ตอนที่ 97 การปฏิเสธของคุณชายซิ่วถิง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

จูหมิงเยียนกอดแขนของมู่หรงอวี้ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขอเพียงสามารถอยู่เคียงข้างท่านอ๋องได้ หมิงเยียนก็ไม่สนสิ่งใดแล้ว จูเปี้ยนเองก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เรื่องในคราวนี้ไม่ต้องพูดถึงจูหมิงเยียนถูกลงโทษ หากฮ่องเต้ต้องการที่จะประหารจูหมิงเยียนก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพียงแค่ถูกลดขั้นเป็นพระชายารองก็เป็นเรื่องที่โชคดีแล้ว สำหรับคำที่ไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ตลอดไป จูเปี้ยนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ รอเมื่อกงอ๋องขึ้นครองราชย์ในอนาคตไม่ว่ากงอ๋องจะพูดสิ่งใดก็ย่อมได้ แม้ว่าแคว้นหวาจะไม่อนุญาตให้อนุภรรยาขึ้นเป็นภรรยาเอกได้ แต่จูหมิงเยียนเองก็แต่งเข้ามาด้วยฐานะของพระชายาเอกอย่างถูกต้องแม้ว่าจะถูกลดขั้นเป็นพระชายารองแต่ก็ไม่ได้แต่งเข้ามาในฐานะอนุภรรยาจริงๆ กฏเกณฑ์พวกนี้นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการของผู้คน

ทั้งสามคนออกจากพระตำหนักฉินเจิ้ง มู่หรงอวี้ปล่อยจูหมิงเยียนและเอ่ยว่า ข้าจะไปเยี่ยมเสด็จแม่ เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด

จูหมิงเยียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้แลดูอ่อนโยนและนุ่มนวลเป็นพิเศษ เพคะ หม่อมฉันจะกลับไปก่อน ท่านพี่กลับเร็วหน่อยนะเพคะ มู่หรงอวี้พยักหน้าและหันหลังมุ่งหน้าไปยังวังหลัง

เมื่อเห็นเงาแผ่นหลังของมู่หรงอวี้ไกลออกไป จูหมิงเยียนก็อดไม่ได้ที่จะมองลงไปยังมือที่ถูกมู่หรงอวี้กุมอยู่เมื่อครู่ รู้สึกถึงความเย็นสบายที่อธิบายไม่ได้

เขา…รักนางจริงๆ งั้นหรือ

ณ จวนซู่เฉิงโหว

ภายในเรือนหลานจื่อ คุณหนูสี่ของจวนซู่เฉิงโหวซึ่งควรจะร้องไห้อยู่ในห้องของตนเพราะว่าเสียโฉม กำลังเอนกายพิงพนักพิงเก้าอี้ขณะยกถ้วยชารสชาติเลิศรสขึ้นจิบ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสามารถเห็นสะเก็ดรอยแผลเป็นที่ดูน่าหวาดกลัว

ไม่ไกลจากนางนัก องค์ชายเก้านั่งอยู่บนเก้าอี้แย้มยิ้มอย่างนุ่มนวล ในมือถือถ้วยชาใบหน้าเคลิบเคลิ้มดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น ว่ากันว่าผ้าไหมจากแคว้นเย่ว์ สุราจากเป่ยฮั่น ชาจากตงหวาขึ้นชื่อว่าดีที่สุด แต่ไม่คิดว่าชานี้จะดื่มที่แคว้นหวาแล้วรู้สึกดีกว่าดื่มที่สถานที่อื่นๆ ยิ่งนัก

มู่ชิงอีพูดอย่างเฉยเมย ชาบรรณาการของจวนซู่เฉิงโหวปีนี้มีส่งมามากมาย องค์ชายเก้าช่างมาได้เวลาเหมาะเจาะเสียจริงนะเพคะ มู่ฉังหมิงปวดใจอย่างมากที่ได้ทำลายโฉมหน้าของนาง ในช่วงสองวันมานี้จึงได้ส่งสิ่งของดีๆ มากมายมาที่เรือนหลานจื่อ แต่ส่วนมากถูกมู่ชิงอีเล่นละครแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวโยนทิ้งไป กระนั้น เมื่อเห็นชาที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อเช้านี้ มู่ชิงอีก็คิดๆ ดูก่อนที่จะตัดสินใจเก็บมันไว้

ของดีหายากเช่นนี้ หากโยนทิ้งก็คงลาภปากคนอื่นเกินไป

หรงจิ่นเอียงศีรษะและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าการเสียโฉมก็ไม่ได้ทำให้ชิงชิงเป็นทุกข์สินะ

มู่ชิงอีมองไปที่เขาและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า มันขวางหูขวางตาองค์ชายเก้าอย่างนั้นหรือเพคะ

จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ว่าชิงชิงจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร ในสายตาของข้าเจ้าก็ล้วนเป็นที่หนึ่งในโลก หรงจิ่นกล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่แสดงถึงความรู้สึกลึกซึ้งราวกับว่ารักกันลึกซึ้งจริงๆ

แต่มู่ชิงอีเห็นเพียงดวงตาที่สงบนิ่งอย่างไม่ผันแปรของเขา แม้คำพูดจะลึกซึ้งและสวยงาม แต่รอยยิ้มก็ไม่สามารถปกปิดความเย็นเยียบในดวงตาของเขาได้ หากเป็นกู้อวิ๋นเกอที่อายุเพียงสิบห้าปีก่อนหน้านี้ อาจจะสนใจและใคร่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบใดกันแน่ แต่ว่ายามนี้มู่ชิงอีไม่มีความปรารถนาที่จะสนใจในเรื่องนี้แล้ว

องค์ชายเก้ากล่าวอะไรเช่นนั้น หากพูดถึงเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้าผู้ใดจะทัดเทียมองค์ชายเก้าได้เล่าเพคะ ผู้ที่สามารถเล่นละครได้ดีกว่า เลวร้ายกว่าและโหดเหี้ยมไร้ความรู้สึกกว่า เกรงว่าจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้าจริงๆ

องค์ชายเก้ามองไปยังมู่ชิงอีอย่างช่วยไม่ได้ มักจะถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ มันทำให้รู้สึกพ่ายแพ้จริงๆ แต่การมองอย่างทะลุปรุโปร่งของชิงชิงกลับทำให้เขาอยากที่จะใกล้ชิดกับนางมากยิ่งขึ้น

ถ้าหากโลกของข้าถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว เย็นเยือกและมืดมน เหตุใดไม่ลากคนที่เหมือนกันกับข้ามาร่วมแบ่งปันความเหงานี้เล่า

ได้ยินมาว่ากงอ๋องเข้าวังขัดพระราชโองการฮ่องเต้เพื่อพระชายากง ความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนี้…ชิงชิงมีความคิดเห็นอย่างไร องค์ชายเก้าวางถ้วยชาลงและเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ความรู้สึกลึกซึ้ง? มู่ชิงอีตกตะลึงเล็กน้อย มู่หรงอวี้นั้นห่างไกลคำว่าความรู้สึกลึกซึ้งยิ่งนัก องค์ชายเก้าคิดว่าอย่างไรเล่าเพคะ

หรงจิ่นไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ก็หัวเราะเยาะขึ้นมาเบาๆ กงอ๋อง…ไม่แน่ว่าวันหนึ่งจะอดทนได้จริงๆ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ลำบากยากเข็ญมาก่อน จึงจะสบายกว่าผู้อื่นในภายหลัง’ กงอ๋องเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่ยืนหยัดอย่างยิ่ง คำที่กล่าวออกมาคือคำพูดชื่นชมแต่น้ำเสียงกลับเป็นการเย้ยหยันเสียมากกว่า

การสนับสนุนของจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องมีความสำคัญมาก ท่านแม่ทัพผู้ปกป้องแคว้นสนับสนุนองค์ชายเจ็ด ส่วนอานซีจวิ้นอ๋องเห็นได้ชัดว่ามีสัมพันธ์ที่ดีกับจื้ออ๋อง หากมู่หรงอวี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากจวนผิงหนานจวิ้นอ๋องและจวนซู่เฉิงโหวเขาคงจะไม่สามารถตีเสมอต่อสู้กับองค์ชายเจ็ดและจื้ออ๋องได้ในอนาคต มู่ชิงอีกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ จูเปี้ยนจะไม่ถวายชีวิตรับใช้มู่หรงอวี้เชียวหรือ

หรงจิ่นมองไปยังใบหน้าที่สงบเงียบของมู่ชิงอีพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดของชิงชิงมีเหตุผล แต่…ข้าก็คิดไม่ถึงว่าชิงชิงไม่เพียงแต่จะเก่งกาจในการวางแผนเท่านั้นแต่ยังสามารถมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกด้วย

มู่ชิงอีชะงักงันไปครู่หนึ่ง นางช้อนตามองไปยังหรงจิ่นแล้วกล่าวว่า ชิงอีก็คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเก้าที่มีฐานะเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์จะสนใจการต่อสู้ภายในแคว้นหวาเช่นนี้

ภายในห้องหนังสือพลันเงียบลง หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน หรงจิ่นก็ลูบคลำจมูกของตนและเอ่ยอย่างยิ้มๆ ที่ข้าทำไปก็ไม่ใช่เพื่อชิงชิงหรอกหรือ การกระทำที่ชิงชิงทำอยู่ตอนนี้ทำให้ข้าร้อนใจไม่น้อย ดังนั้นจึงต้องศึกษาเพิ่มเติมเอาไว้บ้างเผื่อฉุกเฉิน

สิ่งที่หรงจิ่นพูดไปนั้นไม่ใช่ความจริงแต่มู่ชิงอีก็ไม่คิดสนใจ

สำหรับคำพูดของหรงจิ่นนางไม่เชื่อ คนอย่างหรงจิ่นหากต้องการหลอกลวงผู้อื่นแล้วล่ะก็เกรงว่าจะไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถป้องกันเขาได้ ดังนั้นคาดเดาไปก็เปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ปริศนาบางอย่างแก้ได้ด้วยตัวเองยังจะน่าสนใจกว่า

เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนี้กับมู่ชิงอีเขาจึงเปลี่ยนเรื่องอย่างใจเย็น จะว่าไปแล้ว ชิงชิงก็ทำให้ข้าตกใจอยู่ทีเดียว อยู่ๆ ก็มีข่าวว่าชิงชิงเสียโฉมแพร่กระจายออกมา ถ้าหากรูปโฉมของชิงชิงถูกทำลายไป โลกนี้จะไม่เกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่หรอกหรือ

มู่ชิงอีมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น เอ่ยขึ้น ไม่เท่ากับที่องค์ชายเก้าทำให้หม่อมฉันตกใจกระมัง

หรงจิ่นนึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่ามู่ชิงอีหมายถึงเรื่องอันใด ทันใดนั้นใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เหยเกเอ่ยขึ้นว่า เรื่องนั้นก็…ชิงชิงยังไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ มันจะไม่ทำให้เจ้ามีปัญหาอย่างแน่นอน ข้ารับประกันเลยว่ามู่หรงอานจะไม่มีโอกาสได้เปิดปากพูดอีก

มู่ชิงอีพยักหน้าและแสร้งยิ้ม ต้องขอบพระทัยองค์ชายมากเพคะ ชิงอียังคิดไม่ถึงอีกว่า องค์ชายไม่ได้พุ่งตัวไปจวนหนิงอ๋องเพื่อช่วยเหลือ แต่ต้องการพุ่งตัวไปยังจวนหนิงอ๋องเพื่อเข่นฆ่า หรงจิ่นกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา ชิงชิงโกรธจริงๆ อย่างนั้นหรือ ข้าสามารถอธิบายได้นะ ชิงชิงไม่อยากฟังสักหน่อยหรือ ที่ข้าทำไปเพราะหวังดีกับพี่ใหญ่

มู่ชิงอีรู้สึกว่าตนนั้นเคยชินกับมันแล้ว และการพูดคุยกับหรงจิ่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ขมับของนางจะมีเส้นโลหิตสีดำผุดขึ้นมาบางครั้งบางคราว

องค์ชายเก้าผู้นี้จะคุ้นเคยกันเร็วเกินไปหรือไม่ ตั้งแต่พบหน้ากันก็เอาแต่เรียกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่เสียแล้ว แค่เพียงอาทิตย์เดียวก็กลายเป็นพี่ใหญ่ของเขาได้แล้วอย่างนั้นหรือ

พี่ใหญ่ขององค์ชายเก้าน่าจะอยู่ที่แคว้นเย่ว์นะเพคะ มู่ชิงอีกัดฟันเอ่ยว่า เรียกพี่ใหญ่ของหม่อมฉันเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน

หรงจิ่นถอนหายใจอย่างยอมแพ้พลางมองไปที่มู่ชิงอีแล้วกล่าวว่า เรื่องของคุณชายซิ่วถิง ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว

ตอนต่อไป