“แม่คะ…หนูหิวจัง…”
 

“ทนอีกหน่อยนะลูก… พวกเราทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยหรอคะคุณ…?”

 

“…นั่นสิ เดี๋ยวขอพ่อคิดหาวิธีแป๊บนึงนะ…”

 

ในช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ที่บริเวณทุ่งโล่งด้านหน้าเมืองกราวิทัสทางทิศเหนือก็ได้มีเสียงพูดพึมพำเบาๆ ดังขึ้นมาจากครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่นั่งพิงกันอยู่ในเต็นท์เก่าๆ ที่สร้างขึ้นมาจากเศษไม้และผืนผ้าใบขาดๆ ท่ามกลางหมู่เต็นท์ลักษณะเดียวกันที่ตั้งเรียงกันไปเป็นทิวแถว

 

“…เฮ้อ”

 

เสียงของเด็กสาวที่ดังขึ้นมานั้นได้เรียกความสนใจของชายคนที่นั่งกอดเข่าพิงกำแพงเมืองกราวิทัสเข้าจนทำให้เขาต้องเหลือบสายตาไปมองเด็กสาวที่ไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันจนร่างกายซูบผอมเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาและก้มหน้าลงไปซุกกับเข่าของตัวเองอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีไร้ชีวิตชีวาพลางนึกก่นด่าสาปแช่งผู้ที่ก่อเหตุโจมตีหมู่บ้านต่างๆ แทบจะทั่วทั้งทวีปจนทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไปอย่างเงียบๆ ในใจต่อไป

 

ซึ่งสภาพของเขาและสมาชิกครอบครัวทั้งสามนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนจำนวนมากที่บ้างก็นั่งจับกลุ่มกันหรือบ้างก็นั่งหมดอาลัยตายอยากกระจัดกระจายกันไปทั่วทุ่งกว้างแห่งนี้หลังจากที่พวกเขามุ่งตรงมายังเมืองกราวิทัสเพื่อขอความช่วยเหลือหลังจากที่หมู่บ้านของตนเองถูกกลุ่มคนที่แต่งตัวเหมือนกับพวกทหารของเมืองต่างๆ โจมตีและถูกทหารของเมืองกราวิทัสปฏิเสธไม่ให้เข้าไปหลบภัยภายในเมืองแถมยังปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทางเมืองกราวิทัสจะปิดตัวไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยไปอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีชาวบ้านบางคนได้รับเลือกให้เข้าไปในเมืองอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วคนที่ได้รับเลือกจะเป็นเด็กหรือหญิงสาวหน้าตาดีที่ดูเหมือนว่าจะถูกเลือกให้ไปทำงานรับใช้เหล่าขุนนางภายในวัง

 

และนั่นก็ทำให้เหล่าชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ ที่ไม่เหลือที่ไปแล้วยังพอมีความหวังอยู่บ้างว่าตนเองก็อาจจะได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง… หรืออย่างน้อยๆ ก็เคยมีความหวังอยู่บ้างจนกระทั่งในเช้าวันนี้ที่มีเสียงตวาดของชายสูงวัยคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมา

 

“ข้าก็บอกแล้วไงว่าแทนที่จะมาที่นี่ สู้พวกเราเดินไปให้ถึงรีมินัสเลยยังจะดีซะกว่าอีก!!”

 

เจ้าของเสียงที่ดังลั่นขึ้นมานั้นก็คือชายสูงวัยผมหงอกขาวผิวหนังเหี่ยวย่นที่ขาของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปจนต้องใช้ไม้เท้าช่วยถ่อค้ำในเวลาเดินที่เดินทางลี้ภัยมาจากจากหมู่บ้านทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีป ซึ่งกลุ่มของเขาที่เหลือรอดมาจากหมู่บ้านของตนเองได้ถึงห้าคนอันประกอบไปด้วยชายชรา หญิงสาวอีกคนหนึ่ง และเด็กๆ อีกสามคนนั้นนับว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่ค่อนข้างจะเป็นที่สนใจในหมู่ผู้ลี้ภัยมากพอตัวทีเดียวเนื่องจากว่ามีเพียงไม่กี่กลุ่มที่มีคนเหลือรอดมาได้เยอะขนาดนี้

 

“โธ่เอ๊ย… หนูก็เคยบอกปู่โธมัสไปแล้วไม่ใช่หรอคะว่าถ้าจะไปที่รีมินัสมันต้องเดินทางไกลกว่าตั้งเกือบเท่านึงเลยนะคะ พวกเด็กๆ เขาเดินทางไกลขนาดนั้นกันไม่ไหวหรอกค่ะ… แถมขาของปู่ก็เป็นแบบนั้นด้วย…”

 

หญิงสาวผมสีแดงอ่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับชายชราได้พยายามที่จะพูดให้ชายชราใจเย็นลงบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นชายสูงวัยก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะใจเย็นลงเลยแม้แต่น้อยและตวาดออกมาเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง

 

“แล้วข้าก็เคยบอกแล้วไงว่าพวกมันไม่คิดจะช่วยพวกเราหรอก! ดูสิขนาดพวกเรามารอความช่วยเหลืออยู่ที่หน้าบ้านของพวกมันกันตั้งกี่วันแล้ว ข้าวสักเม็ดพวกมันก็ยังไม่คิดจะแบ่งให้เลย!!”

 

คำพูดของชายชราได้ทำให้หญิงสาวเม้มปากแน่นเพราะว่าในช่วงเวลาเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเรียกว่าพวกเธอไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเมืองกราวิทัสเลยแม้แต่น้อยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะเคยถูกทหารของเมืองบอกว่าเธอสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองได้โดยแลกกับการที่ต้องทำงานเป็นสาวใช้ของขุนนางในเมือง แต่ว่าข้อเสนอนั้นมันก็แค่สำหรับเธอคนเดียวไม่ได้รวมไปถึงคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วยจนทำให้เธอที่ไม่สามารถทิ้งพวกเด็กๆ และปู่โธมัสไปได้ต้องบอกปฏิเสธไป

 

ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกยินดีในตอนแรกที่ทหารยามนายนั้นบอกว่าถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็สามารถมาแจ้งกับเขาได้ทุกเมื่อเหมือนกับว่ายังคงเปิดโอกาสให้อยู่ทั้งๆ ที่เธอบอกปฏิเสธไปแล้วก็ตาม

 

แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเธอก็สังเกตเห็นว่าเหล่าคนที่ได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานในเมืองนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเด็กสาวหรือหญิงสาวหน้าตาดีแล้วมันก็ทำให้เธอคิดได้ว่ามันคงจะไม่ใช่การเข้าไปทำงานเป็นสาวใช้ให้กับพวกขุนนางเฉยๆ อย่างที่พวกเขาพูดเอาไว้อย่างแน่นอน

 

ซึ่งท่าทางของหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะสังเกตอะไรได้แล้วนั้นก็ทำให้ชายชราที่มีท่าทีโผงผางตัดสินใจที่จะพูดกระตุ้นขึ้นมาให้เธอตัดสินใจ

 

“พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกเดินทางไปที่รีมินัสแทน เอ็งกับพวกเด็กๆ จะเอายังไงก็รีบๆ คิดก็แล้วกัน ถ้าพวกเอ็งไม่เอาด้วยข้าก็จะไปคนเดียว”

 

“แต่ว่าขาของปู่…”

 

“เหอะ! ถ้าข้าเดินต่อไม่ไหวเดี๋ยวข้าก็จะคลานไป! สู้เสี่ยงเอาชีวิตแก่ๆ นี่ไปทิ้งระหว่างทางมันก็ยังดีกว่าให้ข้ากลับมาอยู่ในเมืองนรกที่ทำให้ขาของข้าเป็นแบบนี้อีกรอบ!”

 

กริ้ง กริ้ง กริ้ง

 

ในขณะที่ชายชรากำลังตวาดออกมาเสียงดังอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของกระดิ่งอันเล็กๆ อันหนึ่งดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยิน ซึ่งเมื่อเหล่าชาวบ้านที่ลี้ภัยมาขอความช่วยเหลือจากเมืองกราวิทัสหันไปมอง พวกเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินในชุดชาวบ้านทั่วไปและหญิงสาวนัยน์ตาสีแดงผมสีขาวดัดเป็นลอนตรงปลายในชุดขุนนางของเมืองกราวิทัสแบบเต็มยศกำลังช่วยกันเข็นรถเข็นที่บรรจุหม้อขนาดใหญ่ที่มีควันสีขาวพวยพุ่งอยู่ออกมาจากประตูเมือง

 

ซึ่งเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินหรือก็คือ เดริค เด็กหนุ่มสารพัดรับจ้างนั้นก็ได้เข็นรถไปหยุดอยู่ที่ใกล้ๆ กับประตูเมืองพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดัง

 

“อาหารมาแล้วครับ! เอาจานชามมาต่อแถวรอรับกันได้เลย ถ้าใครถ้วยชามไม่มีก็มาต่อแถวก่อนได้ครับผมมีชามข้าวเตรียมเอาไว้ให้แล้ว!”

 

“อาหารเช้า…? ข้าวงั้นหรอ!? ตะกี้นี้เขาบอกว่ามีข้าวมาให้หรือเปล่าน่ะ!?”

 

คำพูดของเดริคนั้นได้ทำให้กลุ่มผู้อพยพที่อดมื้อกินมื้อมาเป็นเวลากว่าสัปดาห์โดยไร้ซึ่งการเหลียวแลจากทางเมืองมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะรีบเดินไปมุงกันอยู่เต็มรถเข็นของเดริคจนทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบพูดขึ้นมาก่อนที่เหล่าชาวบ้านผู้หิวโหยจะเบียดเสียดกันจนได้รับบาดเจ็บ

 

“ไม่ต้องแย่งกันครับ! ผมเตรียมมาเผื่อให้เพียงพอสำหรับทุกคนอยู่แล้วครับ!!”

 

จอแจ จอแจ

 

คำพูดประกาศของเดริคและภาพของทหารประจำเมืองกราวิทัสที่กำลังเข็นหม้อที่มีควันหอมกรุ่นผ่านประตูเมืองออกมาอีกถึงสามหม้อใหญ่นั้นได้ทำให้เหล่าชาวบ้านสงบลงไปกันมากเพราะดูแล้วมันน่าจะมีเพียงพอสำหรับทุกคนจริงๆ

 

ซึ่งเมื่อเมื่อเดริคเห็นแบบนั้นเขาก็เดินถอยไปอยู่ข้างๆ หญิงสาวผมสีขาวนัยน์ตาสีแดงในชุดเครื่องแบบขุนนางเต็มยศของทางกราวิทัสเพื่อปล่อยให้พวกทหารที่เพิ่งเดินออกมาเป็นคนตักอาหารแจกจ่ายชาวบ้านแล้วจึงเอ่ยปากพูดพึมพำออกมา

 

“คนเยอะอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ด้วยสินะเนี่ย…”

 

“ก็ตั้งแต่วันที่พวกเขาเริ่มแห่กันมาขอความช่วยเหลือทางวังหลวงก็ยังไม่ได้ตัดสินใจจะทำอะไรเลยนี่นะ”

 

หญิงสาวผมสีขาวที่ได้ยินคำพูดของเดริคได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องของตนเองที่เป็นขุนนางของทางกราวิทัสซะด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้เดริคถึงกับต้องเลิกตามองหญิงสาวด้วยความเหนื่อยหน่ายและพูดออกมาโดยไม่คิดจะเกรงใจป้ายประดับยศที่ติดอยู่บนอกของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

 

“พูดอย่างกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยนะเซียจัง ไม่ใช่ว่าหน้าที่แจกจ่ายอาหารแล้วก็ช่วยเหลือผู้ประสบภัยนี่มันต้องเป็นหน้าที่ของขุนนางอย่างเธอไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้านอย่างฉันหรอกหรอ”

 

“…….”

 

คำพูดของเดริคนั้นได้ทำให้หญิงสาวผมสีขาวที่มัดผมของเธอเป็นหางม้าเอาไว้ด้านข้างที่ถูกเรียกว่า เซีย และถูกเติมคำลงท้ายชื่อเพื่อแสดงความสนิทสนมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยื่นมือที่สวมถุงมือสีขาวเอาไว้ออกไปบิดหูของเดริคอย่างแรงพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

 

หมับ—

 

“บอกให้เรียกฉันว่าคุณเซียไม่ก็เซียเฉยๆ ไปเลยนี่มันเข้าใจยากอะไรขนาดนั้นเลยหรือไงหือ?”

 

“โอ๊ย— ก็เธอเล่นตามติดฉันไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้เพราะงั้นขอเรียกว่าเซียจังจะไม่ได้—”

 

“ฉันถามว่ามันเข้าใจยากอะไรขนาดนั้นเลยหรือไง…”

 

“โอ๊ยๆๆๆ เข้าใจแล้วครับๆ จะเรียกว่าเซียเฉยๆ ก็ได้ครับ!”

 

เดริคที่โดนเซียเพิ่มแรงบิดที่หูนั้นได้ร้องโวยวายออกมาด้วยท่าที่ที่ดูเกินจริงไปบ้างจนทำให้เซียได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะปล่อยมือที่บิดหูของเขาออกและมองสำรวจดูบริเวณทุ่งโล่งหน้าประตูเมืองกราวิทัสทางทิศเหนือที่ในบัดนี้ได้กลายเป็นชุมชนแออัดขนาดย่อมๆ ไปเสียแล้วพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ

 

ซึ่งภาพของเต็นท์โทรมๆ ที่ทำจากเศษไม้มามัดรวมๆ กันเป็นเสาและถูกขึงเอาไว้ด้วยผ้ากระสอบขาดๆ สำหรับหลบฝนหลบน้ำค้างที่ดูเหมือนจะพังล้มลงมาเมื่อถูกลมพัด อีกทั้งที่มุมหนึ่งของหมู่เต็นท์เองก็มีร่างสองสามร่างถูกวางกองรวมกันเอาไว้และคลุมทับด้วยผ้าสีขาวเป็นอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างด้านใต้นั้นคงจะไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้วไม่ว่าจะจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับมาในตอนหลบหนีหรือจากการขาดสารอาหารก็ได้ทำให้เดริคต้องพูดถามเซียที่เป็นหนึ่งในขุนนางที่มีตำแหน่งสูงในระดับหนึ่งของเมืองกราวิทัสของเขาขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ

 

“…ถ้าเกิดเธอสั่งให้ทหารในหน่วยให้ออกมาช่วยพวกเขาได้แบบนี้แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมทำมันตั้งแต่แรกล่ะเซีย? ถ้าเธอทำมันตั้งแต่แรกก็อาจจะช่วยเหลือคนอื่นได้อีกเยอะเลยนะ…”

 

“ก็ในเมื่อมันไม่มีงบประมาณแล้วนายจะให้ฉันช่วยยังไงเล่า ฉันไม่ได้มีคนใจดีเอากระเป๋าใส่เงินมาโยนให้เป็นค่าทำขวัญเหมือนนายสักหน่อยนี่ ส่วนเรื่องเบิกงบสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั่นฉันทำไปตั้งแต่วันที่พวกเรากลับมาถึงเมืองกันแล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครมาอนุมัติงบที่ฉันขอไปเลยเนี่ย”

 

“ทั้งๆ ที่เขาลือกันไปให้ทั่วเลยว่าเจ้าโดตั้นเพิ่งจะได้รับอนุมัติงบไปสร้างโบสถ์บูชาอะไรสักอย่างไปตั้งเป็นแสนคริสต้าภายในวันเดียวน่ะนะ? นี่เธอยื่นเรื่องไปแล้วแน่หรือเปล่าน่ะ?”

 

คำพูดของเซียนั้นได้ทำให้เดริคต้องพูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ เพราะจากข่าวที่เขาได้มาเกี่ยวกับเรื่องการสร้างโบสถ์แห่งใหม่ของโดตั้นนั้นเจ้าขุนนางคนนั้นสามารถยื่นเรื่องและได้รับอนุมัติเงินหลักแสนคริสต้าได้ภายในวันเดียวซะด้วยซ้ำ ในขณะที่การทำเรื่องขอเบิกงบสำหรับเยียวยาผู้ประสบภัยที่น่าจะใช้จำนวนเงินน้อยกว่านับสิบนับร้อยเท่าดันกลับต้องใช้เวลานานกว่าไปเสียอย่างนั้น

 

ซึ่งคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงนั้นก็ได้ทำให้เซียจำเป็นต้องพูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มที่เธอต้องตามติดเขาตามคำสั่งของเบื้องบนไปอีกสักพักใหญ่ๆ ฟัง

 

“ก็งบประมาณส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างนั่นทางวังหลวงเขามีการจัดสรรเอาไว้ให้คนทำเรื่องเบิกได้ในทุกปีอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องการเยียวยาผู้ประสบภัยนี่มันไม่เคยมีใครทำเรื่องขอเบิกมาก่อนก็เลยต้องรอเบื้องบนเขาโยกย้ายงบประมาณจากส่วนอื่นมาให้แบบที่เห็นนี่ล่ะ”

 

“แต่ถ้าเกิดว่ามีการกันงบเอาไว้ถึงขนาดขอเบิกทีนึงเป็นแสนคริสต้าได้ง่ายๆ แบบนั้นทำไมไม่แบ่งงบส่วนนั้นมาช่วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนก่อนกันล่ะ? โบสถ์นั่นต่อให้สร้างเสร็จไปก็ไม่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนพวกนี้เลยไม่ใช่หรือไง”

 

คำพูดอธิบายของเซียร์นั้นได้ทำให้เดริคถึงกับต้องขมวดคิ้ว เพราะว่าเขาไม่เคยทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ในหัวขุนนางของเมืองตัวเองได้เลย แต่ที่แน่ๆ ก็คือถ้าฟังจากคำอธิบายของเซียแล้วทางวังหลวงสามารถอนุมัติงบให้พวกเขานำมาใช้ช่วยเหลือชาวบ้านได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ติดแต่เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ยอมทำด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตคนแท้ๆ

 

ซึ่งท่าทีหงุดหงิดของเดริคนั้นก็ได้ทำให้เซียต้องพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องออกมา เพราะว่าเรื่องที่ทำให้เขาเครียดอยู่นั้นมันเป็นเรื่องของเบื้องบนที่แม้แต่เธอที่มีตำแหน่งในวังสูงในระดับหนึ่งก็ยังไม่สามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้

 

“เบื้องบนเขาก็คงจะมีปัญหาของเขานั่นล่ะถึงยังอนุมัติงบลงมาไม่ได้น่ะ แต่ถ้านายมีเวลาจะมาคิดมากเกี่ยวกับเรื่องที่นายเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้แบบนั้นนี่ฉันว่านายไปช่วยคนของฉันตักอาหารเดินไปแจกพวกชาวบ้านที่เดินไม่ไหวดีกว่ามั้ย”

 

“ครับๆ ขอโทษที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยก็ละกันนะครับคุณเซีย~”

 

เดริคที่ได้ยินคำพูดเตือนของเซียนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วจึงเดินไปช่วยพวกทหารในหน่วยของเซียแจกจ่ายอาหารให้กับพวกชาวบ้าน ส่วนทางด้านเซียเองเมื่อเธอเห็นเดริคเดินจากไปแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นพึมพำออกมาเบาๆ

 

“ถ้าเกิดพวกเขายอมให้เบิกงบมาทำเรื่องที่เป็นผู้เป็นคนได้ง่ายๆ แบบนั้นคิดว่าเมืองมันจะตกอยู่ในสภาพนี้หรือไงกันเล่า….”

 

“อ…เอ่อ… คุ…คุณคือขุนนางที่เอาอาหารพวกนี้มาแจกจ่ายหรือเปล่าคะ…?”

 

“หืม?”

 

ในขณะที่เซียกำลังพูดพึมพำมองออกมาอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพที่ฟังดูกล้าๆ กลัวๆ

 

ซึ่งเมื่อเซียหันไปมองเธอก็ได้พบเข้ากับหญิงสาวในชุดผ้าหยาบเหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไปที่มีรอยไหม้จนขาดแหว่งไปเป็นบางส่วนจนทำให้เธอสามารถเดาได้ไม่ยากว่าหญิงสาวเบื้องหน้าก็คงจะเป็นหนึ่งในชาวบ้านผู้โชคร้ายที่หลบหนีมาขอความช่วยเหลือจากเมืองกราวิทัสแน่ๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะบอกให้อีกฝ่ายไปต่อแถวรอรับอาหารในทันที

 

“ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องอาหารล่ะก็ไปต่อแถวรอคิวได้เลยค่ะ หรือถ้าเกิดว่าในกลุ่มมีคนที่บาดเจ็บจนมาต่อแถวไม่ไหวก็ไปแจ้งพวกทหารได้เลยค่ะเดี๋ยวพวกเขาจะเอาไปให้เอง”

 

“ม…ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ…. ฉันแค่อยากจะมาขอบคุณที่พวกคุณอุตส่าห์นำอาหารมาให้น่ะค่ะ พวกเรานึกว่าทางเมืองกราวิทัสจะทอดทิ้งพวกเราไปแล้วซะอีก…”

 

“อ๋อ… ที่แท้ก็เรื่องนั้นเองสินะคะ”

 

เซียที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวได้นิ่งเงียบมองดูอีกฝ่ายอยู่ชั่วขณะก่อนที่เธอจะชี้ไปทางนิ้วไปทางเดริคที่เพิ่งจะหยิบขนมปังออกมายื่นให้กับเด็กคนหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาให้หญิงสาวข้างกายฟัง

 

“ถ้าเรื่องอาหารในคราวนี้ล่ะก็คุณไปขอบคุณพ่อหนุ่มคนนั้นเถอะค่ะ ทางด้านฉันกับพวกทหารแค่มาช่วยแจกจ่ายอาหารที่เขาเตรียมมาให้เท่านั้นเอง”

 

“อ… เอ๋ะ? ถ..ถ้างั้นก็หมายความว่านี่ไม่ใช่การช่วยเหลือที่เมืองกราวิทัสเตรียมเอาไว้ให้หรอกหรอคะ?”

 

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ทางวังหลวงของเมืองกราวิทัสกำลังหารือกันอยู่ค่ะ แต่สำหรับอาหารทั้งหมดในวันนี้พ่อหนุ่มผมสีน้ำเงินคนนั้นเป็นคนออกเงินทั้งหมดด้วยตัวเองเลย”

 

“อ–อย่างงั้นเองหรอคะ… แต่เด็กผมสีน้ำเงินคนนั้นเขายังดูเหมือนจะยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลยนะคะ… เขาเป็นลูกของขุนนางท่านไหนหรือเปล่าน่ะคะ ฉันอยากจะรู้ไว้สักหน่อยจะได้ทำตัวถูกน่ะค่ะ…”

 

หญิงสาวที่ได้ยินคำพูดของเซียนั้นได้แสดงท่าท่าทีตกใจออกมาอย่างปิดไม่มิด เพราะว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เป็นคนนำอาหารมาแจกจ่ายนั้นอยู่ในชุดชาวบ้านซ่อมซ่อที่ดูผ่านๆ แล้วน่าจะมีฐานะด้อยกว่าตัวเธอเองก่อนที่จะเกิดเรื่องเสียอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้พอมองผ่านๆ แล้วเขาไม่น่าที่จะสามารถจ่ายเงินซื้ออาหารมาบริจาคให้คนจำนวนมากแบบนี้ได้เลย

 

ซึ่งเซียที่ได้ยินคำถามของหญิงสาวก็ได้ขมวดคิ้วนิ่งเงียบจ้องมองเดริคที่กำลังแจกจ่ายอาหารอยู่อย่างเงียบๆ สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดตอบออกมา

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ… เขาก็แค่เด็กเหลือขอที่บังเอิญได้ลาภลอยแถมยังชอบทำเรื่องเกินตัวแค่นั้นแหล่ะค่ะ”

 

 

“มีใครต้องการอาหารเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ! ยังเหลือขนมปังกับน้ำสะอาดอยู่นะครับ!”

 

หลังจากที่เดริคและเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของเซียได้ทำการแจกจ่ายอาหารให้กับพวกชาวบ้านผู้ลี้ภัยจนเกือบจะถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว เดริคก็ได้ร้องถามเหล่าชาวบ้านขึ้นมาอีกครั้งเนื่องจากอาหารจำนวนมากที่เขานำเงินทั้งหมดที่ได้มาเป็นค่าทำขวัญจากไคเลอร์ไปซื้อมายังคงเหลืออยู่อีกบ้างเป็นบางส่วน

 

ซึ่งหลังจากนั้นอีกไม่นานเขาก็ได้พบว่าถึงแม้ว่าเหล่าชาวบ้านส่วนมากจะขออาหารไปสำรองสำหรับวันถัดๆ ไปกันจนครบแล้วก็ตามแต่ว่ามันก็ยังคงเหลืออยู่อีกกองหนึ่งอยู่ดีจนเขาได้แต่ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเซียในการจัดการอาหารส่วนที่เหลืออยู่แทน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอฝากอาหารที่เหลือพวกนี้ไว้กับพวกทหารของเธอจะได้หรือเปล่าน่ะเซีย แล้วอีกสักสองสามวันค่อยให้พวกเขาเอามาแจกใหม่อีกรอบก็น่าจะได้ล่ะมั้ง”

 

“มันก็ได้อยู่ล่ะ… แต่ว่านายจะไม่เก็บเผื่อไว้กินเองบ้างสักหน่อยหรอ? เห็นว่านายใช้เงินทั้งหมดที่มีไปซื้อพวกมันมาเลยไม่ใช่หรอ?”

 

“ท—ทั้งหมดที่ไหนกันล่ะ!? ฉันแบ่งเงินส่วนค่าข้าวของฉันเอาไว้อยู่แล้วสิ!”

 

“หืม….?”

 

ท่าทางร้อนตัวจนผิดสังเกตของเดริคนั้นได้ทำให้เซียที่ตอนแรกแค่หยอกเขาเล่นต้องเลิกคิ้วแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือสักเท่าไหร่สัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรเด็กหนุ่มมากนักและยักไหล่ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“ถ้านายว่างั้นก็เอาตามนั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจะสั่งให้พวกคนในหน่วยจัดการอาหารส่วนที่เหลือให้เอง”

 

“อ–อื้อ ขอบใจนะเซีย …ว่าแต่ที่เธอยอมมาช่วยงานฉันแบบนี้นี่จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะ ไม่ใช่ว่าพวกนั้นสั่งให้เธอมาคอยจับตาดูฉันเอาไว้เฉยๆ หรอกหรอ?”

 

“จับตาดูนายนั่นมันก็แค่งานของฉันในช่วงนี้… งานหลักของฉันจริงๆ มันคือการดูแลประชาชนของเมืองกราวิทัสอย่างที่ขุนนางทุกคนควรจะทำต่างหาก”

 

เซียเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินตรงไปพูดสั่งงานกับเหล่าทหารในหน่วยของเธอที่กำลังจัดการทำความสะอาดเครื่องครัวต่างๆ กันอยู่จนทำให้เดริคที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา

 

เพราะถึงแม้ตอนแรกที่เขาได้ยินว่าจะถูกทางวังหลวงส่งคนมาจับตาดูว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บาร์เหล้าระเบิดที่ทำให้มีขุนนางและทหารคนสนิทเสียชีวิตไปสองสามคนหรือเปล่าเขาจะทำหน้ายี้ออกมาก็ตามที แต่ว่าหลังจากที่เขาได้รู้จักกับเซียแล้ว นอกจากเรื่องนิสัยจริงจังที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับเขาสักเท่าไหร่นักแล้วเธอก็นับว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่งอีกทั้งยังคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเวลาที่ตัวเขาหรือว่าทีออสเพื่อนสนิทเจอปัญหาอีกด้วย

 

“แล้ว… เรื่องมื้อเย็นจะเอายังไงดีล่ะเนี่ย….”

 

ในขณะที่เดริคกำลังรู้สึกอิ่มเอมใจกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่นั้นเอง เขาก็จำเป็นต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในตอนนี้เขาไม่เหลือเงินติดตัวอยู่อีกเลยแม้แต่สักคริสต้าเดียว

 

เนื่องจากเมื่อตอนที่เขาคิดจะซื้ออาหารมาแจกจ่ายให้กับผู้อพยพนั้นเขากลัวว่ามันจะมีไม่พอที่จะแบ่งปันให้กับทุกคน เขาจึงเอาเงินเก็บทั้งหมดของตัวเองมารวมกับเงินที่ได้มาจากไคเลอร์เพื่อซื้ออาหารจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนลืมนึกถึงเรื่องหลังจากนั้นไปเสียสนิท

 

ซึ่งในขณะที่เดริคกำลังรู้สึกกลุ้มใจและกำลังใช้ความคิดอยู่ว่าจะกลับคำไปขอแบ่งอาหารที่เหลืออยู่มาเก็บไว้กินเองบ้างดีไหมหรือจะไปขอความช่วยเหลือจากทีออสดีหรือเปล่าอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจนทำให้เขาต้องสะดุ้งไป

 

“ใช่คุณเดริคหรือเปล่าคะ…?”

 

“ห—หะ— ครับ!?”

 

เจ้าของเสียงที่เอ่ยปากพูดทักเดริคขึ้นมานั้นก็คือเด็กสาวผมสีเขียวทรงหางม้าในชุดสาวใช้ที่ดูเรียบร้อยที่กำลังใช้นัยน์ตาสีเหลืองของเธอจ้องมองตรงมาที่เดริคเหมือนกับว่ากำลังเฝ้ารอคำตอบจากเขาอยู่จนทำให้เดริคต้องรีบพูดตอบกลับไปตามประสาคนอัธยาศัยดี

 

“ถ้าเธอหาคนที่ชื่อเดริคอยู่ล่ะก็ฉันเองนี่แหล่ะ แต่ฉันว่าฉันไม่เคยรู้จักสาวใช้สุดสวยอย่างเธอนะ”

 

“เรื่องนั้นก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอกค่ะ เพราะฉันเองก็ยังไม่เคยเจอคุณเดริคกับตัวแบบนี้เหมือนกัน… พอดีฉันได้ข้อมูลมาว่าคุณเดริคน่าจะสามารถช่วยตามหาคนที่ฉันกำลังหาตัวอยู่ได้ ฉันก็เลยตัดสินใจจะลองมาพบคุณด้วยตัวเองดูน่ะค่ะ”

 

“ฉันหรอ? ถ้าเป็นไปได้เธอช่วยอธิบายสักหน่อยได้หรือเปล่าว่าฉันไปเกี่ยวข้องกับอะไรของเธอนั่นยังไงน่ะ? แล้วก็เรียกฉันว่าเดริคเฉยๆ ก็พอแล้วไม่ต้องเติมคุณนำหน้าหรอก”

 

คำพูดของสาวใช้ผมสีเขียวที่มัดผมเป็นทรงหางม้านั้นได้ทำให้เดริคชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงพูดขอคำอธิบายขึ้นมา เพราะว่านอกจากเหตุบาร์เหล้าระเบิดที่ทำให้เขาถูกทางวังหลวงส่งเซียมาจับตาดูแล้วเขานึกไม่เลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองไปทำอะไรมาถึงถูกขุนนางสักคนในเมืองส่งสาวใช้มาตามหาตัวแบบนี้

 

“เข้าใจแล้วค่ะเดริค ฉันชื่อว่าไอวี่ค่ะ คือพอดีว่าฉันกำลังตามหาตัวขุนนางหญิงคนนึงที่น่าจะให้ข้อมูลสำคัญกับฉันได้น่ะค่ะ แล้วตอนที่ฉันกำลังตามหาตัวเธออยู่ก็ได้ข่าวมาว่าเธอถูกส่งมาจับตาดูคนที่ชื่อว่าเดริคที่เคยถูกไล่ออกมาจากโรงเรียนหลวงกราวิทัสแล้วกำลังทำงานรับจ้างทั่วไปให้กับพวกทหารของทางเมืองอยู่แถมยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมขุนนางกับทหารส่วนตัวเข้า ฉันก็เลยคิดจะลองมาติดต่อเดริคดูเพื่อขอพบขุนนางท่านนั้นน่ะค่ะ”

 

“ด—เดี๋ยวสิ นี่เธอได้ข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนเนี่ย?”

 

คำพูดอธิบายของสาวใช้ไอวี่นั้นได้ทำให้เดริคชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาถูกกดดันให้ออกจากโรงเรียนกราวิทัสนั้นจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่ว่าเรื่องที่เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์บาร์เหล้าระเบิดมันไม่น่าจะใช่เรื่องอะไรที่ขุนนางคนอื่นๆ จะได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งทางด้านไอวี่นั้นก็ได้ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มแก้มของเธอและเอียงคอพูดออกมาให้เดริคฟังเหมือนกับไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรที่น่าแปลกใจนัก

 

“ก็เจ้าหน้าที่ที่ออกมารับช่วงต่อจากพนักงานตอนรับเขาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟังเองตอนที่ฉันถามข้อมูลของคุณเดริคน่ะค่ะ”

 

“แล้วเจ้าพวกนั้นก็เล่าเรื่องที่ควรจะเก็บเอาไว้เป็นความลับให้สาวใช้อย่างเธอฟังเฉยๆ เลยน่ะนะ?”

 

“ค่ะ แถมเจ้าหน้าที่เขายังดุพนักงานต้อนรับอย่างกับว่าเขาทำอะไรเสียมารยาทกับฉันลงไปด้วยนะคะ…”

 

“หะ? กับสาวใช้อย่างไอวี่จังเนี่ยนะ?”

 

คำตอบของไอวี่ได้ทำให้เดริคผงะไปเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินเรื่องทั่วๆ ไปข้างในวังหลวงกราวิทัสมาจากทีออสเพื่อนของเขาที่ทำงานกับคนข้างในนั้นมาบ้าง แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าพักนี้ข้างในนั้นมันเป็นยังไง

 

ซึ่งในขณะที่สาวใช้อย่างไอวี่ก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองเผลอทำอะไรแปลกๆ ลงไปหรือเปล่าและทางด้านเดริคเองก็ยังคงตามความเปลี่ยนแปลงภายในวังหลวงของกราวิทัสไม่ทันอยู่นั้นเอง เซียที่จัดการสั่งงานทหารในหน่วยของเธอเสร็จแล้วและดูเหมือนว่าจะแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่ก็ได้เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับเอ่ยปากพูดอธิบายขึ้นมา

 

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็มันน่าจะเป็นเพราะเครื่องแบบสาวใช้ที่เธอใส่อยู่นั่นแหล่ะ”

 

“….ขุนนางสาววัยรุ่น ผมยาวสีขาวเป็นลอนตรงปลาย กับดววตาสีแดงแล้วก็หน้าตาที่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆ … ถ้าตามข้อมูลแล้วคุณคงจะเป็นคุณเซียที่ฉันกำลังตามหาอยู่สินะคะ”

 

“จ–เจ้าเล่ห์งั้นหรอ— นี่เจ้าพวกนั้นมันเผาฉันเอาไว้ว่าอะไรบ้างเนี่ย…”

 

คำพูดของไอวี่ที่พูดขึ้นมาหลังจากที่เธอหันมาพบกับเซียนั้นได้ทำให้เซียที่ถูกระบุตัวตนเป็นคำพูดถึงกับผงะไปเล็กน้อยพร้อมกับพูดพึมพำคาดโทษพวกเจ้าหน้าที่ในวังหลวงขึ้นมาก่อนที่เธอจะหันไปพูดอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเครื่องแบบสาวใช้ให้ทั้งไอวี่และเดริคฟัง

 

“เอาเถอะ เรื่องที่พวกเขาสุภาพกับคุณไอวี่นี่มันก็เป็นเพราะว่าเธอยังสามารถใส่ชุดสาวใช้ได้อยู่นั่นแหล่ะ เพราะว่าหลังจากที่ทางวังหลวงถูกโจมตีไปเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน อยู่ๆ คุณโดตั้นที่รอดชีวิตมาได้ก็ออกกฏสั่งให้สาวใช้ทุกคนยกเว้นสาวใช้ในส่วนของเชื้อพระวงศ์เลิกใส่ชุดสาวใช้เพราะว่ามันจะเป็นการดูหมิ่นท่านเทพธิดาอะไรสักอย่างนี่ล่ะ”

 

“เทพธิดาหรอคะ…? กับชุดของสาวใช้แบบฉันเนี่ยนะ…?”

 

ไอวี่ที่ได้ยินเซียพูดอธิบายนั้นได้เอียงคอกลับไปให้อีกฝ่ายด้วยความสับสน เพราะว่าเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลของเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งท่าทางของไอวี่ที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้อีกทั้งมันยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโดตั้นที่เดริคเหม็นหน้ามันก็ทำให้เดริคตัดสินใจที่จะพูดตัดบทขึ้นมาในทันที

 

“ช่างเรื่องของไอเจ้าโดตั้นนั่นมันไปก่อนเถอะ ว่าเธอมีธุระอะไรกับเซียเขาล่ะถึงต้องออกมาตามหาถึงที่นี่แบบนี้น่ะ?”

 

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ… แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันขอถามพวกคุณไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน พวกคุณพอจะคุ้นหูกับชื่อ เรเกียนา ปาปิลอจ กับ รากูน่า ปาปิลอจ บ้างหรือเปล่าคะ? ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกเขาเองก็เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนหลวงกราวิทัสเหมือนกับเดริคด้วยเหมือนกัน”

 

“………”

 

ทันทีที่เซียได้ยินชื่อของคนทั้งสองคนที่ไอวี่พูดขึ้นมานั้นเธอก็ถึงกับต้องหรี่ตามองดูสาวใช้เบื้องหน้าด้วยสายตาพิจารณา ในขณะที่ทางด้านเดริคที่ได้ยินว่าคนทั้งสองคนเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกับตนก็ได้พยายามนึกถึงเรื่องสมัยก่อนขึ้นมา

 

“เรเกียน่า กับ รากูน่า นามสกุล ปาปิลอจ งั้นหรอ… ตัวชื่อน่ะไม่คุ้นเลยแหะ แต่ว่านามสกุลมันคุ้นๆ หูฉันอยู่เหมือนกันนะ…. เดี๋ยวสิ! นามสกุลปาปิลอจนั่นมันนามสกุลของผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาที่เพิ่งจะถูกปลดออกไปใช่หรือเปล่าน่ะเซีย?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าเขาถูกปลดออกไปด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตอนนั้นฉันต้องมัวแต่มาไล่จับใครก็ไม่รู้ที่ชอบหนีหายไปบ่อยๆ ก็เลยไม่มีเวลาตามข่าวจากทางวังเลยน่ะสิ”

 

“อุ้ย— ต—แต่ถ้าเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงแบบนั้นเขาก็น่าจะเช่าหอพักของทางโรงเรียนให้พวกลูกๆ อยู่ล่ะมั้ง ถ้าเธอมีธุระกับสองคนนั้นก็ลองไปถามหาที่หอพักดูสิ”

 

คำพูดค่อนขอดของเซียนั้นได้ทำให้เดริคสะดุ้งไปเล็กน้อย เพราะว่าในช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงที่ทางวังหลวงเพิ่งจะส่งเซียมาตามติดเขาใหม่ๆ และเป็นช่วงที่เขายังอคติกับเซียที่เป็นขุนนางของวังอยู่จึงหาเรื่องแกล้งเธออย่างการสลัดหนีเป็นประจำจนทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปพูดตอบไอวี่ที่รออยู่แทน

 

ซึ่งทางด้านไอวี่ที่ได้ยินคำแนะนำของเดริคก็ได้พยักหน้ากลับไปให้เขาเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบกลับไป

 

“เรื่องนั้นฉันลองดูแล้วค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นคนดูแลหอพักหรือว่าพวกอาจารย์ก็พากันยืนยันว่าไม่มีนักเรียนชื่อนั้นอยู่เลยฉันก็เลยต้องลองหาทางอื่นดู… จะว่าไปเดริครับจ้างทำงานทั่วๆ ไปด้วยใช่มั้ยคะ จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าเกิดว่าฉันอยากจะจ้างเดริคสืบเรื่องของสองคนนั้นดูว่าทั้งคู่หายไปไหนน่ะ?”

 

“เหวย เรื่องตามหาคนหายนี่ไอวี่จังลองไปหาจ้างพวกนักสืบหรือว่าอะไรพวกนั้นไปเลยจะไม่ดีกว่าหรอ ที่ฉันถนัดมันพวกงานใช้แรงมากกว่าน่ะ จะให้ฉันไปตามหาคนหายฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดีนอกจากเดินหาเหมือนกันนะ”

 

คำพูดของไอวี่ที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอสนใจจะจ้างเขาไปตามสืบเรื่องของนักเรียนลูกขุนนางทั้งสองคนที่หายตัวไปนั้นได้ทำให้เดริคต้องรีบพูดเตือนสาวใช้เบื้องหน้าขึ้นมาเสียก่อน เพราะว่าสิ่งที่เขารับทำจริงๆ นั้นคืองานทั่วๆ ไปไม่ใช่การไปเล่นเป็นนักสืบแบบนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไอวี่ที่ได้ยินคำพูดห้ามปรามของเดริคก็กลับยังคงจ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาจริงจังราวกับเธอไม่คิดที่จะไปหาจ้างนักสืบแบบที่เดริคพูดแนะนำขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เซียที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะช่วยพูดขึ้นมา

 

“คุณไอวี่คงจะมีเหตุผลที่ไม่คิดจะไปจ้างพวกนักสืบอยู่สินะคะ?”

 

“ค่ะ แต่ว่าเหตุผลนั้นฉันคงจะบอกไม่ได้หรอกนะคะ…”

 

“ถ้าจะให้ฉันเดาก็คือว่าคุณไอวี่คงจะหวังพึ่งนักสืบมืออาชีพที่จำเป็นจะต้องลงทะเบียนและส่งรายงานให้กับทางวังหลวงทุกครั้งที่รับงานไม่ได้สินะคะ”

 

“ค่ะ…”

 

คำพูดตอบรับสั้นๆ ของไอวี่นั้นได้ทำให้เดริคคิดไปเองว่าเธอคงจะเป็นสาวใช้ของตระกูลปาปิลอจที่กำลังพยายามตามหาพวกลูกๆ ของเจ้านายที่หายตัวไปอย่างปริศนาภายในเมืองกราวิทัสแห่งนี้หรืออะไรประมาณนั้น

 

ซึ่งเนื้อหาของตัวงานที่ดูเหมือนว่าเกี่ยวข้องกับพวกขุนนางและเรื่องภายในวังหลวงนั้นก็ได้ทำให้เดริคที่ถึงแม้จะกำลังร้อนเงินและมีคนนำงานมาเสนอให้จำเป็นต้องหันไปมองทางด้านเซียเป็นเชิงขออนุญาตก่อน และนั่นก็ทำให้เซียที่ถูกทางวังหลวงส่งมาจับตาดูเดริคเอาไว้ต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“จะหันมามองฉันทำไมหะ? ถ้านายอยากรับงานจากเขาก็รับไปสิ!”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าปกติงานสืบๆ ค้นๆ พวกนี้คนที่จะรับทำได้ต้องเป็นนักสืบที่ได้รับอนุญาตจากทางวังหลวงก่อนหรอกหรอ? ถ้าฉันรับงานของไอวี่จังมาจริงๆ เธอจะไม่มีปัญหาหรือไงน่ะเซีย?”

 

“พูดเรื่องอะไรน่ะ ที่ฉันเห็นนี่ก็แค่งานรับจ้างทั่วไปแบบที่นายรับทำเป็นประจำเองไม่ใช่หรอไง ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัยถึงขนาดที่ว่าฉันจะต้องไปรายงานสักหน่อยนี่ แล้วนายมัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้จะดีหรือไง คนที่คุณไอวี่เขาตามหาอยู่เขาไม่ได้มีเวลาจะรอนายตลอดไปนะรู้มั้ย?”

 

คำพูดของเซียที่ดูเหมือนว่าจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เต็มพิกัดแถมยังเอ่ยปากพูดเตือนเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของเป้าหมายทั้งสองคนที่เขาต้องตามหาขึ้นมาด้วยนั้นได้ทำให้เดริคตัดสินใจจะรับงานจากไอวี่ในทันที

 

ในขณะที่ทางด้านไอวี่นั้นกลับรู้สึกติดใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับท่าทีของเซียที่นิ่งเงียบไปหลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินเธอพูดชื่อของเด็กทั้งสองคนขึ้นมาอีกทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กทั้งสองคนมากนักทั้งๆ ที่การถูกอุ้มหายไปตลอดกาลแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรมากนักในเมืองที่เหล่าขุนนางระดับสูงมีอำนาจล้นฟ้าอย่างเมืองกราวิทัสเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเวลาให้ใช้ความคิดอะไรมากนักเมื่อเดริคได้เริ่มต้นแผนการค้นหาเบาะแสคนหายที่เขาคิดขึ้นมาได้เรียบร้อยแล้ว

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราไปที่หอนาฬิกากันก่อนก็แล้วกัน เพราะถึงฉันจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในหอพักแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเจ้าทีออสที่เคยเป็นนักเรียนดีเด่นมาก่อนล่ะก็ทางโรงเรียนน่าจะยังอนุญาตให้อยู่ล่ะมั้ง!”