิตรภาพที่จะคงอยู่ไปตลอดกาล……