“ไม่อนุมัติ…”
 

ในช่วงพักเที่ยงของวันถัดมานั้นเอง ที่ห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนรีมินัสก็ได้มีเสียงพูดของชายหนุ่มในชุดเกราะสีขาวสะอาดผู้เป็นเจ้าของห้องดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หลังจากที่เขาได้อ่านเอกสารในมือที่ถูกยื่นมาจากประธานนักเรียนสาวประจำโรงเรียน

 

ซึ่งน้ำเสียงเรียบๆ ที่แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกไม่พอใจนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าต้องแอบโคลงหัวไปมาเล็กน้อยเพราะว่าเธอเองก็คาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อยู่แล้วและตัดสินใจที่จะรอให้ท่านผู้อำนวยการเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อเอง

 

“ที่เอกสารมันถูกเว้นว่างซะขนาดนี้นี่คงจะเป็นเพราะว่ามันมีอะไรที่เธอเขียนลงไปไม่ได้สินะประธานนักเรียน…?”

 

“ค่ะ… ตรงส่วนที่ถูกเว้นว่างเอาไว้นั่นจริงๆ แล้วมันควรจะเป็นรายชื่อของคนกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่คุณเอริกะจัดส่งมาให้พวกนากาเขาใช้งานน่ะค่ะ”

 

“ถ้ามันเป็นอุปกรณ์จากเอริกะฉันก็พอจะเข้าใจอยู่ล่ะนะว่าทำไมเธอถึงเว้นว่างมันเอาไว้น่ะ… ขอเดาว่าหนึ่งในอุปกรณ์ที่ว่าคงจะมียูนิตรุ่นพิเศษอยู่ด้วยสินะเธอถึงได้ไม่ยอมเขียนมันลงในเอกสารที่จะต้องถูกส่งไปให้ทางวังหลวงตรวจสอบก่อนน่ะ?”

 

“ก็ตามที่ท่านผู้อำนวยการเข้าใจเลยล่ะค่ะ”

 

ไดเอน่าพยักหน้ากลับไปให้ท่านผู้อำนวยการเป็นคำตอบจนทำให้เขาต้องวางเอกสารในมือลงเพราะดูท่าทางว่ามันคงจะไม่มีประโยชน์ในการช่วยเขาตัดสินใจแล้ว

 

ซึ่งท่านผู้อำนวยการก็ได้เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเหมือนกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาและหมุนเก้าอี้กลับไปทางด้านหน้าต่างบานใหญ่เบื้องหลังแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทอดสายตาออกไปมองดูเหล่าเด็กนักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมยามเที่ยงกันอยู่ในสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ของโรงเรียนและเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เธอรู้หรือเปล่าว่าจนถึงตอนนี้เด็กนักเรียนคนที่บุกเข้าไปขัดขวางการยิงระเบิดจากในป่าแล้วเผลอทำเรื่องใหญ่ไปคนนั้นก็ยังคงมือสั่นทุกครั้งที่เห็นคริสตัลวิซอยู่เลยน่ะ…?”

 

“ค่ะ…”

 

“แล้วไหนจะยังมีเรื่องของพรีมูล่า อาร์ทิอัสอีก… เรื่องทั้งสองเรื่องนั่นน่าจะทำให้พวกเธอรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังทำอยู่มันไม่ใช่เรื่องที่พวกนักเรียนสมควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อยเลยใช่หรือเปล่า?”

 

“ค่ะ… ทั้งฉันทั้งกลุ่มสภานักเรียนรวมทั้งนักเรียนในกลุ่มดอว์นทราบเรื่องนั้นกันดีค่ะ”

 

“………”

 

คำตอบของไดเอน่านั้นได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถึงเธอจะรู้แบบนั้นแต่เธอก็จะยังทำมันต่อไปอย่างนั้นหรอ…? ทั้งๆ ที่พวกเธอสามารถปล่อยเรื่องนี้ไปให้พวกผู้ใหญ่อย่างฉันหรือเอริกะจัดการกันเองก็ได้น่ะนะ?”

 

“ค่ะ! ถ้าสิ่งที่ฉันทำมันจะทำให้ให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ทุกคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขอย่างที่ท่านปู่ของฉันใฝ่ฝันเอาไว้ล่ะก็ ต่อให้สมาชิกของกลุ่มดอว์นจะเหลือแค่ฉันคนเดียวฉันก็จะยังคงทำมันต่อไปค่ะ!”

 

คำพูดตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นของไดเอน่านั้นแทบจะทำให้ท่านผู้อำนวยการถอนหายใจออกมา

 

“ปู่ของเธอ… ท่านแม๊กซ์ซิส เซมฟิร่า… ถึงเขาเป็นวีรบุรุษที่น่ายกย่อง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหมาะกับการเป็นผู้ปกครองของพวกเด็กๆ สักเท่าไหร่เลยนะ”

 

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็คุณแม่เองก็บ่นอยู่บ่อยๆ เหมือนกันแหล่ะค่ะ แหะๆ”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินท่านผู้อำนวยการพูดบ่นเกี่ยวกับเรื่องของปู่แม๊กซ์ของเธอขึ้นมาได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยจนทำให้ท่านผู้อำนวยการอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งพร้อมกับจัดเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเข้าที่พลางพูดถามไดเอน่าขึ้นมาด้วย

 

“แล้ว… เด็กนักเรียนคนที่ชื่อว่านากามูระกับโมโกะนี่เขาพร้อมที่จะออกไปทำงานด้านนอกกันแล้วงั้นหรอ…? เห็นว่าคนนึงก็เป็นพี่ชายของพรีมูล่าคนนั้นส่วนอีกคนก็เพิ่งเสียคุณพ่อไปไม่ใช่หรือไง…?”

 

“ถ้าเรื่องนั้น—”

 

“ถ้าเป็นเรื่องของนากาคุงล่ะก็คุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ เพราะทั้งฉันทั้งเอริกะลงความเห็นตรงกันว่าเขาพร้อมจะรับงานนั้นแล้ว”

 

ในขณะที่ไดเอน่ากำลังจะพูดตอบท่านผู้อำนวยการกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เสียงของเธอก็ถูกแทรกขึ้นมาด้วยเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เพิ่งจะเปิดประตูเดินเข้าห้องมาโดยไม่มีการเคาะเพื่อขออนุญาตก่อน

 

ซึ่งผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวนั้นก็คือเรสเนอร์ อัศวินหญิงผมสีชมพูในชุดเกราะสีขาวประดับลวดลายสีทองที่เป็นคนรู้จักของเอริกะที่ไดเอน่าเพิ่งจะได้พบเจอไปเมื่อวันก่อนนั่นเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ไดเอน่าจะได้พูดต่อว่าอะไรขึ้นมากับการปรากฏตัวอย่างเสียมารยาทของอีกฝ่ายนั้นเอง ท่านผู้อำนวยการก็ได้เอ่ยปากพูดชื่อของผู้มาใหม่ขึ้นมาเบาๆ เสียก่อน

 

“คุณเรสเนอร์…”

 

“ท่านผู้อำนวยการรู้จักกับคุณเรสเนอร์เขาด้วยหรอคะ?”

 

คำพูดของท่านผู้อำนวยการนั้นได้ทำให้ไดเอน่าต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ แต่ว่าทางด้านท่านผู้อำนวยการนั้นก็กลับนิ่งเงียบไปจนทำให้เรสเนอร์ตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดตอบขึ้นมาให้แทน

 

“พอดีว่าฉันรู้จักกับ… อื้มมมม… กับ ‘คุณผู้อำนวยการ’ เขามาได้สักพักนึงแล้วล่ะจ้ะ”

 

“เรื่องตั้งแต่ก่อนที่ผมจะสละตำแหน่งนั่นมันก็ตั้งหลายปีจนไม่น่าจะเรียกได้ว่าสักพักนึงแล้วนะครับ…”

 

“….!”

 

คำพูดที่ลงท้ายด้วยคำสุภาพของท่านผู้อำนวยนั้นได้ทำให้ไดเอน่าชะงักไปในทันที เพราะว่าตามปกติแล้วคนที่ท่านผู้อำนวยการจะใช้คำสุภาพด้วยนั้นมักจะเป็นคนที่มีอำนาจระดับสูงมากๆ ในวังหลวงหรือไม่ก็เป็นต้นตระกูลขุนนางเก่าแก่อายุยืนยาวอย่างคุณปู่แม๊กซ์ซิสของเธอ

 

และนั่นก็หมายความว่าหญิงสาวผมสีชมพูท่าทางใจดีที่พยายามจะให้เธอเรียกว่าเรสเนอร์เฉยๆ แบบไม่ต้องมีคำสุภาพนั้นคงจะไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นคนรู้จักเก่าของเอริกะเฉยๆ อย่างที่เธอเคยคิดสงสัยเอาไว้จริงๆ อย่างแน่นอน

 

ซึ่งท่าทีตกใจของไดเอน่านั้นก็ได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการเหลือบมองไปทางประธานนักเรียนสาวเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ขอเวลาฉันคุยกับแขกคนนี้สักครู่นึงก็แล้วกัน…”

 

“ด–ได้เลยค่ะ! ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะออกไปยืนรอกับมายะเขาด้านนอกก็แล้วกันนะคะ!”

 

“อ่ะ— เด็กผมสีม่วงคนนั้นชื่อว่ามายะสินะจ๊ะ เดี๋ยวพอฉันคุยกับคุณผู้อำนวยการเสร็จแล้วเธอพาเขามานั่งพักข้างในสักหน่อยก็ดีนะจ๊ะ ฉันเห็นเหมือนเขาจะกำลังระแวงอะไรสักอย่างนึงจนยืนอยู่ไม่สุขเลยล่ะ”

 

“ทราบแล้วค่ะ! ถ้างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ!”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของเรสเนอร์ได้พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปแล้วจึงเดินตรงออกไปจากห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการอย่างรวดเร็ว

 

และเมื่อท่านผู้อำนวยการเห็นว่าประธานนักเรียนของเขาเดินออกจากห้องไปแล้วเขาจึงได้มองตรงไปทางด้านเรสเนอร์แล้วจึงเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมา

 

“คุณเรสเนอร์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ…?”

 

“อ๋อ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกจ้ะ พอดีฉันได้ยินมาว่าหลังจากที่เธอออกมาจากวังหลวงแล้วก็มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนนี้ก็เลยถือโอกาสที่ว่างๆ อยู่แวะมาเยี่ยมเฉยๆ น่ะ”

 

“งั้นหรอครับ…”

 

คำตอบของเรสเนอร์ได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการที่สวมหมวกเกราะเหล็กแบบปิดบังใบหน้าจำเป็นต้องหันไปมองทางอื่นเหมือนกับว่าไม่กล้าที่จะสบตากับหญิงสาว ซึ่งถึงแม้ว่าทางด้านเรสเนอร์จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาและหันกลับไปพูดเกี่ยวกับเรื่องของนากาที่อีกฝ่ายเหมือนจะกำลังกลุ้มใจอยู่ต่อแทน

 

“แต่เรื่องของเด็กคนที่ชื่อว่านากานั่นมันก็อย่างที่ฉันบอกไปเมื่อกี้นี้แหล่ะ ว่าเขาพร้อมสำหรับงานนี้แล้วล่ะ อย่างก่อนหน้านี้เขาเองก็เพิ่งจะกลับไปที่หมู่บ้านโมริโกะกับเอริกะมาอีกรอบนึงแล้วด้วยนะ”

 

“หมู่บ้านโมริโกะ… นี่เอริกะสั่งให้เด็กคนนั้นกลับไปสถานที่เกิดเหตุอีกรอบนึงเลยงั้นหรอครับ…?”

 

“มันก็ไม่เชิงว่าสั่งหรอกจ้ะ นากาเขายืนยันว่าจะกลับไปให้ได้ทั้งๆ ที่เอริกะเขาพยายามจะห้ามเอาไว้แล้วน่ะ แล้วคุณเองก็น่าจะรู้นี่ว่าถ้าเกิดพวกเด็กๆ ตัดสินใจอะไรไปแล้วมันห้ามได้ยากขนาดไหนน่ะ… เหมือนกับตอนที่คุณตัดสินใจจะสละตำแหน่งนั่นไง”

 

“หึ… จะว่าแบบนั้นก็คงจะได้ล่ะมั้งครับ…”

 

ท่านผู้อำนวยการที่ได้ยินคำพูดยกตัวอย่างของเรสเนอร์นั้นถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะว่าสิ่งที่เรสเนอร์ยกตัวอย่างขึ้นมานั้นมันก็คือเรื่องราวในอดีตของตัวเขาเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นแล้วทางด้านเรสเนอร์ก็ยังคงไม่คิดที่จะบังคับอะไรท่านผู้อำนวยการมากนักราวกับว่าในคราวนี้มันเป็นหน้าที่ของเขาแล้วที่จะต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะยอมทำตามและสนับสนุนการตัดสินใจของพวกเด็กๆ หรือเปล่าเหมือนดั่งเช่นที่เธอเคยทำให้กับเขาในอดีต

 

“แต่ว่าคุณเองก็ไม่ต้องฟังคำพูดของฉันมากนักก็ได้นะคะ เพราะว่ายังไงตอนนี้ฉันเองก็เป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่บังเอิญผ่านมาเจอกับพวกนากาเขาในตอนเกิดเรื่องพอดีแค่นั้นแหล่ะค่ะ”

 

“คำพูดแบบนั้นก็ฟังดูเหมาะกับคนที่เคยปฏิเสธตำแหน่งอัศวินราชองครักษ์อย่างคุณดีนั่นแหล่ะครับ… แต่ถ้าเกิดว่าคุณเรสเนอร์ยอมพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็ผมจะลองเชื่อในตัวของพวกเด็กนักเรียนดูก็ได้… ถึงผมจะไม่ชอบใจที่พวกเขาคิดจะเอาอนาคตของตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นสักเท่าไหร่ก็เถอะ…”

 

“ฉันเองก็คิดว่าคำพูดแบบนั้นไม่ค่อยจะเหมาะกับคุณที่ทิ้งยอมทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกๆ คนต้องการเพื่อมานั่งตรงนี้อย่างคุณผู้อำนวยการเลยนะคะนั่น”

 

“หึหึ ก็นั่นสินะครับ…”

 

ท่านผู้อำนวยการหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับคำพูดหยอกเย้าของเรสเนอร์เล็กน้อยก่อนจะหยิบเอาปากกาของเขาขึ้นมาเซ็นชื่อลงบนเอกสารขออนุญาตของไดเอน่าที่ก่อนหน้านี้เขายังคงปฏิเสธมันเสียงแข็งแต่โดยดีพร้อมกับเอ่ยปากพูดถามเรสเนอร์ขึ้นมาตรงๆ

 

“ว่าแต่ที่คุณเรสเนอร์มาที่นี่มีสาเหตุอะไรอย่างอื่นหรือเปล่าครับ? ไม่ใช่ว่าตอนนั้นคุณบอกว่าจะออกไปหาหมู่บ้านสงบๆ ที่ไหนสักที่แล้วลงหลักปักฐานที่นั่นเพราะไม่อยากจะเจอกับเรื่องวุ่นวายของพวกเมืองหลวงอีกแล้วหรอกหรอครับ?”

 

“แหม่ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อแวะมาเยี่ยมคุณเฉยๆ จริงๆ นะคะ พอดีว่าฉันดันเข้ามาในเมืองรีมินัสตอนจังหวะนี้พอดีก็เลยติดแหง็กอยู่ที่นี่จนออกเดินทางต่อไม่ได้ แล้วพอว่างๆ แบบนี้ก็เลยต้องหาอะไรทำแก้เบื่อไปเรื่อยอย่างที่เห็นนี่แหล่ะค่ะ”

 

“อย่างนั้นเองหรอครับ ถ้ายังไงก็ขอบคุณที่อุตส่าห์แบ่งเวลามาเยี่ยมกันถึงที่นี่ก็แล้วกันนะครับ… ว่าแต่คุณเรสเนอร์อยากจะให้ผมช่วยทำเรื่องขออนุญาตเดินทางให้พวกคุณหรือเปล่าล่ะครับ?”

 

“เรื่องนั้นฉันได้เอริกะจัดการให้แล้วล่ะค่ะ อีกอย่างนึงคุณเองก็คงจะยุ่งๆ อยู่ใช่มั้ยล่ะคะ เพราะงั้นฉันไม่ขอรบกวนน่าจะดีกว่า เอาเป็นว่าไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกันอีกก็แล้วกันนะคะ”

 

เรสเนอร์พูดตอบท่านผู้อำนวยการกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนกับว่าเธอไม่ได้คิดอะไรมากนักที่ต้องมาติดอยู่ในเมืองรีมินัสแบบนี้ และหลังจากที่เธอพูดบอกลาท่านผู้อำนวยการเสร็จแล้วเธอก็รีบเดินตรงออกจากห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการไปในทันทีจนทำให้ท่านผู้อำนวยการต้องรีบพูดตอบเธอกลับไป

 

“ยังไงก็รักษาตัวด้วยนะครับคุณเรสเนอร์”

 

“…….”

 

เรสเนอร์ไม่ได้พูดตอบอะไรท่านผู้อำนวยการกลับไปและทำเพียงแค่โบกมือลาเขาเล็กน้อย

 

และหลังจากที่เรสเนอร์เดินออกจากห้องไปแล้วไดเอน่าที่ยืนรออยู่ที่ด้านหน้าห้องก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้ามาพูดถามท่านผู้อำนวยการในทันที

 

“ท่านผู้อำนวยการคะ ฉันขออนุญาตพามายะเขาเข้ามานั่งรอในห้องแทนได้หรือเปล่าคะ?”

 

“ไม่ต้องรอแล้ว… นี่เอกสารของเธอ ฉันเซ็นอนุมัติให้แล้ว…”

 

“อ่ะ—ค่ะ! ขอบคุณมากค่ะ”

 

ไดเอน่าที่เห็นว่าท่านผู้อำนวยการยอมเซ็นอนุมัติเอกสารที่ข้อมูลขาดๆ เกินๆ ของเธอแล้วได้รีบเดินเข้าไปรับมันมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้ท่านผู้อำนวยการได้เห็นท่าทีหวาดระแวงของมายะที่ดูเหมือนกำลังกลัวว่าจะมีตัวอะไรพุ่งออกมาจากมุมตึกเพื่อลากตัวเธอไปจัดการปิดปากหรืออย่างไรอย่างนั้น

 

ซึ่งท่าทางของมายะที่ดูเหมือนว่าจะน่ากังวลไม่ใช่น้อยนั้นก็ได้ทำให้ท่านผู้อำนวยการต้องเอ่ยปากถามประธานนักเรียนสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของมายะขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงในตัวนักเรียนของเขา

 

“นั่นน่ะหรอที่เธอบอกว่ามายะเขารู้สึกเหมือนโดนจับตามองดูอยู่ตลอดเวลาน่ะ? เขามีอาการแบบนี้มานานแล้วหรือยัง?”

 

“ก็ตั้งแต่วันที่เคนซากิเขาได้รับการทดสอบของอาจารย์อลิซไปนั่นแหล่ะค่ะ เห็นมายะเขาบอกว่าเห็นเคนซากิทำหน้าตาน่ากลัวหันมามองทางเธอแล้วหลังจากนั้นก็คอยแอบจับตามองเธออยู่ตลอดเวลาเลย”

 

“หลักฐานล่ะ…?”

 

“นอกจากคำพูดของมายะแล้วก็ไม่มีหรอกค่ะ แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างมายะไม่ใช่คนที่จะไปกล่าวหาใครลอยๆ หรอกนะคะ…”

 

ไดเอน่าพูดตอบท่านผู้อำนวยการกลับไปเบาๆ โดยระวังไม่ให้มายะได้ยินพร้อมกับเหลือบกลับไปมองเพื่อนของเธอที่ดูเหมือนว่าจะใจเย็นลงได้บ้างเมื่อได้เข้ามานั่งหลบในห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการที่ไม่มีหัวมุมทางเดินให้ใครได้แอบจ้องมองมา

 

ซึ่งทางด้านท่านผู้อำนวยการที่เห็นท่าทีวิตกกังวลของมายะเองก็ได้แผ่ออร่าความกังวลออกมาจากภายใต้ชุดเกราะของเขาอย่างปิดไม่มิดจนทำให้ไดเอน่าฉวยโอกาสนี้ยื่นเรื่องขอตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนักเรียนแลกเปลี่ยนเคนซากิขึ้นมา

 

“ถ้ายังไงฉันขออนุญาตตรวจสอบเรื่องของเคนซากิดูสักหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ? เพราะถ้าเกิดว่าเป็นฉันล่ะก็ต่อให้เคนซากิเขาจะเป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากนักเรียนธรรมดาจริงๆ ก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้อยู่นะคะ”

 

“ถึงพวกเราจะประกาศออกไปว่าเคนซากิเป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนจากแพนเทร่าก็เถอะ แต่เธอเองก็น่าจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากทูตที่ทางแพนเทร่าส่งมานักหรอกใช่มั้ยล่ะ… ไหนเธอลองบอกมาสิว่าเธอจะทำยังไงถ้าเกิดว่าเคนซากิเขาไม่ใช่แค่นักเรียนแลกเปลี่ยนธรรมดาๆ จริงๆ น่ะ?”

 

 

“เห็นคุณประธานนักเรียนบอกว่าชาวบ้านพวกนี้ได้รับความช่วยเหลือไปบ้างแล้วก็เถอะ แต่ดูจากสภาพแล้วก็ท่าจะยังแย่อยู่เหมือนกันนะ”

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ไดเอน่ากำลังพยายามยื่นเอกสารขออนุมัติการเดินทางของพวกนากาให้กับท่านผู้อำนวยการอยู่นั้นเอง ทางด้านนอกเมืองรีมินัสฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือเองก็ได้มีเสียงของอัลเบิร์ตกระซิบพูดกับเซซิลที่ยืนอยู่ข้างๆ กันขึ้นมาเมื่อเขาได้เห็นสภาพที่แท้จริงของค่ายพักพิงผู้อพยพที่มารวมตัวกันจนเป็นชุมชนขนาดย่อมๆ แห่งนี้

 

เพราะถึงแม้ว่าชาวบ้านเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลือทางด้านอาหารและยามาจากทางเมืองรีมินัสบ้างแล้ว แต่ว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะหายไปเป็นปลิดทิ้งในทันทีทันใด ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคนเจ็บที่ร้องโอดโอยดังระงมไปทั้งซ้ายและขวา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เซซิลที่หันไปทางไหนก็เจอแต่คนเจ็บเต็มไปด้วยผ้าพันแผลอดไม่ได้ที่จะพูดถามอัลเบิร์ตที่เป็นลูกของขุนนางที่มีตำแหน่งสูงในระดับหนึ่งของทางวังหลวงขึ้นมา

 

“โรงพยาบาลทำอะไรไม่ได้เลยหรอ…?”

 

“กับจำนวนคนขนาดนี้น่ะนะ…? เธอจะบ้าหรอไง? ถ้าขนคนเยอะขนาดนี้เข้าไปรักษาพร้อมๆ กันมีหวังโรงบาลได้แตกกันไปข้างสิ แล้วนี่ยังไม่รวมพวกทหารยามเกือบจะทั้งเมืองที่ยังนอนจมยึดโรงบาลอยู่อีกนะนั่น… เอาจริงๆ ฉันว่าที่น่าสงสารกว่าชาวบ้านพวกนี้ก็พวกหมอกับพยาบาลในโรงบาลนั่นล่ะ เห็นบอกว่าต้องกินกาแฟต่างน้ำดูแลคนป่วยทั้งวันทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้พักกันเลย”

 

“ก็พอจะเข้าใจได้อยู่ล่ะมั้ง…”

 

“หนูก็บอกแล้วไงว่าพวกเราต้องรีบหนีกันน่ะ คุณพ่อเชื่อหนูหน่อยสิ!!”

 

ในขณะที่อัลเบิร์ตและเซซิลกำลังกระซิบคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงแหลมๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งดังลั่นขึ้นมาดังความสนใจของพวกเขาไป

 

ซึ่งเมื่อพวกเขาหันไปมอง พวกเขาก็ได้พบกับครอบครัวเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยเด็กสาวอายุน้อยและคุณพ่อของเธอที่มีผ้าพันแผลหนาเตอะพันอยู่ที่ขาข้างขวาที่ดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามพูดเกลี้ยกล่อมลูกสาวของเขาอยู่ในเต็นท์หลังหนึ่ง และนั่นก็ทำให้อัลเบิร์ตไม่รอช้าที่จะเดินตรงเข้าไปแอบดูใกล้ๆ ในทันทีโดยไม่ลืมที่จะพูดกัดเซซิลที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย

 

“เดี๋ยวฉันเข้าไปดูให้เองก็แล้วกัน เพราะถ้าขืนเด็กนั่นเห็นหน้าดุๆ ของเธอเข้าไปมีหวังได้กลัวจนพูดไม่ออกแหงๆ”

 

“………”

 

คำพูดของอัลเบิร์ตได้ทำให้เซซิลหันไปจ้องมองเขาด้วยหน้าดุๆ ของเธอแบบเอาเรื่อง แต่ว่าอัลเบิร์ตก็ยังคงเป็นอัลเบิร์ตคนเดิมที่ไม่เคยจะสนใจอะไรอยู่แล้ว เขาจึงเดินตรงลอยหน้าลอยตาเข้าไปแอบฟังการพูดคุยของสมาชิกในครอบครัวทั้งสองคน

 

“พ่อได้ยินแล้วหน่า… แต่อย่างน้อยขอพ่อพักรักษาตัวให้พอเดินไหวก่อนจะได้หรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวพอพ่อเดินไหวเมื่อไหร่พวกเราจะรีบหารถม้านั่งไปหาคุณแม่ที่แพนเทร่ากันเลย”

 

“แต่กว่าจะถึงตอนนั้นมีหวังพวกทหารได้กลับมาไล่ฆ่าพวกเรากันอีกรอบก่อนสิ!!”

 

“พวกพี่ทหารเขามีหน้าที่ปกป้องพวกเราจะมาไล่ฆ่าพวกเราได้ยังไงกันล่ะจริงมั้ย”

 

“ต—แต่ว่า…”

 

คำพูดที่ฟังดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกทหารของเมืองรีมินัสนั้นได้ทำให้อัลเบิร์ตที่ยืนแอบฟังอยู่ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยและตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากที่หลบเพื่อพูดสอบถามขึ้นมาตรงๆ

 

“ขอโทษนะครับ ผมขอสอบถามอะไรสักหน่อยจะได้หรือเปล่า?”

 

“…….!!”

 

การปรากฏตัวของอัลเบิร์ตนั้นได้ทำให้เด็กสาวสะดุ้งสุดตัวและรีบพุ่งตัวไปแอบอยู่หลังคุณพ่อของเธอในทันที แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วเธอก็โผล่หน้ากลับออกมาดูผู้มาเยือนก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

“ฟูว… พี่ชายเหมือนจะไม่ใช่พวกทหารนี่นา”

 

“อย่าเสียมารยาทกับพี่เขาสิลูก”

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่ที่น้องเขาบอกว่าเดี๋ยวพวกทหารยามจะมาไล่ฆ่านี่หมายความว่ายังไงหรอครับ พอจะเล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า?”

 

อัลเบิร์ตที่ปกติแล้วจะค่อนข้างโผงผางไม่มีมารยาทมากกว่านี้มากนักนั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดถามคุณพ่อของเธอขึ้นมา ซึ่งคุณพ่อของเด็กสาวก็ไม่รอช้าที่จะระบายเรื่องปวดหัวของเขาให้ผู้มาเยือนฟังในทันที

 

“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้นหรอก แค่ว่าลูกสาวของฉันเอาแต่พูดว่าคนที่บุกไปโจมตีหมู่บ้านของพวกเราเป็นพวกทหารจากเมืองรีมินัสก็เลยไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อน่ะสิ… แต่ว่าปกติพวกทหารแต่ละเมืองก็แต่งตัวคล้ายๆ กันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

 

“ก็หนูเห็นว่าพวกทหารที่บุกเข้ามาเขาติดตรารูปประภาคารสีน้ำเงินๆ เอาไว้บนไหล่ด้วยนี่นา!!”

 

“ประภาคารสีน้ำเงินหรอ…?”

 

คำพูดของเด็กสาวที่พูดแทรกขึ้นมานั้นได้ทำให้อัลเบิร์ตต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะว่าสำหรับตรารูปประภาคารแล้วมันเป็นตราของทหารประจำเมืองรีมินัสแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ว่าที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยก็คือเรื่องที่ว่าสีของมันเป็น ‘สีน้ำเงิน’ นั่นต่างหาก เพราะว่าสำหรับลูกหลานขุนนางที่ต้องคลุกคลีกับทางวังหลวงอยู่เป็นประจำอย่างเขาแล้ว เขารู้ดีว่าสีน้ำเงินนั่นมันมีความหมายว่ายังไง

 

แต่ถึงอย่างนั้นด้วยท่าทีหวาดๆ ของเด็กสาวเวลาพูดถึงตรารูปประภาคารสีน้ำเงินแล้วอัลเบิร์ตก็ได้แต่เก็บเอาเรื่องนี้ไปสืบต่อทีหลังและตัดสินใจที่จะพูดปลอบเด็กสาวออกมาก่อน

 

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่ายัยหนู ถึงพวกทหารของรีมินัสเขาจะใช้ตราเป็นรูปประภาคารก็จริงแต่ว่าไม่มีหน่วยไหนเขาใช้ตราสีน้ำเงินกันหรอกนะ ฉันยืนยันได้เลย”

 

“ใช่มั้ยล่ะ แล้วลูกลองคิดดูสิ ถ้าเกิดว่าพูดถึงสีน้ำเงินล่ะก็ พ่อว่าพวกแพนเทร่าที่ถึงขั้นเอาสีน้ำเงินมาทากำแพงปราสาทยังดูน่าสงสัยกว่าเลยนะ พูดก็พูดไปพ่อเองก็ชักจะเป็นห่วงคุณแม่ที่อยู่ที่แพนร่าขึ้นมาบ้างเหมือนกันแล้วนะ…”

 

คุณพ่อของเด็กสาวที่สบโอกาสนั้นไม่รอช้าที่จะพูดสนับสนุนขึ้นมาให้ลูกสาวของเขาคลายความกังวลในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวถึงกับต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยและพูดเถียงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

 

“ต… แต่…แต่หนูเห็นจริงๆ นะ…”

 

“ถ้างั้นเอางี้มั้ย เดี๋ยวเอาไว้พี่จะลองเข้าไปตรวจสอบเรื่องตราสีน้ำเงินที่เธอเห็นให้เอง เพราะถึงจะเห็นแบบนี้แต่พี่ก็เป็นถึงนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสเลยนะ”

 

“เอ๋? เป็นนักเรียนของโรงเรียนรีมินัสแล้วทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอ?”

 

ข้อเสนอของอัลเบิร์ตนั้นถึงกับทำให้เด็กสาวต้องหันไปมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง เพราะถึงแม้ว่าเธอจะมาจากหมู่บ้านนอกเมืองแล้วก็ยังอายุน้อยอยู่ก็เถอะ แต่เธอก็ยังคงรู้ว่าโรงเรียนรีมินัสเป็นเพียงแค่โรงเรียนชื่อดังในเมืองหลวงเท่านั้นไม่ได้ทำให้เหล่านักเรียนของที่นั่นมีสิทธิพิเศษอะไรมากมายขนาดนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอัลเบิร์ตที่หน้าหนาพอตัวก็ไม่ลังเลที่จะแสดงท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยมออกมาและพูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยความมั่นใจ เพราะว่าสิ่งที่เขาคิดจะใช้งานในการสืบเรื่องตราประภาคารสีน้ำเงินที่ว่านั่นมันไม่ใช่สิทธิพิเศษของทางโรงเรียนแต่ว่าเป็นเส้นสายจากทางตระกูลของเขาต่างหาก

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า เดี๋ยวเอาไว้พอพี่สืบได้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตราสีน้ำเงินที่เธอพูดถึงล่ะก็พี่จะรีบมาบอกพวกเธอด้วยตัวเองเลย ระหว่างนี้เธอคอยดูแลคุณพ่อของเธอให้หายดีก่อนเถอะ”

 

“แต่ว่าแบบนั้นมันจะปลอดภัยหรอ…”

 

“มันจะไม่ปลอดภัยได้ยังไงล่ะ ในระหว่างที่เธออยู่ที่นี่เธอเห็นพวกทหารคนไหนเขาติดตราสีน้ำเงินบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

 

“มันก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหล่ะ… งั้นถ้าเกิดว่าพี่ชายเจอพวกทหารที่ติดตราสีน้ำเงินเมื่อไหร่ต้องรีบมาบอกพวกหนูทันทีเลยนะ สัญญานะ!”

 

“ได้เลย เพราะงั้นเธอเองก็อย่ารีบเร่งให้คุณพ่อออกเดินทางไปไหนซะก่อนล่ะ ถ้าจำเป็นจะต้องไปจริงๆ อย่างน้อยๆ ก็รอให้ขาของคุณพ่อดีขึ้นก่อนล่ะเข้าใจมั้ย”

 

อัลเบิร์ตพูดกำชับให้เด็กสาวคอยดูแลคุณพ่อของเธอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อเขาเห็นว่าเด็กสาวพยักหน้ากลับมาถี่ๆ แล้วเขาจึงเอ่ยปากขอตัวก่อนจะเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเซซิลด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนทำให้เซซิลที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากถามขึ้นมา

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

 

“อื้ม ก็นิดหน่อยน่ะ… ว่าแต่เธอเห็นพวกหน่วยแพทย์หรือว่าพวกอาสาสมัครอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า ฉันมีอะไรจะถามพวกเขาสักหน่อยน่ะ?”

 

อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำถามของเซซิลได้คลายสีหน้าเคร่งเครียดของเขาลงเนื่องจากว่าเขาไม่อยากจะให้เซซิลที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ แถมยังมาจากเขตของเมืองอื่นต้องเข้ามายุ่งเรื่องของตราสัญลักษณ์สีน้ำเงินสุดยุ่งยากนี่สักเท่าไหร่นัก

 

ซึ่งทางด้านเซซิลที่เห็นว่าอัลเบิร์ตมีท่าทีผิดปกติก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเขากลับไป

 

“หมายถึงพวกที่แต่งตัวเหมือนกับหมอน่ะหรอ…? ไม่มีนะ…”

 

“หืม? แปลกแฮะ… ผ้าพันแผลของคนเมื่อกี้นี้เหมือนจะเพิ่งพันเสร็จใหม่ๆ ซะด้วยสิ”

 

“อ่ะๆ พวกพี่กำลังพูดถึงสองพ่อลูกที่จองที่อยู่ตรงนู้นอยู่หรือเปล่าน่ะ ถ้าใช่ล่ะก็ผ้าพันแผลพวกนั้นเป็นฝีมือหนูเองล่ะ~”

 

ในขณะที่อัลเบิร์ตกำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่ฟังดูร่าเริงดังขึ้นมา ซึ่งเมื่ออัลเบิร์ตและเซซิลหันไปมอง พวกเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวผมสีดำยาวยุ่งๆ ที่มีนัยน์ตาสีเหลืองในชุดเสื้อกาวน์คล้ายๆ กับของเอริกะที่กำลังแกว่งแขนเสื้อยาวเกินตัวที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเธอไปมาอยู่ด้วยท่าทีอารมณ์ดี

 

“ไงล่ะ ฝีมือพันแผลของหนูสุดยอดไม่แพ้พวกหมอในเมืองเลยใช่มั้ยล่า~~”