เฉินลั่วหมุนกาย นั่งลงบนขอบบ่อน้ำ ไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่

หวังซีลอบถอนหายใจ ได้แต่กล่าวปลอบโยนเขาว่า “เรื่องราวยังดำเนินไปไม่ถึงขั้นนั้นมิใช่หรือ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดเดาของพวกเราทั้งสิ้น ผู้อื่นข้าไม่กล้าพูด แต่ข้าได้ยินเจ้าพูดถึงจวนชิ่งอวิ๋นโหวแล้ว รู้สึกว่าพวกเขาเก่งกาจมาก พวกเขาเองก็ไม่น่าจะกินหญ้าหรอกกระมัง เจ้าสังเกตเห็น ไม่แน่ว่าพวกเขาเองก็อาจจะระแวดระวังอยู่ก็เป็นได้ อีกอย่าง…”

ฟ้าถล่มลงมาก็มีคนข้างบนคอยค้ำอยู่

ประโยคนี้คอยท่าอยู่ที่ริมฝีปากแล้ว แต่นางฝืนกลืนมันลงไป

ผู้อื่นฟ้าถล่มลงมาแล้วล้วนมีผู้อาวุโสคอยรับมืออยู่ข้างหน้า ประสบการณ์และความจัดเจนในชีวิตของผู้ใหญ่ไม่เพียงช่วยชี้แนะคนรุ่นเด็กว่าควรเผชิญหน้ากับวิกฤติอย่างไรและทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้เท่านั้น ยังช่วยแบ่งเบาความกังวลของคนรุ่นเด็กได้ด้วย แต่เฉินลั่วไม่เหมือนกัน

เขามีบิดาผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้เขาเสียหน้าไร้เกียรติ

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชี้แนะจากประสบการณ์ชีวิตของเขา แค่ไม่ยืนหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ ไม่ขุดหลุมฝังอย่างอำมหิตก็ดีแค่ไหนแล้ว

เป็นลูก…ที่หวังพึ่งใครไม่ได้ผู้หนึ่ง!

หวังซีคิดๆ แล้วรู้สึกเห็นใจและสงสารเฉินลั่วเล็กน้อย

ก็ไม่แปลกที่เขาจะเป็นคนไร้ชีวิตชีวา

นางครุ่นคิด เสนอความคิดให้เขาด้วยรู้สึกขุ่นเคืองในความอยุติธรรมเล็กน้อยว่า “หากไม่ได้การจริงๆ เจ้าแอบเอาเรื่องที่เจ้าสืบทราบมาไปบอกพวกองค์ชายทั้งหมด ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนฉลาดเลยแม้แต่คนเดียว ถึงเวลาทุกคนผสานกลายเป็นเชือกเส้นเดียวกัน ฮ่องเต้อยากให้เรื่องสำเร็จ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”

เหตุใดเฉินลั่วจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น องค์ชายเจ็ดคงมีชีวิตที่ไม่เป็นสุขนัก เขาจึงลังเลเล็กน้อย

หวังซียิ้มขื่น กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำได้แค่คิดหาวิธีอื่นแล้ว”

แต่นอกเหนือจากวิธีนี้ หากเป็นวิธีอื่นเฉินลั่วก็ต้องออกหน้าไปจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ด้วยตัวเองทั้งหมด ถ้าหากฮ่องเต้หวาดระแวง หรือต่อไปองค์ชายเจ็ดได้ขึ้นสู่ตำแหน่งจริงๆ ชีวิตของเฉินลั่วต้องลำบากแน่ๆ

นี่ช่างเหมือนกับก้อนเต้าหู้ที่ตกลงไปในขี้เถ้า ตีแรงไม่ได้ ตีเบาก็ไม่ได้

แต่ด้วยนิสัยของหวังซีแล้ว ในเมื่อตอนนี้คิดไม่ออกก็ไม่ต้องฝืนคิด ผลของการฝืนคิดนั้นรังแต่จะทำให้คนยิ่งหมกมุ่นไร้ทางออกเท่านั้น

นางโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป พูดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา “เจ้ามาครั้งนี้ ต้องการพักอยู่ที่วัดสักสองสามวันหรือไม่ ข้าเพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วตรงตีนเขายังมีเรือนรับรองอื่นสำหรับรับรองแขกบุรุษโดยเฉพาะด้วย หลิวจ้งผู้นั้นก็พักอยู่ที่นั่น เจ้าเองก็มาอยู่สักสองสามวันก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไร คิดเสียว่ามาปลดปล่อยความเครียด ไม่แน่ว่าเมื่อกลับจิงเฉิงไปแล้ว อาจคิดอะไรใหม่ๆ ได้ก็เป็นได้ เจ้าเองก็อย่าเอาแต่ทำให้ตัวเองต้องลำบาก ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน อาจทำให้ยิ่งคิดอะไรไม่ออก”

เฉินลั่วพยักหน้า รู้ว่าที่หวังซีกล่าวมาค่อนข้างมีเหตุผล แต่ยังคงรู้สึกหัวเสียมากอยู่ดี

เขาจึงพูดถึงเรื่องของวัดต้าเจวี๋ยขึ้นมา “พวกเขาอยากเก็บเฉาอวิ๋นไว้ ข้าจึงอยากถามความเห็นเจ้าสักหน่อย?”

หวังซีตะลึงงัน

มิใช่ว่าควรถามความเห็นของท่านหมอเฝิงหรอกหรือ

เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัวของนาง นางถึงตระหนักได้ว่า นี่เฉินลั่วกำลังซื้อใจนางด้วยการเสนอความอนุเคราะห์ให้อยู่นี่นา!

หวังซีคิดว่าตัวเองไม่เพียงต้องทำธุระให้เฉินลั่วเท่านั้น ยังต้องปลอบใจเฉินลั่ว ในหนึ่งคนต้องทำงานของพ่อบ้าน บ่าวชาย และพวกสาวใช้ข้างกายทั้งหมด ทั้งหมดนี้ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับความอนุเคราะห์ของเขาแล้ว จึงไม่ปฏิเสธ แต่ถามเขาแทนว่า “เจ้าคิดว่าควรจัดการอย่างไรดี”

ตั้งแต่เด็กนางมีบิดามารดารักใคร่ มีพี่ชายปกป้อง การเกลียดใครสักคน อย่างมากก็แค่หัวเราะเยาะคนผู้นั้นต่อหน้าสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ทำให้เรื่องของเขาเสียหาย ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ร่ำรวยอีกเลยนับแต่นี้เป็นต้นไปก็เท่านั้น คนอำมหิตชั่วช้าอย่างเฉาอวิ๋นนี้ ไม่ได้มีความขุ่นแค้นโดยตรงกับนาง นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจัดการอย่างไรดี

เฉินลั่วกลับพึมพำกล่าวว่า “มนุษย์ขณะมีชีวิตไม่พ้นชื่อเสียงกับความมั่งคั่งสองคำนี้ จากที่เฉาอวิ๋นผู้นั้นมาพึ่งพาวัดต้าเจวี๋ย ยังครองสมณะของเขาอย่างซื่อสัตย์มานานหลายปีขนาดนี้ได้ เกรงว่าความมั่งคั่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดใจเขา เช่นนั้นสิ่งที่เขาแสวงหาคงมีแค่ชื่อเสียงแล้ว…

…มิใช่ว่าเขาสังหารอาจารย์ฆ่าคนมาหรอกหรือ ข้าว่าก็ลงมือจากเรื่องนี้ก็แล้วกัน อันดับแรกให้เขาสูญเสียเกียรติและชื่อเสียงในจิงเฉิงก่อน แล้วค่อยส่งเขากลับสู่จงไปทวงคืนความยุติธรรม ให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาทำอะไรไว้บ้าง เพื่อคนที่เสียชีวิตในปีนั้นจะได้นอนตายตาหลับ เจ้าคิดว่าอย่างไร”

หวังซีตบมือ รู้สึกว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

นางมองเฉินลั่วด้วยสายตาจริงใจจนดูจริงจังไปเล็กน้อย อดหัวเราะอย่างขัดเขินไม่ได้

สุดท้ายแล้วเฉาอวิ๋นก็เป็นพระของวัดต้าเจวี๋ย หลายปีมานี้ยังนำชื่อเสียงและเงินทองมาให้วัดต้าเจวี๋ยไม่น้อย การทำให้เขาเสียชื่อเสียง วัดต้าเจวี๋ยย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย แปดถึงเก้าในสิบส่วนวัดต้าเจวี๋ยไม่น่าจะตอบตกลง ส่วนคดีสังหารคนในปีนั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่แน่ว่าจะจำได้ นอกจากนี้คนรุ่นเก่าส่วนมากก็ไม่อยู่แล้ว การให้ทางการรื้อเรื่องนี้มาจัดการใหม่ คงต้องใช้เรี่ยวแรงไม่น้อยเลยทีเดียว

เฉินลั่วทำเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเห็นแก่หน้านางทั้งสิ้น

ไม่รู้ว่านางจะตอบแทนความกรุณาของเฉินลั่วในครั้งนี้ไหวหรือไม่

หวังซีลอบถอนหายใจ รู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านหมอเฝิงสักคำดีกว่า

นางกับเฉินลั่วคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันหลายประโยค สีหน้าดูสบายๆ และสงบ เฉินลั่วมองแล้วหัวใจที่กระสับกระส่ายก็ค่อยๆ เต้นช้าลง ทำให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นสงบตามลงมาด้วย

อย่างที่หวังซีกล่าวเอาไว้จริงๆ ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดความเป็นความตาย เขาไม่ควรตื่นตระหนก เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ผู้อื่นก็ต้องสัมผัสได้ว่ามันไม่ถูกต้องเช่นกัน

หาไม่แล้ว ปั๋วหมิงเย่ว์คงไม่จับเรื่องธูปหอมของพระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย

นอกจากนี้ด้วยนิสัยของปั๋วหมิงเย่ว์ หากเป็นเรื่องที่เขาแก้ไขเองไม่ได้ ย่อมไปบอกผู้อาวุโสในบ้านให้รับรู้

สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้คือต้องยืนยันให้ได้ว่าปั๋วหมิงเย่ว์รู้เรื่องท่าเรือที่ค่ายเทียนจินหรือไม่

บางที… เขาควรเผยเรื่องนี้ให้ปั๋วหมิงเย่ว์รู้สักหน่อย?

เฉินลั่วกอดหน้าอก ครุ่นคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

สาวใช้เด็กอาหนานชะโงกศีรษะเข้าๆ ออกๆ อยู่หน้าประตูเรือนครัว

หวังซีเห็นแล้วรู้สึกขัน หันไปกล่าวกับนางว่า “มีเรื่องอะไรจะพูดก็พูด หากไม่พูดก็ไปทำธุระของเจ้าเสีย”

อาหนานมองเฉินลั่วอย่างเกรงขามครั้งหนึ่ง ถึงได้เดินเข้ามาอย่างขัดเขิน ยอบกายทำความเคารพหวังซีพลางกล่าว “คุณหนู คุณหนูสี่สกุลฉังให้ข้ามาแจ้งท่านสักคำหนึ่ง บอกว่าคุณชายหลิวจะกลับแล้ว ท่านมีอะไรต้องการสอบถามอีกหรือไม่”

หลิวจ้งหรือ นางกับเฉินลั่วคุยกันจนลืมคนผู้นี้ไปเสียสนิท

หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว พวกเจ้าปรนนิบัติคุณหนูสี่ไปส่งแขกก็พอ”

รางวัลหรือขนมและผลไม้ต่างๆ ที่ควรให้ก็มอบให้สักเล็กน้อยก็พอ

อาหนานขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วรีบก้าวออกจากลานบ้านไป

เฉินลั่วถึงได้รู้สึกตัวว่าตนอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว เขากล่าว “เช่นนั้นข้าเองก็ขอตัวก่อน ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ไม่ค้างที่วัดอวิ๋นจวีแล้ว หากเจ้ามีเรื่องอะไร เพียงให้คนไปแจ้งข้าสักคำหนึ่ง ด้านหลิวจ้ง ก็ไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง หลิวซื่อหลางของกรมคลังเป็นคนฉลาด เขาไม่มีทางออกหน้าแทนหลิวจ้ง สหายเก่าแก่ของตระกูลหลิวที่พอมีอำนาจในราชสำนักเหล่านั้น หากไม่เกษียณจากงานเดินทางกลับบ้านเดิม ก็ตัดการติดต่อไปหมด หรือไม่ก็ตกต่ำช่วยเหลืออะไรไม่ได้แล้ว”

เป็นน้ำเสียงที่บอกว่า ‘หากเจ้ารังแกหลิวจ้งก็ไม่จำเป็นต้องกังวล’

หวังซีหัวเราะ คิก

คิ้วตาเต็มไปด้วยความปีติยินดี รอยยิ้มดูงดงามมากเป็นพิเศษ เหมือนเมฆสีชมพูบนขอบฟ้า แฝงเสน่ห์และชีวิตชีวาที่พวกเด็กสาวมีกันมากเอาไว้หลายส่วน ทำให้เฉินลั่วรู้สึกตรงหน้าเขาสว่างไสวขึ้นมา

เขามองนาง ในหัวสับสนวุ่นวาย ถึงกับไม่รู้ว่าควรทำอะไรไปชั่วขณะ

เพียงแต่ว่าเขาเข้าออกวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก ความระแวดระวังตัวมาตลอดหลายปีทำให้เขาชาชินและรู้ว่าเมื่อไรแสดงความรู้สึกตรงไปตรงมาได้ เมื่อไรควรปกปิดเอาไว้ให้มิด ยากที่หวังซีจะอ่านความนึกคิดที่แท้จริงของเขาออกจากสีหน้าเรียบเฉยของเขาได้ นางจึงตีความสีหน้าเรียบเฉยของเขาที่ไม่รู้ทำอะไรดีเป็นความไม่แยแส จึงรีบเก็บรอยยิ้ม กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว! ขอบคุณใต้เท้าเฉินมาก! หากมีเรื่องอะไร ข้าย่อมขอให้ท่านช่วยอย่างแน่นอน”

เฉินลั่วได้สติกลับมา ประสานมือคำนับนางเป็นการบอกลา ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ในใจคิดว่า แม้นเมื่อก่อนจะรู้สึกว่าคุณหนูหวังงดงาม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่างดงามมากเท่าวันนี้ หรือเป็นเพราะคุณหนูหวังอายุยังน้อย ยังเติบโตได้อีกเรื่อยๆ?

เขาพกเอาความรู้สึกฉงนสงสัยกลับลงเขาไปด้วย เมื่อกลับไปแล้วก็หาวิธีแพร่งพรายเรื่องที่ค่ายเทียนจินให้ปั๋วหมิงเย่ว์รู้

หากปั๋วหมิงเย่ว์เป็นเพียงบุตรหลานตระกูลชั้นสูงที่รู้จักแต่เที่ยวเล่นล่ะก็ จะเป็นที่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่าและชิ่งอวิ๋นโหวได้อย่างไร เขามีความสามารถประเภทหนึ่งที่รู้จักวิ่งเข้าหาประโยชน์หลีกลี้ภัยอันตรายมาโดยกำเนิด รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเวลาไหนบิดาของเขาโมโหจริง และเวลาไหนเพียงแค่อยากสั่งสอนเขาเท่านั้น

ธูปหอมที่พระตำหนักเฉียนชิงดอกนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้มีอาการใจสั่น ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท เขาจึงรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ดูผิดปกติยิ่งนัก

จนกระทั่งเขารู้ว่าเงินของท่าเรือที่ค่ายเทียนจินไปไหน ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ก็มาถึงจุดสูงสุด

เขาไปพบชิ่งอวิ๋นโหวโดยไม่ต้องคิดให้มากความ

ชิ่งอวิ๋นโหวมีบิดาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ตั้งแต่เด็กยามอยู่ต่อหน้าบิดาเขามักตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะได้รับผลกระทบเช่นนี้มา เขาจึงใจดีกับบุตรของตัวเองมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรชายที่ไม่ต้องสืบทอดหน้าที่ของตระกูลอย่างปั๋วหมิงเย่ว์

ได้ยินคำของปั๋วหมิงเย่ว์แล้ว สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

ตระกูลปั๋วรุ่งเรืองมาหลายต่อหลายรุ่น แต่ใต้แผ่นฟ้านี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็หนีความจริงหนึ่งไม่พ้น ก็เหมือนพระจันทร์เต็มดวงที่มีช่วงเวลาไม่เต็มดวง เมื่อแหว่งหายไปแล้วก็มีช่วงเวลากลับมาเต็มดวงอีกครั้ง ตระกูลปั๋วไม่อาจยืนอยู่บนยอดได้ตลอดไป แต่การตกลงไปก็มีหลากหลายรูปแบบ อาจเหมือนการถอยร่น ถอยลงไปช้าๆ ไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่บ้างก็เหมือนการตกหน้าผา ที่ตกลงไปทันทีอย่างกะทันหัน

สิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดหลายปีก็คือหวังว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวในมือของเขานั้น หากยืนอยู่บนยอดสูงไม่ได้ ก็อย่าตกต่ำลงมาอย่างกะทันหันเหมือนตกหน้าผาเลย

หาไม่คนในครอบครัวของเขาทั้งตระกูลนี้ ที่เหลือรอดชีวิตไปได้คงมีไม่กี่คนแล้ว

เขาตบไหล่ของบุตรชายคนเล็กเบาๆ กล่าวชมเขาอย่างเต็มที่ว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าเจ้าพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่ข้าว่าเจ้าฉลาดและมีความสามารถกว่าพี่ชายหลายๆ คนของเจ้าเสียอีก ทุกคนคิดว่าที่ฮ่องเต้ไม่แต่งตั้งรัชทายาท เป็นเพราะคิดจะเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรอง แม้แต่พ่อเอง หลายปีก่อนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่มีเพียงเจ้าที่ดูออกว่าฮ่องเต้ไม่ได้โปรดปรานตระกูลของพวกเรา ปีนั้นที่เขาแต่งงานกับป้าของเจ้า ก็เพราะต้องการใช้อำนาจของตระกูลปั๋วเพียงเท่านั้น ฮ่องเต้ต้มกบให้ตายด้วยน้ำอุ่นอย่างช้าๆ แม้แต่พ่อก็ขาดความระแวดระวังไป มีเพียงเจ้าที่ยังรักษาจิตใจและอารมณ์ที่มั่นคงไว้ได้ พ่อและพวกพี่ชายของเจ้าล้วนสู้เจ้าไม่ได้”

พูดจนปั๋วหมิงเย่ว์หน้าแดงหูแดงไปหมด ทว่าในอกกลับเหมือนเรือที่แล่นออกไปไกล หัวใจพองโต

“เจ้าอายุยังน้อย” ชิ่งอวิ๋นโหวมอบพุทราหวานให้บุตรชายแล้ว ถัดจากนั้นก็เริ่มปลอบโยนบุตรชาย “สุดท้ายแล้วบางเรื่องเจ้าก็ยังไม่มีประสบการณ์เท่าพวกพี่ชายของเจ้า เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ ข้าจะส่งคนอื่นไปสืบให้ละเอียดเอง เจ้าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากทำให้ฮ่องเต้ระแวดระวังตระกูลของพวกเราขึ้นมาคงยุ่งยากเป็นแน่”

บิดาไม่มอบหมายเรื่องนี้ให้เขา ปั๋วหมิงเย่ว์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างจริงๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าที่บิดาพูดมามีเหตุผล อย่างไรก็ตามเขายังคงพยายามลองพูดดูอีกครั้ง “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าทำอะไรได้บ้าง ท่านเพียงสั่งการมาก็พอ”

ชิ่งอวิ๋นโหวหัวเราะเบาๆ นัยน์ตามีแววเย็นชา ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เจ้าหาวิธีเอาเรื่องนี้ไปบอกเฉินลั่วก็แล้วกัน! ช่วงก่อนฮ่องเต้ให้เขาไปสอบถามผู้บังคับบัญชากองพลค่ายเทียนจิน ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องนี้หรือไม่”

…………………………………………………………………..

ตอนต่อไป