ตอนที่ 137 คู่สวรรค์สร้าง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 137 คู่สวรรค์สร้าง

ตอนที่ 137 คู่สวรรค์สร้าง

“คุณปู่ ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกค่ะ สำนวนกล่าวไว้ว่ารักบ้านแล้วก็ต้องรักรังอีกาด้วย นับตั้งแต่ฉันแต่งงานกับเฉินเจียเหอ ญาติของเขาก็ถือเป็นญาติของฉัน ลูกชายของเขาก็เหมือนเป็นลูกของฉันด้วย”

ทันทีที่หลินเซี่ยพูดแบบนี้ ผู้เฒ่าเฉินก็มองดูเธอด้วยความชื่นชม

แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่เธอก็มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่

เวลานี้ ผู้เฒ่าเฉินได้ยอมรับหลินเซี่ยเป็นหลานสะใภ้อย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้เขายังตัดสินใจว่าจะจัดประชุมครอบครัวหลังกลับไปที่บ้าน เรียกครอบครัวของลูกคนรองให้กลับมาด้วย เมื่อเฉินเจียเหอกลับมาจากการปฏิบัติงานนอกสถานที่เมื่อใด เขาจะจัดงานแต่งงานให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด

หลานชายคนโตแต่งงานกับภรรยาทั้งที เขาควรจัดงานอย่างสง่างามและสมเกียรติ จะแต่งงานกันง่าย ๆ แล้วพาภรรยาเข้าบ้านเลยโดยที่ไม่ผ่านพิธีรีตองอะไรไม่ได้เด็ดขาด

“เซี่ยเซี่ย เธอได้บัตรประจำตัวแล้วหรือยัง? ได้ยินหู่จือบอกว่าแม่ของเธอกำลังจะมาที่ไห่เฉิงใช่ไหม?” ผู้เฒ่าเฉินมองเธอแล้วถาม

หลินเซี่ยตอบกลับ “แม่และน้องสาวของฉันมาถึงแล้วค่ะ พวกหล่อนให้บัตรประจำตัวฉันแล้ว”

“รอเจียเหอกลับมาเมื่อไหร่ เธอสองคนก็ไปจดทะเบียนสมรสกันซะให้เรียบร้อย ไว้มีเวลาเราจะเลี้ยงอาหารพวกเธอทีหลัง”

ผู้เฒ่าเฉินเสนอให้เธอกับเฉินเจียเหอไปจดทะเบียนสมรสกันด้วยตัวเองแบบนี้ หมายความว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะต้องพบกัน นั่นทำให้หลินเซี่ยตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพร้อมพยักหน้า “ค่ะ”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ผู้เฒ่าเฉินมองไปยังอุปกรณ์ทำผมของหลินเซี่ยที่วางอยู่บนตู้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเธอรู้วิธีตัดผม งั้นก็ตัดผมให้ฉันหน่อยสิ รู้สึกว่าผมเริ่มยาวจนรู้สึกไม่สบายหัวแล้ว”

ผู้เฒ่าเซี่ยเคยเล่าว่าผู้หญิงคนนี้ตัดผมไม่เป็น การเปิดร้านเสริมสวยจึงถือเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

เขาคิดทบทวนอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมเสี่ยงต่อการโกนหัวเพื่อทดสอบทักษะของเธอก่อนเปิดร้านจริง

ถ้าฝีมือของเธองุ่มง่ามมากจนแม้แต่การโกนหนวดก็ทำให้มีดโกนบาดผิว เขาจะต้องแนะนำให้หลินเซี่ยระมัดระวัง

เธอเคยเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐ อีกหน่อยเขาอาจส่งเธอไปฝึกงานเพื่อเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม และทำงานเป็นผู้ช่วยช่างต่อไปได้

เมื่อหลินเซี่ยได้ยินว่าผู้เฒ่าเฉินอยากให้เธอตัดผม เธอก็พยักหน้ารับอย่างยินดี “ได้ค่ะ ฉันจะไปต้มน้ำอุ่นสำหรับสระผมให้”

“นั่นคือเครื่องอะไร?” ผู้เฒ่าเฉินถามอย่างสงสัยพลางบุ้ยใบ้ไปยังสิ่งที่ไม่รู้จักซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง

“มันคือหมวกสำหรับอบไอน้ำค่ะ ใช้งานเวลาดัดผม” หลินเซี่ยอธิบาย “ก่อนหน้านี้ตอนเราเข้าร่วมการแข่งขัน ฉันก็ใช้อุปกรณ์นี้ดัดผมให้กับคุณป้าทั้งหลายด้วยค่ะ”

“จริงเหรอ?” ผู้เฒ่าเฉินหายสงสัย เขาเคยเห็นภาพถ่ายและทรงผมของผู้หญิงบนเวทีเหล่านั้นครั้งหนึ่ง จึงจำได้ว่าทรงผมของพวกเธอทันสมัยแค่ไหน

ผู้เฒ่าเฉินอ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำ จึงเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดกว้างต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ทันสมัย

“มาค่ะคุณปู่ ฉันจะสระผมให้”

ผู้เฒ่าเฉินไม่คุ้นเคยกับการถูกคนอื่นบริการ “เดี๋ยวฉันสระเอง”

“ให้ฉันสระดีกว่าค่ะ คุณนอนหงายบนโซฟา แล้วเอาหัววางบนขอบโซฟาก็ได้”

หลินเซี่ยหยิบแชมพูมาแล้วเริ่มทำการชโลมศีรษะ เส้นผมของชายชราทั้งสั้นและบางทำให้ไม่เปลืองยาสระผมมาก จากนั้นก็ทำการนวดหนังศีรษะให้ชายชรา

เขารู้สึกสบายมากจนเกือบเคลิ้มหลับเมื่อได้นวดศีรษะ

หลินเซี่ยสระผมเสร็จก็ตัดผม และโกนหนวดเคราบนใบหน้า จากนั้นเธอก็หยิบกระจกขึ้นมาเพื่อให้ผู้เฒ่าเฉินตรวจสอบผลลัพธ์

แน่นอนว่าชายชราพึงพอใจมาก

คนแก่อย่างเขาไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคในการตัดผมอะไรมาก ส่วนใหญ่เน้นวิธีการเป็นหลัก

เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนี้มีทักษะและฝีมือพอสมควร โกนหนวดได้อย่าง เบามือ ปราศจากความงุ่มง่ามไร้ประโยชน์อย่างที่ผู้เฒ่าเซี่ยเคยอธิบายให้เขาฟัง

นอกจากนี้ เธอยังดัดผมทรงทันสมัยให้กับสหายหญิงหลายคนในโรงงานได้อย่างงดงาม

ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เซี่ยเซี่ย ทักษะการตัดผมของเธออยู่ในระดับอาจารย์เชียว ถ้าเธอเปิดร้านเมื่อไหร่ ฉันจะแนะนำเพื่อนเก่าจากในเขตบ้านพักข้าราชการทหารให้มาอุดหนุน”

เขาไม่เพียงแต่จะแนะนำบรรดาคนแก่ให้มาตัดผมเท่านั้น ยังคิดจะแวะไปหาผู้เฒ่าเซี่ยเพื่อลบล้างชื่อเสียงที่ไม่ดีของหลินเซี่ยเป็นการส่วนตัว

ถ้าจนแล้วจนรอดผู้เฒ่าเซี่ยยังไม่เชื่อ เขาจะไปพาผู้เฒ่าเซี่ยออกมาดูให้เห็นกับตา และขอให้หลินเซี่ยตัดผมให้เขาอีกครั้ง

หลินเซี่ยตอบกลับเสียงใส “ขอบคุณค่ะคุณปู่”

ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ครั้งต่อไปฉันจะบอกให้ย่าของเจียเหอมาหา เธอจะได้ดัดผมให้เขา และเลือกทรงผมให้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดอย่างเร่งรีบ “ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ฉันรับรองว่าจะดัดผมให้คุณย่าด้วยทรงผมที่ทันสมัย ส่งเสริมบุคลิกให้มีราศีและมีพลังแน่นอน”

“ไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อน”

“ค่ะ” หลินเซี่ยออกไปส่งผู้เฒ่าเฉิน “คุณปู่ ฉันจะพาคุณไปส่งที่ป้ายรถประจำทางนะคะ”

เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเฉินจากไปแล้ว หลินเซี่ยก็กลับไปที่ร้านอีกครั้งเพื่อตามหาหลินจินซาน ตั้งใจจะถามว่าเขาได้แวะไปที่บ้านของหลิวกุ้ยอิงในตอนเช้าหรือเปล่า

ปรากฏว่าหลินจินซานไม่อยู่ ในร้านมีเฉียนต้าเฉิงคอยคุมงานอยู่คนเดียว

เมื่อเห็นหลินเซี่ยเดินเข้ามา เฉียนต้าเฉิงก็รีบเข้าไปทักทาย “เสี่ยวหลิน มาแล้วเหรอ?”

“พี่ซานไม่อยู่ที่นี่เหรอคะ?” หลินเซี่ยถามเฉียนต้าเฉิง

เมื่อพูดถึงหลินจินซาน คราวนี้เฉียนต้าเฉิงไม่มีร่องรอยความโกรธหรืออิจฉาอย่างที่หลินเซี่ยเคยเห็นก่อนหน้านี้อีก พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรมาก “ผมเป็นคนบอกให้เขาออกไปซื้อของเป็นเพื่อนแม่เขาเอง เขาบอกว่าคุณป้าเพิ่งมาถึงไห่เฉิงเมื่อวานนี้ ในครัวไม่มีวัตถุดิบอะไรเลย ผมก็เลยจ่ายเงินล่วงหน้าให้เขาหนึ่งร้อยหยวนสำหรับซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร และให้เผื่อซื้อเครื่องครัวอื่น ๆ ด้วย”

เฉียนต้าเฉิงมองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “เสี่ยวหลิน ดูคุณทำกับผมสิ ซานจื่อเป็นพี่ชายต่างแม่ของคุณแท้ ๆ ทำไมถึงไม่รีบบอกผมให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”

“พี่เฉิง ฉันเองก็เพิ่งจะรู้ความจริงเมื่อวานนี้เอง”

หลินเซี่ยแสดงทัศนคติของตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง “พี่เฉิง ไม่ว่าฉันจะมีความสัมพันธ์ยังไงกับหลินจินซาน แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อความจริงที่ว่าเขาเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของคุณ

คุณยังต้องเข้มงวดกับเขาเหมือนที่เคยเป็น ถ้าเขาเหลาะแหละไม่จริงจังกับงานขึ้นมา คุณสามารถจัดการเขาได้ตามความเหมาะสม ต่อให้สามีของฉันจะเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่ใหญ่ของคุณ แต่เราจะไม่ใช้เส้นสายมาเอาเปรียบคนโดยไม่แยกแยะถูกผิด”

แม้ว่านิสัยของเฉียนต้าเฉิงจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่เมื่อเป็นเรื่องงานเขากลับทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น การที่เขาคุ้นเคยกับของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นอย่างดี นี่ถือเป็นทักษะที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยในยุคสมัยที่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

นอกจากนี้ เขายังสามารถคุมงานด้านการตกแต่งภายในได้เป็นอย่างดี

ถ้าเขาไม่มีความสามารถ สหายรุ่นพี่ของเฉินเจียเหอคนนั้นจะวางใจมอบหมายงานสำคัญให้เขาได้อย่างไร?

ไม่เหมือนหลินจินซานที่เป็นแค่เด็กทำธุระของเขา

อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะเหล่านั้น

เมื่อเฉียนต้าเฉิงได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาก็โล่งใจทันที สายตาของเขายามมองเธอเต็มไปด้วยความโล่งใจและซาบซึ้ง “เสี่ยวหลิน คุณพูดแบบนี้ผมก็โล่งใจแล้ว”

โชคดีที่ผู้หญิงคนนี้มีจิตสำนึกมากพอ

ไม่อย่างนั้น ไอ้หนุ่มหลินจินซานนั่นคงปีนข้ามหัวเขาไปจริง ๆ

ฟางจิ้นไฉมาถึงตอนประมาณบ่ายโมง หลินเซี่ยตามเขาไปที่ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ทำการซื้อวัสดุต่าง ๆ เช่น โคมไฟ กระจก และเก้าอี้ตัดผม ฟางจิ้นไฉมักพาลูกค้าไปซื้อของที่นั่นอยู่บ่อย ๆ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างคุ้นเคยกันดี โคมไฟที่นี่จึงมีราคาถูกกว่าเจ้าอื่นมาก เจ้าของร้านยินดีให้เด็กในร้านขับรถสามล้อไปส่งถึงที่

พวกเขาทั้งสองใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าจะซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นจนครบ

หลินเซี่ยรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าไม่ว่าอุตสาหกรรมใดก็ตาม ตราบใดที่มีเครือข่ายการติดต่อก็จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ง่าย

ถ้าเธอไปซื้อวัสดุเหล่านี้เอง เธออาจต้องเสียเงินจ้างรถมาขนของมาส่งถึงร้านอีก และอาจไม่สามารถต่อรองราคาได้

นั่นต้องใช้ความพยายามมากเกินไป

หลังจากขนถ่ายสินค้าต่าง ๆ ลงจากรถแล้ว ฟางจิ้นไฉก็พูดกับหลินเซี่ย

“เสี่ยวหลิน อย่าลืมออกแบบป้ายร้านที่คุณต้องการด้วย พรุ่งนี้ผมจะพาช่างไม้มาที่นี่ คุณชี้แจงรายละเอียดให้ช่างด้วยตัวเองได้ มันน่าจะทำเสร็จภายในวันเดียว”

“ได้ค่ะ”

หลินเซี่ยมีแรงใจเพิ่มพูนขึ้นมาก “พี่จิ้นไฉ ไว้เราค่อยเริ่มงานกันอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้นะคะ”

“ครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้จะกลับมาใหม่”

หลังจากที่ฟางจิ้นไฉจากไป หลินเซี่ยก็ยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมเก้าอี้ที่เพิ่งซื้อมา

ยุคนี้ยังไม่มีเก้าอี้ตัวใหญ่สำหรับให้ลูกค้านั่งเวลาตัดผมแบบมืออาชีพเหมือนยุคหลัง ๆ เธอจึงหาซื้อเก้าอี้บุนวมแบบที่ผู้บริหารในสำนักงานนิยมใช้กันทดแทนไปก่อน

รอบนี้เธอซื้อมาทั้งหมดสี่ตัว

นอกจากนี้ยังมีกระจกบานใหญ่ขนาดกว้างหนึ่งเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับรองรับลูกค้าสี่รายในเวลาเดียวกัน

หลังจากติดตั้งโคมไฟและจัดวางตู้เรียบร้อยแล้ว เธอค่อยหาซื้อม้านั่งหรือโซฟามาวางเรียงตามตำแหน่งต่าง ๆ ภายในร้าน

การตกแต่งจะต้องให้ความสบายตาและหรูหรามีระดับในเวลาเดียวกัน เพื่อบ่งบอกความเป็นผู้นำแฟชั่น

มะรืนนี้ตรงกับวันที่ 2 เดือน 2 พอดี เป็นเทศกาลมังกรเชิดเศียร แต่ดูจากความคืบหน้าในการตกแต่งร้านแล้วคงเปิดทำการไม่ทันวันนั้นแน่

หลินเซี่ยยืนอยู่ที่ประตูร้าน มองไปยังที่โล่งหน้าทางเข้าร้านอันว่างเปล่า และทันใดนั้นก็ผุดไอเดียใหม่ขึ้นมา

พรุ่งนี้เธอสามารถย้ายอุปกรณ์มาตั้งที่หน้าประตูแล้วให้บริการตัดผมในพื้นที่เปิดให้ทุกคนได้

ขั้นแรกคือเพื่อให้กลายเป็นจุดขายและโปรโมตร้าน

ขณะที่เธอกำลังลูบคางและคิดว่าจะจัดกิจกรรมโปรโมตอย่างไร ชายหนุ่มหน้าตาดีและหญิงสาวสวยคู่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลก็เดินตรงเข้ามาหา

เจียงอวี่เฟยปล่อยผมยาวสยาย สวมเสื้อคลุมสีเบจ ขณะที่โจวอี้สวมเสื้อแจ็กเกตและกางเกงยีนส์ ทั้งสองคนมีราศีที่ไม่ธรรมดา รูปลักษณ์โดดเด่นและสะดุดตาเป็นพิเศษ

“เซี่ยเซี่ย กำลังทำอะไรอยู่?” เจียงอวี่เฟยมองเห็นเธอจากระยะไกลก็ตะโกนทักทาย

หลินเซี่ยเงยหน้ามองตามเสียง ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างเมื่อเห็นหนุ่มสาวคู่สวรรค์สร้างที่หน้าตาดีราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์

สองคนนี้เหมาะสมกันมาก

ต้องบอกว่าเจียงอวี่เฟยไม่ธรรมดาเลยที่สามารถชวนโจวอี้ออกมานอกบ้านได้

ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไปติดต่อกันยังไง

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “อวี่เฟย โจวอี้ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”

ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเจียงอวี่เฟยด้วยรอยยิ้มครึ่งหนึ่ง พร้อมกับเลิกคิ้วมองหล่อน

เจียงอวี่เฟยเหลือบมองชายหนุ่มหล่อที่อยู่ข้าง ๆ เธอแล้วพูดแทนเขาอย่างใจเย็น “โจวอี้บอกว่าเขาอยากมาตัดผมกับเธอน่ะ”

โจวอี้พูดเสริม “ใช่ ผมฉันยาวจนปิดตาแล้ว อยากตัดออกซะหน่อย”

“ไว้ค่อยมาตัดพรุ่งนี้ดีไหม? อุปกรณ์ของฉันยังอยู่ที่บ้านทั้งหมดเลย วันนี้ออกมาที่ร้านเพื่อวางแผนตกแต่งเฉย ๆ”

หลินเซี่ยเชิญพวกเขาเข้าไปในร้าน ลากเก้าอี้ที่เพิ่งซื้อมาออกมา และขอให้พวกเขานั่งลง

เจียงอวี่เฟยมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน “ฉันไม่ได้มารบกวนเธอตั้งหลายวันเพราะคิดว่าเธอน่าจะงานยุ่ง นึกว่าตกแต่งร้านเสร็จแล้วซะอีก”

“ยังเลย ต้องรอคนงานก่อน เราเพิ่งไปซื้อวัสดุกันวันนี้เอง ทุกอย่างน่าจะเข้าที่เข้าทางไม่เกินสองวันนี้แหละ”

เมื่อเฉียนต้าเฉิงได้ยินว่าเพื่อนของหลินเซี่ยมาเยี่ยมถึงที่นี่ เขาก็หยิบน้ำอัดลมสองขวดเข้ามาเสิร์ฟอย่างกระตือรือร้น

หลินเซี่ยเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับแนวคิดในการจัดตั้งบูธตัดผมกลางแจ้งตรงหน้าร้าน ก่อนจะถามความคิดเห็นจากพวกเขา “พวกเธอคิดว่าพอจะเป็นไปได้ไหม?”

“ต้องเป็นไปได้แน่อยู่แล้ว ฉันเคยเห็นช่างคนอื่นตั้งแผงลอยให้บริการตัดผมอยู่ริมทางท่ามกลางแดดฝนตลอดทั้งปี ถ้าเธอคิดจะตั้งร้านตัดผมชั่วคราวในวันพรุ่งนี้ งั้นเดี๋ยวเราจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง พวกเราจะได้ช่วยโฆษณาให้เธอด้วย”

หลังจากที่เจียงอวี่เฟยพูดจบ เธอก็มองไปที่โจวอี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดกับเขาเบา ๆ

“โจวอี้ พรุ่งนี้นายมาอีกรอบได้ไหม? พวกเรามาช่วยเซี่ยเซี่ยจัดกิจกรรมโปรโมตร้านกันเถอะ”

โจวอี้ตอบส่ง ๆ ไปก่อน “ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”

“ถ้ามีอุปกรณ์ครบฉันก็ตัดให้ได้เลย ผู้ชายไม่ได้เปลืองเครื่องมืออะไรมากนักหรอก”

หลินเซี่ยหยิบปากกาและกระดาษออกมาวาง พลางพูดกับพวกเขาว่า “ทั้งสองคนช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าป้ายร้านของฉันควรใช้อักษรแบบไหนและสีไหนดีกว่ากัน”

หลินเซี่ยเขียนคำว่า ‘สงโถวไจ้หลาย’(เริ่มต้นครั้งใหม่) ลงบนกระดาษด้วยดินสอ

“นี่คือชื่อร้านของฉัน”

เจียงอวี่เฟยมองดูชื่อป้ายที่เธอเขียนแล้วอุทานว่า “ว้าว ชื่อนี้มีความหมายดีมากเลย”

เจียงอวี่เฟยนำสมุดบันทึกยื่นไปให้โจวอี้แล้วพูดว่า “ให้โจวอี้ออกแบบให้เธอดีกว่า”

“หลินเซี่ย เธอคงยังไม่รู้ใช่ไหม? โจวอี้เขาเรียนสาขาการออกแบบล่ะ” หล่อนมองโจวอี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

ดวงตาของหลินเซี่ยสว่างขึ้นเล็กน้อย “จริงเหรอ?”

โชคดีอะไรอย่างนี้ที่เธอได้เพื่อนที่เรียนสาขาการออกแบบโดยตรงมาช่วย

โจวอี้หยิบปากกาแล้วพูดว่า “ป้ายร้านเสริมสวยไม่ควรหรูหราจนเกินไป ควรเป็นรูปแบบที่ผู้คนมองแล้วรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย”

“นายพูดถูก” หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของโจวอี้พันผ้ากอซอยู่รอบ “มือนายไปโดนอะไรมาน่ะ?”

โจวอี้ชักมือกลับแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “ไม่มีอะไร ฉันแค่เผลอไปเกามันจนเป็นแผล”

จากนั้นเขาก็ให้คำแนะนำกับหลินเซี่ยว่าให้เลือกใช้อักษรจีนแบบซ่งตามปกติ และปล่อยให้หลินเซี่ยเป็นคนเลือกโทนสีเอง

หลินเซี่ยเหลือบมองนาฬิกา จากนั้นก็ตัดสินใจว่าค่อยกลับไปเลือกโทนสีอย่างช้า ๆ ในตอนกลางคืน

เธอพูดกับพวกเขาทั้งสองว่า “ฉันยังต้องไปรับลูกชายกลับจากโรงเรียน พวกเธอจะไปเป็นเพื่อนฉันไหมล่ะ?”

เจียงอวี่เฟย “…”

โจวอี้ “…”

“เรียกลูกเต็มปากเลยเหรอ?” เจียงอวี่เฟยถึงกับหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

โจวอี้กลับมามีท่าทางสงบ

หลินเซี่ยผายมือออก “ทำไมจะเรียกไม่ได้? ก็เขาเป็นลูกชายของฉันจริง ๆ วันนี้เขาเพิ่งจะเรียกฉันว่าแม่”

ชาติที่แล้วเธอเป็นแม่บุญธรรมของเด็กปีศาจนั่นมามากกว่าสิบปี แน่นอนว่าเธอมีประสบการณ์ในการเป็นแม่คนอย่างเต็มเปี่ยม

เกิดใหม่ชาตินี้ เมื่อหู่จือร้องเรียกเธอว่าแม่ เธอจึงตอบตกลงด้วยความยินยอมอย่างง่ายดายโดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดใจเลย

โจวอี้ซึ่งแต่เดิมมีท่าทางสงบราบเรียบพลันมีแววตาสั่นไหวเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของเธอ อดไม่ได้ที่จะสังเกตเธออย่างลับ ๆ อีกครั้ง

เจียงอวี่เฟยมองโจวอี้ด้วยดวงตาที่สดใส ถามความคิดเห็นของเขา “โจวอี้ ไปรับลูกชายของเซี่ยเซี่ยกันเถอะ”

โจวอี้ปฏิเสธอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วย ฉันยังมีงานอย่างอื่นต้องทำ คงต้องขอตัวกลับก่อน”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

โชคดีของเซี่ยเซี่ยแล้วที่ได้คนตรงกับความต้องการพอดี

ลึกๆ แล้วโจวอี้แอบชอบเซี่ยเซี่ยอยู่หรือเปล่านะ?

ไหหม่า(海馬)