ตอนที่ 142 ลองดู

ตอนที่ 142 ลองดู

เมื่อเห็นลูกสาวร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ เสิ่นเจิ้นอวี่กับถงทิงผิงก็รู้สึกราวกับใจสลาย

ส่วนเสิ่นหรูฮุ่ยถามด้วยเสียงคำรามต่ำ “ไอ้เดรัจฉานเจิ้งเต๋อข่ายนั่นมันอยู่ไหน ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?”

เมื่อเห็นทั้งครอบครัวดูเป็นเดือดเป็นร้อน เสิ่นหรูฮวนจึงรับเช็ดน้ำตาแล้วบอกกล่าว “พ่อแม่ หนูไม่เป็นไร ตอนนี้เจิ้งเต๋อข่ายอยู่ในห้อง ซวี่ตงกำลังเฝ้ามันอยู่”

“ไป พวกเราไปดูไอ้เดรัจฉานเจิ้งเต๋อข่ายกันเถอะ”

เสิ่นหรูฮวนเป็นคนเดินพาไป ขณะสีหน้าของคนตระกูลเสิ่นล้วนดูดุร้าย

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่คอยเดินตามหลังไป เมื่อทั้งสองเห็นว่าคนตระกูลเสิ่นมา จึงไม่คิดจะกลับกันแล้ว

หลังจากที่หลายคนผ่านเข้าประตูไป ฟู่ซวี่ตงก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เมื่อเขาเห็นเสิ่นเจิ้นอวี่กับคนอื่น ๆ มา จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวทักทาย “คุณลุง คุณป้า พวกคุณมาแล้วหรือครับ”

คนตระกูลเสิ่นทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ทราบด้วยว่าฟู่ซวี่ตงเป็นคนช่วยเสิ่นหรูฮวน ดังนั้นเมื่อทุกคนพบฟู่ซวี่ตง สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสำนึกบุญคุณ “ซวี่ตง เรื่องครั้งนี้ต้องขอบใจเธอมากเลยนะ”

ฟู่ซวี่ตงได้ยินสิ่งนี้ จึงรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “คุณลุงคุณป้าครับ พวกผมกับเสิ่นหรูฮวนเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วครับ”

ถึงแม้จะเป็นใครก็ตาม หากเจอเขาก็จะช่วยคนนั้นเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่เป็นเสิ่นหรูฮวนเลย

“ดีๆๆ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตหรูฮวน ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะ เอาไว้เธอได้พักแล้วกลับไปปักกิ่งเมื่อไหร่ พวกเราไปกินอาหารดี ๆ กันสักมื้อเถอะ”

ฟู่ซวี่ตงได้ยินสิ่งนี้ เขาจึงยิ้มแล้วตอบตกลง

หลังจากที่ตระกูลเสิ่นทักทายฟู่ซวี่ตงแล้ว ก็หันไปเห็นเจิ้งเต๋อข่ายที่อยู่ตรงมุมห้อง

เจิ้งเต๋อข่ายไม่คาดคิดว่าตระกูลเสิ่นจะมาถึงเร็วขนาดนี้

เขาเห็นเสิ่นเจิ้นอวี่จ้องมองมาที่ตัวเองประหนึ่งจะเขมือบร่างเขาไปทั้งร่าง จึงเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันที

ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเรื่องนี้เอาไว้และเพียงคิดว่ามันจะสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ตอนนี้เขาโดนคนพวกนี้จับตัวไว้แล้ว จึงทราบดีว่าสิ่งที่กำลังรอเขาอยู่คืออะไร แต่ก็ไม่สามารถย้อนกลับการกระทำของตัวเองได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเกือบจะได้เป็นลูกเขยของตระกูลเสิ่นแล้ว แต่เรื่องกลับเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้

เสิ่นเจิ้นอวี่จ้องมองเจิ้งเต๋อข่ายที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ตัวเองเคยตัดสินใจก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขากล้าคิดได้อย่างไรว่าเจิ้งเต๋อข่ายเป็นคนดี เขาเกือบจะทำลายชีวิตของลูกสาวไปแล้ว

“เจิ้งเต๋อข่าย แกนี่สุดยอดไปเลยนะ ตามหรูฮวนมาได้ถึงที่นี่ ในเมื่อแกกล้าที่จะทำแบบนั้น ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับความผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป”

ในตอนนี้ เสิ่นหรูฮวนอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ดังนั้นหล่อนจึงหันไปพูดกับบิดาตามตรง “พ่อ เจิ้งเต๋อข่ายแอบตามหนูมาที่นี่ หนูไม่คิดว่าเรื่องนี่ตระกูลเจิ้งจะไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย เพราะฉะนั้นเหมารวมได้ว่าตระกูลเจิ้งไม่มีผู้บริสุทธิ์ หนูอยากให้ตระกูลเจิ้งชดใช้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

หลังจากพูดจบ แววตาของเสิ่นหรูฮวนก็เต็มไปด้วยความเย็นชา

หลังจากเกิดเรื่องในครั้งนี้ หัวใจของหล่อนก็เย็นชาและแข็งกระด้างขึ้น หล่อนไม่ใช่เสิ่นหรูฮวนผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนต่อโลกอีกต่อไปแล้ว

เสิ่นเจิ้นอวี่ได้ฟังเช่นนี้ จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “หรูฮวน ลูกวางใจเถอะ พ่อจะไม่ปล่อยไอ้เจิ้งเต๋อข่ายนี่ไปแน่ ตระกูลเจิ้งเองก็ด้วย”

ตอนแรกเจิ้งเต๋อข่ายที่โดนรวบตัวอยู่ตรงมุมห้องไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างเสิ่นหรูฮวนกับเสิ่นเจิ้นอวี่สองพ่อลูกแล้ว ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก “ที่ผมทำไปไม่ได้เกี่ยวอะไรกับครอบครัวผมเลย ถ้าพวกคุณอยากเอาเรื่องก็มาลงที่ผม อย่าดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย”

ได้ยินดังนั้น เสิ่นเจิ้นอวี่ก็แค่นหัวเราะ

“เจิ้งเต๋อข่าย แกพูดตอนนี้มันก็สายไปแล้วล่ะ ระหว่างที่แกคิดทำร้ายหรูฮวน ก็ควรคิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วยสิ”

“ไม่…พวกคุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

สีหน้าของเจิ้งเต๋อข่ายเต็มไปด้วยโทสะ เพียงแต่ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน

ตอนนั้นเอง เสิ่นเจิ้นอวี่ก็หันไปพูดกับฟู่ซวี่ตงและเซี่ยเจ๋อหลี่ “ซวี่ตง เสี่ยวหลี่ ตอนเที่ยงพวกเรามากินข้าวด้วยกันเถอะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่กับฟู่ซวี่ตงก็ไม่ปฏิเสธ

“ตกลงครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเจอกันที่โรงแรมรัฐตอนเที่ยง แต่ครั้งนี้ผมกับฟู่ซวี่ตงจะเป้นเจ้าภาพเลี้ยงเองนะครับ”

เสิ่นเจิ้นอวี่ต้องการจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขัดขึ้นก่อน “ลุงเสิ่นครับ ถ้าอย่างนั้นเราตกลงกันตามนี้นะครับ แต่พวกลุงเพิ่งมาถึง อยากพักผ่อนก่อนไหมครับ”

พูดจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เดินลงไปถามข้างล่างว่ามีห้องพักเหลืออยู่ไหม

โชคดีที่หอพักค่อนข้างใหญ่ เซี่ยเจ๋อหลี่จึงสามารถเปิดห้องอีกสองห้องได้

หลังจากที่ตระกูลเสิ่นเข้ามาในห้องแล้ว ถงทิงผิงก็คว้าตัวลูกสาวเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หรูฮวน ลูกเล่าเรื่องนั้นให้ฟังอย่างละเอียดได้ไหม”

เสิ่นหรูฮวนไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงอธิบายเรื่องราวโดยละเอียด หลังจากนั้นก็เอ่ยปิดท้าย “ครั้งนี้หนูอยากขอบคุณซวี่ตงมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา หนูคงจะต้อง…”

เมื่อเอ่ยจนถึงท้ายประโยค เสิ่นหรูฮวนก็พูดไม่ออก แต่ทุกคนกลับเข้าใจได้

ถงทิงผิงได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หล่อนกังวลว่าลูกสาวจะนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาอีก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที แล้วพูดขึ้น “หรูฮวน แม่เห็นว่าลูกกับซวี่ตงดูเหมือนจะมีชะตาร่วมกันนะ ครั้งก่อนเขากับอาหลี่ก็ช่วยพวกลูกเอาไว้ ครั้งนี้ก็ได้เขาช่วยไว้อีก”

หลังจากพูดจบ ถงทิงผิงก็อดที่จะเอ่ยถามเสียไม่ได้ “หรูฮวน ซวี่ตงเขามีคู่หมั้นหรือยัง?”

เสิ่นหรูฮวนส่ายหัวแล้วรีบเอ่ย “ยังเลยค่ะ ซวี่ตงไม่อยากไปดูตัว ก็เลยยังไม่มีคู่หมั้นเลย”

“ถ้ายังไม่มีก็ดี”

ถงทิงผิงเอ่ยพร้อมทั้งยกยิ้มขึ้นทันที หลังจากนั้นก็หันมองเสิ่นหรูฮวนด้วยแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะพูดขึ้น “หรูฮวน พวกลูกสองคนอยากลองดูตัวกันหน่อยไหม ถึงยังไงพวกลูกก็ยังหนุ่มยังสาวไม่ได้แต่งงานกันทั้งคู่ แล้วก็ต้องหาคู่ครองพอดี ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ย เสิ่นหรูฮวนก็ชะงักไปทันที ด้วยไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น หล่อนจึงทำได้เพียงหน้าแดงด้วยความเขินอายนิดหน่อย

ทว่าเสิ่นหรูฮุ่ยกลับคิดมากนิดหน่อย

“แม่ ฐานะตระกูลฟู่ดีกว่าของพวกเราเยอะเลยนะ แบบนี้พวกเขาจะยอมรับเรื่องฟู่ซวี่ตงกับน้องสาวเหรอ”

ถงทิงผิงรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนี้ “เสิ่นหรูฮุ่ย ลูกหมายความยังไง จะบอกว่าน้องสาวลูกไม่เหมาะกับฟู่ซวี่ตงอย่างนั้นเหรอ?”

“แม่ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”

เสิ่นเจิ้นอวี่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก ตระกูลฟู่บังคับฟู่ซวี่ตงไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางมาทำงานที่นี่แน่”

เมื่อได้ยินสิ่งที่สามีเอ่ย ถงทิงผิงก็อดที่จะพยักหน้าเสียไม่ได้ พลางเอ่ย “ใช่แล้ว ถ้าฟู่ซวี่ตงต้องการด้วยตัวเอง ใครก็คัดค้านเขาไม่ได้หรอก”

ขณะที่พูดคุยกัน ถงทิงผิงก็หันไปถามลูกสาว “ถ้าฟู่ซวี่ตงอยากแต่งกับลูก ลูกคิดว่ายังไง?”

“หนู…หนู…”

เสิ่นหรูฮวนลังเลจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็เอ่ยพร้อมทั้งใบหน้าแดงก่ำ “ถ้าฟู่ซวี่ตงไม่คัดค้านอะไร หนูก็…ไม่คัดค้านเหมือนกันค่ะ”

เมื่อเห็นลูกสาวพูดแบบนี้ ถงทิงผิงก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าลูกสาวปฏิบัติต่อฟู่ซวี่ตงแตกต่างออกไป

“เอาเถอะ รอแม่หาจังหวะ แล้วเดี๋ยวจะให้เสี่ยวเซี่ยลองถามซวี่ตงสักหน่อย”

สีหน้าของเสิ่นหรฮวนแดงก่ำ แต่ยังคงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ค่ะ”

ในตอนเย็น เมื่อพวกเขามากินอาหารเย็นร่วมกัน ถงทิงผิงก็สบโอกาส

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตระกูลเจิ้งเตรียมซวยเพราะลูกได้เลย

พ่อแม่ไฟเขียวแล้ว เหลือแต่รอตกลงกันเท่านั้นแล้วแหละ

ไหหม่า(海馬)