นที่ 29 สิ่งที่เขารักษาไม่ได้
———–
ตรงหัวมุมหนึ่ง ณ เมืองหลวงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
เหล่าทหารรักษาพระองค์และนักบวชติดอาวุธต่างห้อมล้อมเหล่าครูเซเดอร์ของราชอาณาจักรเนเดลผู้ซึ่งนำพากาฬมรณะมายังเมืองหลวงแห่งนี้
พวกเขาถูกศรน้ำแข็งโจมตีอีกทั้งยังมีอาการของปอดบวมแทรกซ้อนเข้ามาด้วย อาการในตอนนี้จึงเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นสาหัส
พวกเขาเริ่มสูญเสียเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลือดเหล่านั้นได้นองลงมาย้อมสีของพื้นให้กลายเป็นแดง ความตายกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที
「หากพวกเจ้านำพากาฬมรณะมายังเมืองหลวงแห่งนี้ทั้งๆ ที่พวกเราต่างก็อยู่ข้างเดียวกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงรู้ดีอยู่แล้วสินะว่าเนเดลก็คงจะไม่พ้นการถูกถอนรากถอนโคนจนพังพินาศ!」
นายพลกองกำลังครูเซเดอร์แห่งจักรวรรดิกล่าว
「มันคือ……กาฬมรณะ……งั้นเหรอ? 」
ขณะที่พวกเขากำลังสะอื้นออกมาก็เกิดอาการอาเจียนเป็นเลือดอย่างรุนแรง หนึ่งในนั้นถึงกับเบิกตาค้าง
เหล่าครูเซเดอร์ที่เหลือดูเหมือนจะมีอาการประหลาดใจ เพราะดูท่าว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาติดเชื้อกาฬมรณะมาได้เช่นไร ทางด้านของผู้คนที่อยู่ภายในเมืองหลวงนั้นย่อมรู้ดีจากการบรรยายด้านสาธารณสุขท่าผ่านๆ มา แต่ไม่ใช่กับทางครูเซเดอร์ของเนเดล
「พวกเราก็แค่ ทำตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกก็เท่านั้นเอง」
「พวกเราก็ไม่รู้จุดประสงค์จริงๆ ของมันหรอก……」
หนึ่งในครูเซเดอร์นั้นได้สิ้นใจลงไป
「ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!」
ฟาร์มาที่บินลงมาจากท้องฟ้าแล้วยืนอยู่บนหลังคาต่ำๆ ของร้านค้าได้มองไปยังเหล่าครูเซเดอร์ที่ล้มตัวลง พวกเขานั้นต่างใส่ชุดป้องกันที่แน่นหนามาก
เมื่อฟาร์มาลองใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องไปยังพวกเขา ก็พบว่าแสงที่ออกมานั้นเป็นสีแดงทั้งหมดและเมื่อครู่นี้ก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหนึ่งคนและเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยังอาการหนักไม่แพ้กัน
เขามาช้าเกินไป
「ภารกิจของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว」
ขณะที่ครูเซเดอร์ทั้งสองกระอักเลือดออกมาพวกเขาก็เริ่มคุยกัน
จากที่พวกเขาพูดดูเหมือนว่าแผนการทั้งหมดนี้จะถูกชักใยโดยใครบางคน
「พวกเรามีประชาชนของเมืองเป็นตัวประกันอยู่……」
พวกเขากล่าวว่าชายคนนั้นได้แสดงอำนาจของตนว่าสามารถควบคุมโรคร้ายซึ่งคร่าชีวิตผู้คนได้หลายพันคนในเวลาเพียงเดือนเดียว และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเขาได้ทำลายเกาะเกาะหนึ่งในอาณานิคมของเนเดลเพื่อแสดงให้ได้เห็นว่าที่เขาพูดนั้นจริง
「ชายคนนั้นบอกกับพวกเราว่าหากไม่อยากให้เนเดลนั้นเกิดเหตุสังหารหมู่ขึ้น เราต้องเอาพวกสัตว์เหล่านี้และซากศพของพวกมันมาปล่อยที่เมืองหลวงของจักรวรรดิและสร้างความวุ่นวายด้วยศาสตร์แห่งลม」
แต่ความหมายของการกระทำนั้นดูเหมือนว่าสองคนที่เหลือนั้นจะไม่ทราบ พวกเขาคิดว่าคงจะทำให้เมืองหลวงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นนิดหน่อยแล้วในเวลาเดียวกันก็สามารถช่วยเหลือประเทศแม่ของตนได้ตามที่ชายคนนั้นพูด
เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนได้เพราะทั้งกษัตริย์ ชนชั้นสูง และผู้คนภายในวังนั้นต่างถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่ารัฐบาลและฝ่ายบริหารไม่สามารถดำเนินงานใดๆ ได้
「พวกเรา…พวกเราก็แค่ขนเอาสิ่งที่ชายคนนั้นบอกมา แต่ระหว่างทางการขนส่งพวกของเราก็ค่อยๆ ตายไปทีละคนและ…..……」
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเริ่มขาดการวิเคราะห์ในเรื่องราวต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับแผนการที่ตนได้รับ พวกชนชั้นสูงนั้นย่อมมีภูมิคุ้มกันสูงกว่าสามัญชน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นโรคที่พวกเขาติดนั้นก็คือกาฬมรณะคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะทนได้
ศรน้ำแข็งนั้นเจาะทะลุร่างของพวกเขาไป ลมหายใจของพวกเขาเริ่มแผ่วเบาลงและกำลังจะตาย ก่อนจะพูดสิ่งที่เหลือออกมาด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว
กาฬมรณะนั้นยังไม่ได้ถูกแพร่กระจายที่ราชอาณาจักรเนเดล
แต่หากพวกเขาไม่ทำตามที่ชายคนนั้นพูดชะตากรรมของผู้คนในเนเดลก็คงจะถึงจุดจบ พวกเขาบอกว่าตนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำได้อีกแล้ว
「แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่ฆ่าชายคนนั้นกัน! ด้วยพลังที่พวกเจ้ามี?! ทำไม ทำไมพวกเจ้าถึงต้องไปทำตามสิ่งที่ชายคนนั้นพูดกัน?!」
ผู้กองกองพลทหารราบรักษาพระองค์กล่าวขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
「เราฆ่าเขาไม่ได้……พวกเราไม่……ชายคนนั้นมัน มันถูกปีศาจสิ่งสู่…」
“มนุษย์ไม่สามารถฆ่าเขาได้…” ครูเซเดอร์กล่าวอย่างคลุมเครือ
“พวกเราพยายามแล้ว หลายครั้งด้วย” พวกเขากล่าว
「ทันทีที่พวกเราพยายามฆ่าเขาหลังจากที่เขาตายแล้วเขาก็..……」
「ไม่ใช่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นทางโบสถ์ผู้พิทักษ์ของเนเดลก็สามารถขับไล่ปีศาจไปได้ไม่ใช่หรือไงกัน?!」
หัวหน้าชักบวชซาโลมอนถามอย่างระแคะระคาย เพราะในตอนแรกไม่ได้มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากทางโบสถ์ของเนเดลเลยอีกทั้งเรื่องขอความช่วยเหลือก็เช่นกัน
「ทางโบสถ์……ที่นั่นถูกปิดตายไปตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนแล้วเพราะนักบวชที่นั่นทุกคนต่างถูกฆ่าตาย พวกเขาทั้งหมู่ถูกฆ่าตายไปพร้อมกับพวกนกพิราบแล้วก็ม้า」
ข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่ซาโลมอนไม่รู้เลย
「เรื่องนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ ……」
「วิญญาณปีศาจร้ายที่แม้แต่ทางโบสถ์ก็ไม่อาจจะรับมือกับมันได้ เจ้าปีศาจตัวนั้นมันต้องพยายามสิงสู่ทุกสิ่งทั่วทั้งทวีปนั้นแน่ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะครับ」
นักบวชกล่าวขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง
「ชายคนนั้นชื่ออะไรกัน? 」
คำถามที่ถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่กดดัน บรูโนปรากฎตัวขึ้นเพราะตัวเขานั้นต้องรีบขี่ม้ามาที่นี่เพื่อยืนยันสถานการณ์
「พวกเราไม่รู้จักชื่อของเขา」
ก่อนบรูโนจะเริ่มพูดถึงลักษณะของคนๆ หนึ่ง
「คามิว เดอ ซาโด ผมสีน้ำเงิน มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่จากไฟบริเวณแก้มซ้าย มีดวงตาเพียงข้างเดียว เป็นคนเจ้าเล่ห์ และ นิสัยราวกับปีศาจ」
เหล่าครูเซเดอร์ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
นั่นแสดงถึงคำตอบ
「ใช่แล้ว……แม้พวกเราจะไม่รู้ชื่อของเขา แต่ลักษณะที่กล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ พวกเราทำสิ่งที่น่ารังเกียจตามที่ชายคนนั้นพูด เพราะนั่นเป็นวิธีเดียว…ที่ราชอาณาจักรเนเดล…..จะ……ปลอดภัย」
ลมหายใจสุดท้ายของพวกเขาได้สิ้นลงไปพร้อมกับคำพูดที่รู้สึกได้ถึงความพึงพอใจ….หลังจากที่เสียชีวิตศพของพวกเขานั้นถูกเผาไหม้ทันทีด้วยความระมัดระวังจากผู้ใช้ศาสตร์แห่งไฟ
(แบบนี้นี่เอง……)
จากที่ได้สังเกตการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ฟาร์มาก็เข้าใจถึงสถานการณ์เรื่องนี้แล้ว แม้เข้าจะไม่เข้าใจว่าปีศาจนั้นมันเป็นยังไง แต่เขาก็คิดว่าอาจจะมีคนคนหนึ่งที่ได้สร้างความหวาดกลัวที่แสนน่ารังเกียจให้กับเนเดลและดูเหมือนว่าบรูโนจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้เห็นทีว่าเขาต้องถามเรื่องนี้กับบรูโนภายหลัง ฟาร์มาคิดเช่นนั้น
(ก่อนอื่นเราต้องรีบจัดการกับกาฬโรคในเมืองหลวงให้หมดซะก่อนเพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ยารักษาคงจะไม่พอ)
นั่นคือสิ่งแรกที่จำเป็นเขาต้องเรียงลำดับความสำคัญในการทำงานก่อน
มีเพียงฟาร์มาเท่านั้นที่สามารถสร้างยาสปาร์ฟลอกซาซินขึ้นมาได้
(ขั้นแรกเราต้องรู้ถึงจำนวนผู้ติดเชื้อก่อน จากนั้นก็ผลิตยาตามส่วนที่ขาดไป)
ฟาร์มาส่งพลังไปยังคทาแห่งเทพของเขาก่อนจะค่อยๆ บินออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนพบเห็น
เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของศัตรูอีกแล้วระฆังเตือนภัยของเมืองหลวงจึงได้หยุดลงไล่เลี่ยกันไปราวกับคลื่น
ทางบรูโนนั้นได้สังเกตเห็นถึงสิ่งสำคัญบางอย่างขณะที่เปลวไฟกำลังเผาไหม้เหล่าครูเซเดอร์ของเนเดล ดวงตาของเขานั้นจ้องมองไปยังเปลวไฟก่อนจะพูดบางอย่างออกมาเบาๆ
「แบบนี้ไม่ดีแน่」
ชายผู้ที่หัวใจแตกสลายไปแล้ว เขาคนนั้นคงไม่หลงเหลือความเชื่อในตัวมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
「ชายคนนั้นน่าจะสังเกตการณ์เรื่องนี้ผ่านดวงตาของพวกเหล่าครูเซเดอร์ในระหว่างทำงานให้ชายคนนั้นแน่ๆ ……」
สำหรับชายคนนั้นแล้ว ผู้คนที่ล้มตาย และติดเชื้อจากโรคร้ายนั้นเป็นสิ่งที่สวยงาม
ความอ่อนแอ ความสิ้นหวัง ความตายและการเริ่มเฝ้าดูคนเหล่าไม่กี่คนที่กำลังพยายามสู้กับโรคร้าย
นั่นแหละคือนิยามแห่งความงดงามของคามิว
ตัวเขานั้นชื่นชอบที่จะเห็นเหล่าผู้คนนั้นค่อยๆ ติดเชื้อและตายลงไป
ーーมองมันลงมาจากด้านบน อย่างใกล้ชิด….
「สารเลวเอ้ย!」
บรูโนกุมคทาแห่งเทพของตนไว้แน่นและระเบิดความโกรธของออก จนมีพลังแห่งเทพทะลักออกมา
「อย่าหยุดเสียงระฆังเตือน!! สั่นมันต่อไป!」
เขาตะโกนขึ้น
「คามิวยังอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ!」
ชายคนนั้นจะต้องถูกกำจัดในทันทีเมื่อพบตัว
เหล่าผู้คนที่ทำงานอยู่ในสถานกักกันที่หนึ่งได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ภายในเมืองหลวงว่าเป็นเช่นไรจากเสียงสั่นของระฆังที่ดังนั้นค่อยๆ สงบลงไปนั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์นั้นถูกควบคุมเอาไว้ได้แล้ว
「สัญญาณเตือนหยุดแล้วค่ะ! ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราก็กลับไปที่ร้านได้แล้วใช่ไหมคะ? 」
ลอตเต้ชวนเซดริก
「นั่นสินะครับ ทหารมองเมืองหลวงน่าจะจัดการกับพวกศัตรูหมดแล้ว ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วครับ」
จากสถานกักกันที่หนึ่ง ลอตเต้และเซดริกได้รีบมุ่งตรงไปยังร้านขายยาต่างโลกโดยสวนทางกับเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่กำลังเดินอยู่อย่างเร่งรีบ เนื่องจากภายในเมืองหลวงนั้นเกิดการต่อสู้ขึ้นและได้รับผลกระทบจากศาสตร์แห่งเทพทั้งถนนที่ยุบลงไป สถานที่ห้างร้านต่างๆ ได้รับความเสียหาย รวมไปถึงการสูญเสียของเหล่าพลเมืองภายในด้วยเหล่าผู้คนที่เริ่มเดินออกมาดูบริเวณภายนอกร้านต่างก็แสดงถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนออกมา
เมื่อพวกเขามุ่งตรงไปยังทางที่จะนำพาไปสู่สถานกักกันที่หก พวกเขาก็พบกับประตูของร้านขายยาต่างโลกในหัวมุมหนึ่งของเมืองหลวงเช่นเดียวกับที่เคยเป็น
「โล่งอกไปทีดูเหมือนมันจะไม่ถูกเผานะคะ! ขอบคุณพระเจ้า〜」
ลอตเต้กระโดดขึ้นลงไปมาด้วยความสุข และราวกับโดนน้ำเย็นสาดเสียงของระฆังนั้นได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
「เอ๋?! สัญญาณเตือนดังขึ้นอีกครั้งเหรอ?!」
「นี่มันแปลกๆ แล้วนะครับ ศัตรูระลอกใหม่บุกเข้ามางั้นเหรอ? รีบเข้าไปในร้านกันเถอะครับจนกว่าสัญญาณจะสงบลงน่าจะปลอดภัยกว่า」
พุ่มไม้ ป้ายร้านและสิ่งต่างๆ โดยรอบนั้นถูกลมพายุพัดทำลายไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นลอตเต้ที่มองอย่างระมัดระวังอยู่นอกร้านขายยาต่างโลกนั้นได้รู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกออกไป
「ตะ-ตรงหน้าต่างทางตะวันออกมันเปิดอยู่……」
「น่าจะเป็นเพราะลมจากศาสตร์แห่งเทพที่ปะทะกันเมื่อครู่นี้นะครับ บางทีจุดนั้นมันอาจจะล็อกไว้ไม่ดีก็ได้เลยเปิดออก」
เซดริกมองตามไป
「ฉันมั่นใจเลยค่ะ ว่าทำการล็อกอะไรทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดแล้ว ไม่มีทางที่มันจะเปิดออกหรอกค่ะ」
เมื่อเข้าไปภายในร้าน ลมที่ถูกพัดเข้ามาทางหน้าต่างนั้นได้พัดเอาเอกสารต่างๆ ภายในร้านกระจายไปทั่ว เซดริกและลอตเต้ไปปิดหน้าต่างแล้วช่วยกับเก็บกวาดภายในร้าน
ขณะที่ลอตเต้ขึ้นไปยังชั้นสาม. *ปั้ง* มีเสียงดังบางอย่างเกินขึ้นบริเวณชั้นสี่
「อ๊ะ ท่านฟาร์มากลับมาแล้วสินะคะ!」
ลอตเต้เรียกเซดริกที่อยู่บริเวณชั้นสอง
「แบบนั้นมันแปลกๆ นะครับเพราะประตูทางเข้าก็ถูกล็อกอยู่ด้วย บางทีน่าจะเป็นสัตว์หรือเปล่าครับ? 」
ลอตเต้รีบขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ด้วยความเร่งรีบ ขณะที่เซดริกกำลังพูด
「เดี๋ยวก่อนลอตเต้! ผมจะเข้าไปดูเอง! บางทีมันอาจจะเป็นกระรอกที่มีเชื้อกาฬมรณะอยู่ก็ได้!」
เซดริกที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่ดีจึงตามลอตเต้ไป เข่าของเขาในตอนนี้นั้นได้รับการรักษาจนมันสามารถเดินขึ้นบันไดมาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟต์อีกแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาก็ยังคงช้ากว่าลอตเต้อยู่
ลอตเต้รีบวิ่งขึ้นไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะพบกับฟาร์มาอย่างแรงกล้า แทบจะไม่ทันหายใจและไม่อาจจะได้ยินเสียงของเซดริก เมื่อเธอขึ้นไปยังชั้นสี่และประตูนั้นได้ถูกเปิดออก
「ท่านฟาร์มาคะ!」
ลอตเต้วิ่งเข้าไปในห้องปฏิบัติการอย่างมีความสุข
จนเธอนั้นลืมไปเลยว่าเธอนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องนี้เนื่องจากสารเคมีที่อันตรายนั้นมีอยู่มากมายภายใน
「ทะ-ท่าน……ฟาร์มา? 」
ฟาร์มาไม่ได้อยู่ข้างในนั้น *ฟิ้วฟิ้วววว* เสียงลมถูกพัดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ สิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยสารเคมีและยาชนิดต่างๆ เครื่องมือทดลองสำหรับบางอย่าง รวมไปถึงบันทึกการทดลองอีกมากมาย
「นี่เราคิดไปเองงั้นเหรอเนี่ย แต่ยังไงก็ต้องไปปิดหน้าต่างตรงนั้นก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวยาที่แสนสำคัญจะได้รับความเสียหายเอา」
ลอตเต้ยืดอกขึ้นมาก่อนจะพยายามเดิมไปปิดหน้าต่าง
แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประตูที่ถูกปิดไปบริเวณข้างหลังของเธอ
「เอ๋? 」
เธอหันกลับไปมองทันทีอย่างไม่เกรงกลัว
——
「ชาร์ล็อต! เดี๋ยวก่อน」
เมื่อเซดริกมาถึงยังชั้นสี่ก็เห็นลอตเต้นั้นล้มลงอยู่กับพื้นบริเวณภายในห้องปฏิบัติการที่ชั้นสี่
「นะ-นี่มันเกิดอะไรขึ้น!」
เมื่อเซดริกเข้ามาในห้องเขาก็ได้เอามือของเขายกไหล่ของลอตเต้ขึ้นมาก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงใครบางคนที่อยู่ข้างหลังของเขา
เมื่อเขาหันกลับไป เขาก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลัง
「?!!!」
เซดริกถูกแรงกระแทกนั้นโจมตีเข้ามาโดยตรงและนั่นทำให้เขานั้นไม่อาจจะลุกยืนขึ้นมาได้ง่ายๆ
มีผู้บุกรุกแอบซ่อนตัวอยู่หลังประตูเซดริกนั้นพยายามจะดึงตัวของเขาไว้แต่แขนของเขานั้นเริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาและหลังจากนั้นมือของเขาก็เริ่มมีอาการเป็นตะคริว
「……อั๊กกก!」
เขาหายใจไม่ออก
__________________________________________
ในเวลานั้นเองฟาร์มาได้บินอยู่เหนือน่านฟ้าของเมืองหลวง เพื่อทำการตรวจสอบจำนวนของผู้ติดเชื้อที่แน่นอน
เมื่อมองไปรอบๆ เมืองด้วยดวงตาวินิจฉัย เขาได้เห็นแสงสีฟ้ากระจายออกมาจากผู้ป่วยที่อยู่ภายในอาคาร
พวกเขานั้นติดเชื้อแต่ยังอยู่ในช่วงแฝง จึงยังไม่มีอาการใดๆ
เชื่อเหล่านี้หากมันยังอยู่ในระยะแฝงแรกเริ่มนั้นจะยังไม่ใช่เชื้อที่น่ากลัวนัก
หากมีการให้ยากับทุกคนภายในหนึ่งถึงสองวันบวกกับผลของแดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาดและการทำงานของสถานกักกันอย่างละเอียด การจะจัดการกับกาฬโรคในเมืองหลวงนั้นคงจะเสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน
แม้จะมีผู้ป่วยล้มตายลงไป……แต่นั่นก็ต้องรักษามันให้อยู่ในปริมาณที่น้อยที่สุด
「เรามาทำมันให้จบก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดอีกครั้งดีกว่า!」
แม้ว่าอาจจะไม่มีสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนั้นเกิดขึ้นได้แล้ว แต่เขาก็ต้องคิดเผื่อเอาไว้ด้วย
「เอ๋? 」
เขารู้สึกหนาวสั่นราวกับร่างกายของตนนั้นถูกทิ่มแทงและเริ่มเคลื่อนไหวลำบาก ก่อนที่ฟาร์มาจะมองไปยังร้านขายยาต่างโลก
แสงสีน้ำเงินจางๆ ได้แผ่ออกมาจากชั้นสี่ของร้าน ก้อนสีฟ้าขนาดใหญ่และเล็กอย่างละหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีแสงบางอย่างที่ปกคลุมร่างของคนคนหนึ่งแผ่ออกมาอีกด้วย
มันกำลังเพิ่งจะเกิดขึ้น
「ทำไม ถึงเป็นชั้นสี่กัน?!」
เขารีบตรงไปยังที่นั่นทันทีโดยไม่ผ่านชั้นสองก่อนที่เขาจะได้เห็นสภาพที่ตนพูดไม่ออก
ที่ชั้นสี่นั้นเขาได้เห็นเงาของบางสิ่ง
มันราวกับหายนะอันมืดมิดแห่งก้นหุบเหว เปรียบได้เหมือนกับเงาของเขาทั้งโลกนั้นได้มารวมตัวกันอยู่ในร่างร่างนั้นที่ค่อยๆ ดูดความมืดมิดเข้าไป
「นั่นมันอะไรกัน……! ความมืด เงาเหรอ? ……」
(นั่นน่ะเหรอปีศาจที่ ท่านพี่ บลานช์ แล้วก็นักบวชพูดถึงกัน?)
ฟาร์มาเริ่มมีอาการสั่น หากสมมุติว่าเป็นปีศาจจริงๆ เขาก็ไม่รู้วิธีในการขับไล่มันอยู่ดี
มันเป็นงานของพวกนักบวช
แต่ถึงอย่างนั้นแสงสีน้ำเงินที่เขาเห็นภายในร้านนั้นมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงก่อนจะกลายเป็นสีแดงด้วยความรวดเร็ว นี่มันเป็นสัญญาณที่อันตรายเอามากๆ
「อะไรกัน! เร็วเกินไปแล้วไม่ใช่กาฬโรค?! ยาพิษงั้นเหรอ?!」
แม้จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่พิษที่เขาเก็บไว้เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์อยู่ภายในห้องนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางจะเก็บพิษที่มันทำให้มีอาการถึงขั้นปางตายแบบนี้ไว้ในจุดที่เห็นได้ง่ายอยู่แล้ว เพราะเขาได้เก็บพวกมันไว้ในตู้เก็บรักษาอย่างดีและแข็งแรง
เงาปีศาจสีดำนั้น ให้เหล่าผู้ป่วยดื่มบางอย่างที่อยู่ในห้องนี้
แม้ว่าเขาจะยังคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ดวงตาวินิจฉัยในการยืนยันถึงเรื่องนี้โดยไม่ต้องคิดเลย
「” ติดพิษ!” 」
แสงนั้นยังคงเป็นสีฟ้า แต่เขาคิดว่ามันต้องเกิดมาจากพิษแน่นอน
「” โพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ” 」
เขาสงสัยว่ามันน่าจะเป็นไซยาไนด์ที่ส่งผลทันที แต่มันก็ผิดเขาจึงเริ่มใหม่อีกครั้ง
「” สารประกอบอนินทรีย์ (Inorganic Compound) ” 」
ผิด
「” สารประกอบอินทรีย์ (Organic Compound) ” 」
เริ่มมีปฏิกิริยา
「” อัลคาลอยด์ (Alkaloid) ” 」
ฟาร์มายังคงระบุประเภทของแอลคาลอยด์ให้แคบลงเรื่อยๆ โดยไม่เดาสุ่ม เพราะเขากำลังพูดถึงพิษร้ายแรงของจากการจำแนกกลุ่มใหญ่ๆ ที่เริ่มแคบลงมาเรื่อยๆ นั้นจะทำให้เขาสามารถค้นหาสาเหตุของมันได้อย่างแน่นอน สารพิษนั้นมีจำนวนมากแต่ที่เขาพูดขึ้นมาถูกนั้นไม่ใช่เพราะโชคช่วยแต่เขาคาดเดาจากแสงที่ฟ้าที่เห็นจากบาดแผลซึ่งเป็นลูกศรอาบยาพิษซึ่งซึมเข้าไปยังบาดแผล
ฟาร์มายังคงระบุประเภทของอัลคาลอยด์ให้แคบลงเรื่อยๆ โดยไม่เดาสุ่ม เขากำลังพูดถึงพิษร้ายของอัลคาลอยด์ซึ่งออกฤทธิ์รุนแรง (สารประกอบอินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาติ) จากสิ่งที่เขานั้นจำได้
ส่วนหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่สามารถหาได้ง่ายบนโลกใบนี้
「” อะโคนิทีน (Aconitine) ” 」
แสงสีน้ำเงินนั้นเปลี่ยนไป อะโคนิทีนนั้นเป็นส่วนประกอบของพิษในอัลคาลอยด์ (สารหนู) ซึ่งเป็นพิษร้ายแรงที่พ่อฟาร์มานั้นใช้ในการลดไข้ผู้ป่วยแต่มันก็ไม่ได้มีอยู่ในห้องของฟาร์มาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
และไม่มีสิ่งที่สามารถล้างพิษตัวนี้ได้ด้วย!
「โถ่เว้ย!」
เขาไม่สามารถสร้างยาแก้พิษได้ เนื่องจากมันสายเกินไปแล้วเพราะมันได้เข้าไปสู่ในกระเพาะอาหารซึ่งไม่สามารถรักษาได้แล้ว
「ถ้าแบบนี้ก็……!」
เขาใช้ความสามารถในการสสายสสารในมือขวาของเขา
「” สลายอะโคนิทีน (C34H47NO11) !” 」
การขจัดพิษร้ายจากระยะไกล
มันคงจะไม่ทันหากเขากลับมารักษาผู้ป่วยหลังจากเอาชนะปีศาจได้แล้ว
นั่นคือเหตุผลที่ฟาร์มานั้นต้องจัดการกับพิษจากระยะไกล ก่อนจะวางแผนขับไล่ (?) ปีศาจ
โครงสร้างของอะโคนิทีนนั้นมีความซับซ้อนอย่างมาก แต่โชคดีที่ความสามารถของเขานั้นต้องการเพียงแค่สูตรทางเคมีและชื่อของมันในการเป็นส่วนประกอบที่จะสสายมันออกไป แต่ถึงอย่างนั้นแสงสีฟ้าก็ยังไม่หายไปเสียทั้งหมดแม้มันจะกลายเป็นสีขาวไปบ้างแล้วก็ตาม
「เหมือนว่ายังเหลือบางอย่างอยู่!」
ดูท่าว่ามันจะเป็นการผสมผสานของพิษหลายชนิด
เขารู้แล้วว่าอาวุธหลักที่ใช้นั้นคือลูกศรอาบยาพิษ แต่จะพลาดไปบ้างแต่เขาก็ยังคงนึกถึงพิษที่มาจากสิ่งนั้น
「” บาทราโคทอกซิน (Batrachotoxin) ” 」
พิษที่ได้มาจากกบ ซึ่งพิษตัวนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอนจากหนังสือที่เคยมีมาบนโลกใบนี้
นอกจากนั้นเขายังไม่เคยพบกบพิษบนโลกนี้เลย
(ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้กัน ไม่อยากจะคิดเลย ถ้าเป็นเราคงจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก…….…)
ฟาร์มารู้สึกหนาวจนตัวสั่น เพราะสิ่งนี้มันมีเส้นกั้นบางๆ ระหว่างพิษกับยาอยู่
หากความรู้ในเรื่องยานั้นถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดมันก็สามารถกลายเป็นพิษได้เช่นกัน
เงาสีดำนั่นน่าจะเป็นปีศาจที่เหนือสามัญสำนึกของคนบนโลกใบนี้
「” สลายบาทราโคทอกซิน (C31H42N2O6) !!) 」
การล้างพิษเสร็จสิ้นแสงสีน้ำเงินบนตัวได้หายไปจนเหลือแค่ตรงเข็มพิษเท่านั้นที่ส่องแสงอยู่ สองชีวิตนั้นถูกช่วยไว้ได้แล้วแม้จะมีแผลเล็กน้อยก็ตาม
ฟาร์มาเตรียมตัวเพื่อให้พร้อมเผชิญหน้ากับปีศาจร้าย
เขาเดินเข้ามาใกล้กับบริเวณหน้าต่างของชั้นสี่
ผู้บุกรุกที่เข้ามานั้นสวมชุดคลุมสีดำและปิดหน้าเอาไว้ด้วยผ้าคลุมหันหน้ามาหาฟาร์มา
『ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย พอมีแสงสว่างเยอะแบบนี้』
หลังจากที่ชายคนนั้นหันกลับมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่ดูน่าอึดอัดราวกับเสียงที่ดังออกมาจากร่างกายของเขานั้นดังเหมือนกับเสียงเสียดสีบางอย่าง เขาเปิดปากออกมาพร้อมกับเสียงที่ตะกุกตะกัก ก่อนจะปล่อยกลิ่นตัวที่ชวนให้นึกถึงของเหม็นเน่าออกมา
『แกน่ะเหรอคนที่เข้ามาขวางงานของข้า? ไอ้เจ้าคนเขลามนุษย์ทุกคนมันต้องตาย』
ชายคนนั้นตั้งคำถามที่ดูน่ารำคาญ ก่อนจะถอดผ้าคลุมที่หัวออกด้วยมือ
กะโหลกศีรษะของชายคนนั้นถูกเปิดออกมาจากครึ่งทางด้านซ้ายข้างหน้า ผิวหนังของเขาเน่าเปื่อย เส้นผมสีฟ้าซึ่งมีดวงตาเพียงแค่ข้างเดียว
ฟาร์มาได้มองเห็นรูปลักษณ์ดังกล่าว
「……อย่าบอกนะว่านายคือคามิว? 」
นั่นคือบุคคลที่พ่อฟาร์มานั้นกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องครั้งนี้ คนที่เหล่าครูเซเดอร์เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเป็นปีศาจร้าย
『ถูกต้องตามนั้น』
เขาเอานิ้วที่หุ้มกระดูกนั้นชี้ไปยังฟาร์มา
เขาคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นเหมือนราวกับซากศพเท่านั้น
「อุ……อืมม」
เหล่าคนที่ล้มตัวนอนลงกับพื้นนั้นคือเซดริกและลอตเต้ เซดริกที่ล้มตัวลงกับพื้นเหมือนจะพยายามปกป้องลอตเต้เอาไว้ แม้ฟาร์มานั้นจะสามารถลบล้างพิษจะระยะไกลออกไปได้แต่บาดแผลเล็กที่แทงข้างหลังของเซดริกนั้นยังไม่อาจจะรักษาได้
มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงดังนั้นหลังจากที่ฟาร์มาจัดการกับปีศาจเสร็จ เขาก็จะสามารถทำการรักษาทั้งสองคนได้อีกที
「นายทำอะไรลงไป? ……」
หลังจากที่ฟาร์มาจ้องมองไปยังทั้งสอง คามิวก็ถือขวดบางอย่างที่มีฝาปิดเอาไว้อยู่ขึ้นมา
『ห้องปฏิบัติการนี้มันช่างน่าอัศจรรย์ เหล่าสารพิษที่ข้าไม่รู้จักมากมายเหล่านี้…..นี่คืออะไรกันนะ? น่าสนใจจริงๆ 』
มีของเหลวและผลึกมากมายอยู่ภายในขวด มันคือผงฟอสฟอรัสขาว ที่ฟาร์มาเตรียมเอาไว้ในการสังเคราะห์ ซึ่งถูกเขาสร้างขึ้นมาและมันถูกเก็บรักษาไว้ตู้ล็อกอย่างดี ฟอสฟอรัสขาวนั้นจะเกิดจุดด่างขึ้นมาได้หากสัมผัสเข้ากับอากาศดังนั้นมันจึงต้องถูกแช่เก็บเอาไว้ภายในขวด
『ข้ามายังเมืองหลวงแห่งนี้ก็เพื่อตรวจสอบผลการทดลองแท้ๆ แต่ระหว่างที่ผ่านทางมาก็เจอสิ่งนี้เข้า มาทดลองเอาสิ่งนี้ราดบนผิวหนังจะเป็นยังไงกันนะ? 』
เขาถือขวดที่มีฟอสฟอรัสขาวขึ้นเหนือใบหน้าของลอตเต้ หากเขาเอียงขวดเข้าไปหาใบหน้าของลอตเต้ หน้าของเธอนั้นจะต้องถูกเผาไหม้โดยฟอสฟอรัสขาวแน่นอน และเปลวไฟนั้นจะไม่หายไปเองด้วย การเผาไหม้ของฟอสฟอรัสขาวนั้นรุนแรงมากและยากที่จะรักษา เธอจะถูกสารเคมีนั้นเผาไม้อย่างรุนแรง
ดูเหมือนว่าคามิวจะพยายามลองมันในขณะที่ลอตเต้นั้นยังมีชีวิตอยู่
แต่ฟาร์มาไม่ยอมจะให้เป็นเช่นนั้น
ก่อนที่คามิวจะขยับมือของตนฟาร์มาก็ได้เอื้อมมือไปยังฟอสฟอรัสขาว
「” สลายฟอสฟอรัสขาว (P4) ” 」
ผลึกได้หายไปและไม่มีสารพิษหลงเหลืออยู่ภายในขวด
「อย่ามาใช้ยาที่ผมสร้างขึ้นมาทำร้ายผู้คนนะ! นั่นมันอะไรกัน……มนุษย์น่ะไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าตัวอย่างการทดลองได้หรอกนะ」
การใช้สารเคมีเพียงแค่อยากจะเห็นผลเมื่อใช้มันกับผู้คน แบบนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความโหดร้ายอันน่าสยดสยองที่เหมือนเป็นการดูหมิ่นทั้งศาสนาและศาสตร์แห่งเภสัชวิทยาดีๆ นี่เอง
「ไม่ได้จริงด้วย เพียงแค่นายเท่านั้น……」
เสียงของฟาร์มาสั่นและเงียบลงไป
ลอตเต้ที่พยายามยกเปลือกตาของเธอขึ้นหลังจากได้สติพร้อมกับสารพิษที่ถูกลบออกไปจากร่างของเธอไปหมดแล้วถึงขั้นตกใจกับเสียงของฟาร์มา
「ผมรักษานายไม่ได้จริง」
ลอตเต้ตกใจราวกับตกอยู่ในอำนาจของพลังที่มองไม่เห็นนี้ บรรยากาศโดยรอบเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ลอตเต้ไม่สามารถแม้กระทั่งจะเปล่งเสียงของเธอออกมาได้และทำได้เพียงกลืนมันลงไปเพราะเสียงที่เธอได้ยินนั้นมันไม่ใช่เสียงของฟาร์มาโดยปกติแล้ว มันทั้งเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธที่อัดแน่นกันจนถึงขีดสุด
ลอตเต้ไม่เคยเห็นเขาโกรธมาก่อนเลย
แต่ในตอนนี้นั้นเธอรู้สึกได้อย่างจัดเจนเลยว่าตัวฟาร์มานั้นกำลังโกรธอยู่
『แล้วมันยะ……อั๊คคค?!!』
หลังจากที่ฟาร์มาได้กุมกำปั้นของตนเอาไว้เขาก็พุ่งเข้าชกคามิวด้วยความรวดเร็วก่อนที่คามิวนั้นจะได้ควงเอามีดอาบยาพิษของตนออกมาด้วยซ้ำ หมัดนั้นได้พุ่งเข้าไปกระแทกกับหน้าของคามิว
ฟาร์มานั้นรู้สึกว่าตนในตอนนี้นั้นจะต้องกำจัดความชั่วร้ายที่อยู่ตรงหน้าให้หมดไปด้วยทุกสิ่งที่เขามี
ปีศาจร้ายได้ถูกโจมตีโดยกำปั้นที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งเทพโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเข้าที่หน้า
ต่อหน้าของปีศาจร้ายความสามารถของมือซ้ายฟาร์มานั้นทำงานโดยอัตโนมัติ
คามิวลอยเข้าไปกระแทกกับหน้าต่างด้วยความเร็วสูงก่อนจะทะลุออกไปจากห้องปฏิบัติการชั้นสี่พร้อมกับเศษหินและก้อนอิฐอีกหลายชิ้นไปยังภายนอกร้าน
ฟาร์มาบินตามออกมาโดยใช้คทาแห่งเทพเป็นตัวเร่งความเร็ว
ก่อนจะขึ้นไปบนท้องฟ้าและเสริมพลังเข้าไปให้กับกำปั้นของตัวเองอีกครั้ง
จากนั้นร่างของคามิวก็ได้รับแรงกระแทกจากหมัดของฟาร์มาอีกครั้งร่างของเขาถูกทำลายด้วยแรงจากหมัดนั้นส่งผลให้รูปร่างของมันบิดเบี้ยวไป
ฟาร์มาใช้มือขวาของเขากดอัดบดขยี้ลงไปอีกครั้ง
ลำตัวถูกบดขยี้ออกไป
ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากการโดนรัวกำปั้นเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน
ร่างกายของเขาถูกบดขยี้ด้วยกำปั้น เนื้อที่เน่าเปื่อยได้กระจัดกระจายออกไปแล้วกลายเป็นขี้เถ้าก่อนจะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีขาว
「หายไปซะ!」
ฟาร์มาส่งพลังไปให้กับคทาแห่งเทพก่อนจะพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าและกลับตัวพุ่งลงมาอีกครั้งด้วยความเร็วที่แทบจะเจาะผ่านอากาศได้
ปีศาจร้ายไม่อาจต้านทานใดๆ ได้ร่างกายหลักของมันนั้นถูกเจาะทะลุไปถึงแกนกลาง
ร่างที่ถูกเสียบราวกับเนื้อวัวได้ล้มกระแทกเข้ากับพื้นอีกครั้ง
『อ๊าคคค……เฮี๊ยยย!……』
ผืนแผ่นดินที่ได้รับการอัดพลังจากคลื่นกระแทกของฟาร์มาไม่อาจจะต้านทานแรงนั้นได้จนยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่
คทาแห่งเทพโอสถได้เปล่งแสงสีรุ้งออกมาปกคลุมร่างของคามิวไว้ทั้งหมด
แสงความร้อนที่แม้กระทั่งหินที่อยู่บริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง
『……นี่น่ะหรือคือความตาย….』
ร่างของเขาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนั่นกล่าวคำนั้นออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
ราวกับเป็นสิ่งที่ชายผู้ถูกปีศาจสิ่งสู่รอมาเป็นเวลานาน
เงาที่อยู่ภายในตัวของคามิวนั้นได้ถูกทะลวงโดยคทาแห่งเทพโอสถและทำท่าเหมือนดิ้นรนไปมาก่อนจะค่อยๆ หายไปในที่สุด
พร้อมกับหมอกสีดำที่หายไป ร่างของชายคนนั้นก็สลายไปกลายเป็นขี้เถ้าแล้วหายไปตามลม
「โง่เง่าที่สุด……ให้ตายสิ..」
หลังจากจัดการกับเขาได้ ฟาร์มาก็รู้สึกถึงความว่างเปล่า
มันสมองและพรสวรรค์ของคามิวนั้นคือว่าเป็นสิ่งชั้นยอดบนโลกใบนี้เลย หากนำความรู้ ข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการค้นคว้าวิจัยรักษาผู้คน เขาคงจะสามารถช่วยเหลือเหล่าผู้คนได้อีกมากเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเขาจะต้องกลายเป็นแพทย์คนหนึ่งที่ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขานั้นชั่วร้ายจนเกินไปจากก้นบึ้งของจิตใจ เกินกว่าที่จะสรรหาคำมาอธิบายได้
เหล่าผู้คนภายในเมืองที่ต่างอพยพไปยังร้านค้าต่างๆ อีกครั้งหลังได้ยินสัญญาณเตือน ได้ยินเสียงของแผ่นดินที่สั่นสะเทือนในบริเวณใกล้นี้เปิดหน้าต่างออกมาดูตามเสียงนั้นและมองเห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าของเขาได้เนื่องจากผ้าคลุมและคทาแห่งเทพที่บังเอาไว้ ยืนอยู่ใจกลางของหลุมขนาดใหญ่นั้น
「นะ-นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย? 」
ไม่มีใครรู้ถึงความจริงในเรื่องนี้
แสงแดดจางๆ ได้แทรกออกมาระหว่างเมฆและท้องฟ้าก็เริ่มกลับมาแจ่มใส สายลมอุ่นๆ ได้ไหลผ่านเข้ามาราวกับช่วยเยียวยาผู้คนในเมืองหลวง
「ท่านฟาร์มา」
ขณะที่พยายามทนต่อความเจ็บปวดบริเวณหลังของเธอ ลอตเต้ก็ได้พยายามเดิมลงมาจากบันไดของร้าน และค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาฟาร์มาเท่าที่เธอจะทำได้ *ติ๋ง* *ติ๋ง* รอยหยดเลือดได้ไหลมาตามทางที่เธอนั้นเดิน
ก่อนที่ฟาร์มาจะล้มตัวลง
และลอตเต้ก็รับตัวของเขาเอาไว้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาและกอดเขาเอาไว้
「ยินดีต้อนรับกลับค่ะ」
ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ให้เอื้อนเอ่ยต่อจากนี้อีกแล้ว….
____________________________
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913