หลินจื้อซือพลันสังเกตเห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจออกมาจากใบหน้าของเสี่ยวเฉิง เธอเองก็พลันครุ่นคิดในใจเช่นกัน “ฉันเองก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ฉันจะรอจนกว่านายจะค้นหาความมั่นใจและความกล้าหาญของตัวเองจนเจอแล้วก็ข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหมดไปได้นั้นแหละ”

หลังจากยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็กล่าวคำพูดขึ้น “อันที่จริง เราไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันมากก็ได้นะ ยังไงก็เถอะ เราเองก็แต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง?”

“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ? ตอนนี้เธอกลายเป็นเหมือนราชินีคนดัง เป็นที่รักของคนทั้งประเทศ ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้เธอต้องมาเจอกับปัญหาทีหลังด้วย ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าข่าวเรื่องงานแต่งหลุดออกไป ทุกอย่างมันจะวุ่นวายขนาดไหน… เราทั้งคู่ควรระวังตัวเองเอาไว้หน่อย ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะโทรหาเธอแล้วก็ต้องมาถูกดังฟังหรือเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราหรอกนะ เรื่องพวกนี้ฉันสัญญากับเธอไปหมดแล้ว”

หลินจื้อซือพลันพยักหน้า “อะไรจะเกิด ก็ต้องให้มันเกิดแหละนะ”

จากนั้น เธอก็หันหลังกลับและเดินเข้าไปข้างใน

ทว่า ในตอนนั้นเอง หรานจิงที่เพิ่งจะกลับมาจากข้างนอกพลันบ่นกับตัวเองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “แบบนี้ไม่ดีแน่ ผู้สื่อข่าวแล้วก็แฟนคลับอยู่ชั้นล่างเต็มไปหมดเลย จื้อซือ! นี่ทุกคนรู้กันหมดแล้วเหรอว่าเธออยู่ที่นี่?”

ทันใดนั้น สีหน้าของเซินเหยาก็พลันเปลี่ยนไป

“ซวยแล้ว! เราต้องรีบพาจื้อซือออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” ในฐานะคนที่เกือบจะเป็นบ้าเมื่อครั้งก่อน เซินเหยารู้ดีถึงผลที่ตามมาของการถูกปิดล้อมไปด้วยแฟนคลับและผู้สื่อข่าว เธอรีบหันไปหาหรานจิงพร้อมช่วยกันคิดหาทางออก

“จื้อซือ! รีบโทรหาผู้จัดการ แล้วก็สั่งให้บอดีการ์ดมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ” เซินเหยาพลันตะโกนบอกเพื่อนสนิทของเธอ

ในทางตรงกันข้าม หลินจื้อซือดูจะไม่วิตกกังวลอะไรเลย เธอดูใจเย็นมาก นั่นเป็นเพราะยิ่งเธอประหม่า มันก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก โดยปกติแล้ว เธอจะปล่อยให้ผู้จัดการ หรือไม่ก็บอดี้การ์ดเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้แทน

เสี่ยวเฉิงพลันเดินกลับเข้ามาพร้อมตะกร้าผ้าที่ว่างเปล่า จากนั้น เขาก็มองมาที่ทั้งสามและกล่าวคำพูดขึ้น “หัวหน้าตำรวจอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง! พวกเธอจะกลัวอะไรกัน?”

หรานจิงพลันตกใจไปชั่วครู่ “เอ๊ะ! จริงด้วย! ฉันเองก็เป็นตำรวจนี่น่า ฉันควรจะต้องเป็นคนคอยรักษาความสงบเรียบร้อยสิ แต่ว่า… ฉันจะให้ทำคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ?! แค่เดินออกไปข้างนอกก็คงถูกเหยียบตายก่อนที่จะได้พูดอีกมั้ง”

หรานจิงพลันมองไปยังเสี่ยวเฉิง “แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันก็เป็นหน้าที่ของนายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ในฐานะเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน นายนั้นแหละต้องมาช่วยฉันด้วย! จะปล่อยให้ดาราที่ตัวเองชื่นชอบถูกพวกผู้สื่อข่าวแล้วก็พวกแฟนคลับบุกเข้ามาแต๊ะอั๋งหรือยังไงกัน?”

“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าชอบเธอ” เสี่ยวเฉิงพยายามพูดย้ำว่าตนไม่ได้ชื่นชอบหลินจื้อซือ

“อ่า ฉันเข้าใจแล้ว นายไม่ต้องพูดดังขนาดนั้นก็ได้” หลินจื้อซือดูเหมือนจะโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

“เสี่ยวเฉิง นายต้องช่วยเธอนะ!” เซินเหยาพลันโอบเอวหลินจื้อซือและกล่าวคำพูด “ถ้าเธอโดนใครแตะตัวแม้แต่คนเดียว… ฉันจะโทรบอกพ่อให้ซื้อทั้งคอนโดนี้แล้วก็ไล่นายออกไปเลย!”

อันที่จริง เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้บอกเลยว่าเขาจะไม่ช่วยพาหลินจื้อซือออกไป เขาเพียงแค่ต้องการที่จะย้ำบอกให้หรานจิงและเซินเหยารู้เท่านั้นว่าตัวเองไม่ได้ชื่นชอบหลินจื้อซือ เธอจะได้ไม่ต้องเก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก

“ก็ได้ ฉันจะจัดการไปส่งหลินจื้อซือที่บริษัทเอง แต่เธอทั้งสองคนก็ต้องช่วยฉันด้วย” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวคำพูด “ไปสวมแว่นกันแดดแล้วก็หมวก ทั้งคู่เลย! ทั้งคอนโดมีลิฟท์อยู่สี่ตัว พวกเราต้องแยกกันไป พวกเธอสองคนต้องใช้ตัวเองเป็นตัวล่อให้พวกนักข่าวแล้วก็แฟนคลับหลงกล”

ทั้งหรานจิงและเซินเหยาพลันมองหน้ากันและคิดว่าแผนนี้น่าจะได้ผล ทันใดนั้น เซินเหยาก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อหยิบแว่นกันแดดกับหมวกให้ตัวเองแล้วก็โยนหรานจิง ทั้งคู่รีบเดินออกมาข้างนอกและกดปุ่มพร้อมยืนรอให้ลิฟต์ขึ้นมา

ส่วนเสี่ยวเฉิงเองก็พาตัวหลินจื้อซือไปยังลิฟต์อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลินจื้อซือเดินตามพร้อมเอามือไขว้หลังและไม่ได้แสดงท่าทีที่วิตกกังวลออกมาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นไม่นาน เธอก็มองไปยังเสี่ยวเฉิงพร้อมกล่าวคำพูด “ถ้านายไม่อยากไปส่งฉัน ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”

“ที่ฉันเก็บความลับเรื่องงานแต่งของเรามาได้นานถึงขนาดนี้ก็เพราะไม่อยากจะให้หน้าที่การงานของเธอพัง อีกอย่าง เราทั้งคู่ก็แต่งงานกันแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันก็มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องเธอด้วยเหมือนกัน” เสี่ยวเฉิงพลันหันหลังให้หลินจื้อซือในระหว่างที่กำลังรอลิฟต์ขึ้น

ทว่า ทันทีที่เสี่ยวเฉิงหลับตาลงและตั้งใจฟัง เขาก็พลันได้ยินเสียงของผู้สื่อข่าวประมาณสามคนดังมาจากลิฟต์ที่กำลังขึ้น!