ยามพบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้ ชิงอวี่เพียงคิดว่าพลังวิญญาณในสถานที่แห่งนี้คงจะอุดมสมบูรณ์มาก ดังนั้นการบำเพ็ญเพียรที่นี่จึงได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็เท่านั้น

ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องถามของเด็กหนุ่มเสียงเบา “ท่านพี่ ท่านตื่นหรือยัง?”

ชิงอวี่เดินมาเปิดประตู พบกับเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลายืนสง่าอยู่ด้านนอกห้อง เมื่อสักครึ่งปีก่อนเขายังตัวเตี้ยกว่าชิงอวี่อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับสูงขึ้นมาก สูงกว่านางกว่าหนึ่งช่วงหัวแล้ว

“มีอะไรหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้ม

ชิงเป่ยแสร้งทำเป็นยิ้มลึกลับ บนใบหน้าฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อย “ข้ามีเรื่องน่าสนใจมาบอกท่าน”

“หืม?”

“เป็นเรื่องการประลองภายในทุกสามเดือนของสำนักละอองหมอกที่จะจัดขึ้นในอีกสองวัน ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้จะไม่จัดภายในสำนัก ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงคิดจะไปดูการประลอง ท่านอยากไปหรือไม่?” ชิงเป่ยถาม ใช้ดวงตาโต ๆ จ้องมองนางด้วยความคาดหวัง

ชิงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้ต่างหากที่อยากไป! แต่แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น นางก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้

“ในเมื่อเจ้าอยากไปก็ไปเถอะ ข้าจะได้ไปสัมผัสความแข็งแกร่งของสำนักละอองหมอกล่วงหน้าด้วย” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเบา จากนั้นเอ่ยต่อ “แต่เราต้องปลอมตัว จะไปเช่นนี้ไม่ได้”

อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็เป็นได้ และหากโชคร้ายพบเยี่ยนหนิงลั่วเข้าคงจะหนีปัญหาไม่ได้แน่

ในตอนนี้ ภายในอาคารประชุมของสำนักละอองหมอกกำลังปะทุไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ

“หรงอี้ เจ้าช่างโอหังนัก!? กล้าเอ่ยสัญญาที่ขัดกับกฎสำนักออกมา อีกทั้งไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเจ้า เจ้ายังเคารพท่านเจ้าสำนักอยู่หรือไม่!?”

ในตอนนี้ภายในหอประชุมขนาดใหญ่ ชายชุดคลุมเขียวที่นั่งอยู่บนที่สูงกำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย ที่มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มน่ามอง หากแต่กลับอ่านสีหน้าเขาไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด

ผู้อาวุโสผู้มีอำนาจทั้งสิบสองนั่งอยู่ริมฝั่งซ้ายขวาเบื้องล่างลงมา และที่พื้นคือชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังยืนหลังตรง สีหน้าสำรวมสงบนิ่ง คล้ายกับไม่ถูกคำตำหนิว่ากล่าวเมื่อครู่ทำให้สะเทือนอารมณ์แม้แต่น้อย เขาพลันเอ่ยตอบช้า ๆ “ข้าไม่คิดว่าวิธีรับมือสถานการณ์ของข้าผิดพลาดแต่ประการใด ตอนนั้นอยู่ในยามคับขัน นับเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่ข้าคิดได้แล้ว”

ยามชายวัยกลางคนที่เปิดปากตำหนิชายหนุ่มคนเมื่อครู่เห็นท่าทางมั่นคงเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่ม เขาก็ยิ่งโกรธจัดกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงดังขึ้น “นี่มันพวกขี้แพ้! เจ้ายอมก้มหัวทั้งที่ยังไม่คิดสู้ให้พวกคนป่าเถื่อนนั่นได้อย่างไร? เจ้าเป็นศิษย์สายหลักของสำนัก ช่างน่าละอายนัก!”

ใบหน้าหรงอี้ไร้อารมณ์ใด เพียงแต่เงยหน้ามองชายวัยกลางคนที่กำลังเดือดดาลนิ่ง “ผู้อาวุโสจินหมายความว่าศิษย์สำนักจำต้องต่อสู้กับแปดปีศาจแดนสีเลือดจนตัวตาย ไม่ต้องใส่ใจศิษย์สายหลักอีกสิบชีวิตที่อยู่กับข้าตอนนั้นเลยใช่หรือไม่?”

“หาข้ออ้างให้กับความขี้ขลาดของตนเอง!” ผู้อาวุโสจินเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธขึ้ง

“หากผู้อาวุโสยืนกรานจะเชื่อเช่นนั้น ศิษย์ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะพูดค้าน” หรงอี้ตอบ จากนั้นหันหน้ามองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุด “ท่านเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือคิดหาทางรับมือกับแปดปีศาจแดนสีเลือด แม้ข่าวลือเรื่องพวกเขาจะลือกันว่าน่ากลัวนัก บางอย่างอาจเป็นเรื่องที่พูดเกินจริงไปอย่างนั้น แต่ข้าเห็นกับตาว่าวิธีที่พวกเขาใช้สังหารคนทั้งลึกลับและแปลกประหลาด ศิษย์สำนักละอองหมอกไม่อาจสู้ได้เลย ต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนั้นมีฝีมืออย่างแท้จริง”

มุมปากชายชุดคลุมเขียวยิ่งเผยรอยยิ้มลึกขึ้น น้ำเสียงนุ่มลึกดังขึ้น “เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าคิดว่าเจ้าคงมีความคิดในใจแล้วสินะ”

“เบื้องหน้าแล้วการประลองในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อนำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่หนึ่งร้อยอันดับแรก แต่ข้ารู้ว่าลึก ๆ แล้วทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นการขับไล่เหล่ากาฝากที่แฝงอยู่ในสำนักออกไป ผู้ที่รั้งอยู่ต่อไปได้ก็จะนับเป็นศิษย์ที่เหมาะสม แสดงให้ศิษย์หน้าใหม่ที่จะได้เข้าร่วมสำนักเราเห็นถึงความแข็งแกร่งต่อไป ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสดีของเรา” หรงอี้หน้าตาไม่โดดเด่นมากนัก แต่มีท่าทีเฉียบขาดและใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูมั่นคง มันกำลังคลี่ยิ้มมีความนัยอยู่ “เราใช้แปดปีศาจแดนสีเลือดเป็นเครื่องมือประเมินศิษย์ในสำนักได้ จะได้ดูว่ามีใครที่มีฝีมือที่แท้จริงอยู่บ้าง”

ปากกล้ายิ่งนัก! แปดปีศาจแดนสีเลือดที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่จะถูกใช้เป็นเครื่องประเมินฝีมือเหล่าศิษย์ระดับล่างงั้นหรือ หากคำพูดเหล่านี้เล็ดลอดออกไปได้คงจะเกิดความวุ่นวายไม่น้อย คนผู้นี้พูดสิ่งใดไม่ยั้งคำเลยกระมัง?

สิ้นคำเขา ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือด บ้างประหลาดใจกับความกล้าหาญของการตัดสินใจเช่นนี้ บ้างบอกว่าชายหนุ่มเพียงเอ่ยเรื่องเพ้อฝันไร้สาระเท่านั้น

ชายที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลักหัวเราะเสียงต่ำออกมา ชั่วอึดใจหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “หรงอี้เอ๋ยหรงอี้ เจ้าช่างรู้ใจท่านเจ้าสำนักที่สุดจริง ๆ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอย่าได้ปิดบังแผนการนั้นเชียว”

“ศิษย์จะทำให้ดีที่สุด” หรงอี้กล่าวพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย

“เช่นนั้นข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ” ชายชุดคลุมเขียวพลันยกมือขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ชายหนุ่มจากไปได้

หรงอี้ถอยออกมาแล้วเดินจากไปทันที

หลังจากเขาเดินออกไปแล้ว ผู้อาวุโสจินที่กล่าวตำหนิเด็กหนุ่มไปเมื่อก่อนหน้าก็ขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดท่านจึงตามใจหรงอี้เช่นนี้? ครั้งนี้นับว่าเขาเอาสำนักละอองหมอกไปเสี่ยงนัก!”

เหตุผลที่แท้จริงที่เขาโกรธเคืองมากไม่ใช่เพียงเรื่องที่หรงอี้ขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้ารับมือกับศัตรูอย่างที่เขากล่าวไปเบื้องต้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะศัตรูครั้งนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่หรงอี้กลับยอมโอนอ่อนให้อีกฝ่ายอย่างไรเหตุผล หากสุดท้ายแล้วศิษย์สำนักละอองหมอกทั้งหมดพ่ายแพ้แก่คนกลุ่มนั้นไป เขาเกรงว่าสำนักจะเสื่อมเสียชื่อเสียงและไร้ที่ยืนในดินแดนไปในที่สุด

“ผู้อาวุโสจินกังวลสิ่งใดกัน? ท่านกลัวข่าวลือพวกนั้นจริง ๆ หรือ หรือท่านคิดว่าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนเช่นพวกเราจะไม่สามารถรับมือกับพวกคนเถื่อนไม่กี่คนที่มาจากสุดทางทิศตะวันออกงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น พูดไปมือก็ลูบเคราไป

ผู้อาวุโสจินได้ยินก็ไม่ตอบโต้ หากแต่เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ผู้อาวุโสโม่อาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในวันนั้นมีศิษย์เฝ้าประตูรอดมาเพียงสามคนเท่านั้น คนหนึ่งยังไม่ได้สติด้วยมีบาดแผลหนัก และแม้อีกสองคนจะไม่ได้บาดเจ็บหนักหนาอันใด แต่ก็เสียสติไปทั้งคู่”

แล้วมีศิษย์สำนักละอองหมอกกี่คนที่เป็นหน่ออ่อนที่อ่อนแอบ้าง?

คนที่มีความสามารถเพียงปานกลางย่อมไม่มีโอกาสเข้าสำนักมาได้ หนึ่งในการทดสอบเข้าสำนักคือการทดสอบความกล้าทางจิตใจ หากใครไม่อาจผ่านการทดสอบไปได้ก็จะถูกคัดออก

เช่นนั้นแล้วแปดปีศาจแดนสีเลือดต้องน่าขวัญผวาถึงขั้นไหนจึงสามารถทำให้ศิษย์สองคนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจไม่น้อยจนเสียสติได้

เมื่อผู้อาวุโสจินเอ่ยจบ บรรยากาศภายในห้องโถงก็เคร่งเครียดขึ้นในพลัน

“พวกท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้ามอบหมายให้หรงอี้ดูแลเรื่องนี้แล้ว ข้าย่อมมีหนทาง” ชายบนที่นั่งสูงกล่าว นัยน์ตาฉายแววฉลาดเฉลียวเช่นเคย “อีกทั้งพวกท่านทั้งหลายลืมไปแล้วหรือว่าสำนักละอองหมอกไม่เคยขาดนักสู้ เพียงแค่มีเจ้าหนูซู่หลีม่อที่โค่นร้อยคนได้ด้วยตัวคนเดียวก็มีพลังที่เรายังไม่เคยสัมผัสถึงแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงอันดับที่อยู่เหนือเขา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งสำนักละอองหมอกขึ้นที่มีคนมาท้าทายพวกเราถึงหน้าประตูเช่นนี้ ข้าคิดว่าคงถึงเวลาให้ศิษย์ทั้งหลายได้ยืดเส้นยืนสาย ขยับร่างกายและเส้นพลังปราณเสียหน่อยแล้วกระมัง”

“อีกอย่าง…..” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอยขึ้นยิ้ม ๆ “ผู้อาวุโสจิน อย่าแกล้งหรงอี้อีกเลย เด็กคนนั้นเป็นคมในฝัก เมื่อห้าปีก่อนตอนเขาเข้ามายังสำนักละอองหมอก เขาเอาชนะคนขึ้นมาได้จนถึงอันดับที่ยี่สิบเอ็ด ก่อนจะยึดอันดับนั้นไว้เหนียวแน่น ไม่ขึ้นไม่ลงอีก ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?”

ผู้อาวุโสจินชะงักไป นึกย้อนกลับไปในหลาย ๆ ครั้งที่เขาคิดว่าท่านเจ้าสำนักยอมลงให้หรงอี้จนมากเกินไป จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงตะลึง “เจ้านั่นจะซ่อนพลังที่แท้จริงไว้งั้นหรือ?”

“ไม่เพียงแต่พลังที่แท้จริงเท่านั้น!” นิ้วเรียวงามของชายชุดคลุมเขียวลูบคางตนอย่างครุ่นคิด ดูจะโศกเศร้าอยู่ในที “เมื่อตอนนั้นเขาบอกข้าว่าติดอันดับหนึ่งในยี่สิบมันน่าเบื่อเกินไปเพราะแรงกดดันสูงมาก อีกทั้งยังต้องรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ มากมายเกินไป ดังนั้นจึงรั้งอยู่ที่อันดับยี่สิบเอ็ดแทน”

แต่ชายหนุ่มกลับไม่คิดว่าท่านเจ้าสำนักเองก็ชั่วร้ายนัก ไม่อยากขึ้นอันดับงั้นหรือ? ย่อมได้ เช่นนั้นศิษย์สายหลักคนอื่น ๆ ทั้งหมดยกให้เจ้าที่เป็นศิษย์พี่จัดการก็แล้วกัน คอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่

และเพราะท่านเจ้าสำนักรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยที่โยนบทศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์สายหลักทั้งหมดให้หรงอี้ พวกศิษย์ในยี่สิบอันดับก็ไม่อยากรับหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ไป ดังนั้นงานหนักนี้จึงต้องหล่นใส่บ่าหรงอี้ไปในที่สุด ดังนั้นที่เขาปล่อยปละหรงอี้บ้างเป็นบางครั้งจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้

เพียงพริบตาเดียว วันประลองภายในก็มาถึง

เป็นเพราะสถานที่จัดการประลองในครั้งนี้อยู่นอกสำนัก จึงอนุญาตให้คนนอกเข้าชมการประลองด้วย หลายคนต่างรีบร้อนเดินทางมาจับจองที่นั่งเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่เมื่อมาถึงก็แทบจะกรีดร้อง

เพราะสถานที่จัดการประลองนั้นตั้งอยู่ในสามสถานที่สุดอันตรายบนแดนมุกหยก ป่าโคลนสาบสูญ นั่นเอง

ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ไปแล้วไปลับไม่กลับมา เมื่อเข้าไปแล้วจะจับทิศทางไม่ได้ หากไม่มีฝีมืออยู่บ้างก็แนะนำว่าอย่าเข้าไปตายเสียดีกว่า แม้มันจะเป็นป่ารกชัฏ แต่เมื่อผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำยาวร้อยเมตรไปได้แล้ว พื้นที่ขนาดใหญ่ตรงกลางจะนับว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

สำนักละอองหมอกเลือกสถานที่นี้เป็นเพราะ ประการแรก สามารถทดสอบทักษะของเหล่าศิษย์สำนักได้ ประการที่สอง เพื่อลดจำนวนผู้ชมที่จะเข้าชมการประลองให้ได้มากที่สุด เพราะสุดท้ายหากพวกเขาถูกแปดปีศาจแดนสีเลือดฆ่าล้างทั้งสำนักจริงก็คงจะไม่น่ามองเท่าไรนัก

ชิงอวี่ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีนัยน์ตาหงส์น่าหลงใหล กอปรกับดวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่งดงามจนมองแล้วต้องตะลึง

ชิงเป่ยเป็นน้องชายฝาแฝดของนาง แม้จะหน้าตาเหมือนกันเจ็ดถึงแปดส่วน หากแต่นัยน์ตาของเด็กหนุ่มกลับใสกระจ่างและอ่อนโยน มีใบหน้าหล่อเหลา นับเป็นเด็กหนุ่มที่ดูสุภาพ ไม่เหมือนกับความงามที่ดูชั่วร้ายลวงใจคนของชิงอวี่

หากเปรียบกันด้านอื่นร่วมด้วย ทั้งบุคลิกและท่าทางของคนทั้งสองยิ่งแตกต่าง คนหนึ่งสะอาดสะอ้าน ดูสูงส่งคล้ายเซียนตกสวรรค์ ส่วนอีกคนคล้ายปีศาจยั่วเสน่ห์

ทั้งสองดึงสายตาจากคนให้หันมามองได้มากพอควร ต่างคิดในใจว่าคุณชายน้อยมีใบหน้างดงาม เจริญหูเจริญตายิ่งนัก มองปราดเดียวก็ดูออกมาเด็กทั้งสองคนมีชาติกำเนิดสูงส่ง คงมาจากตระกูลขุนนางสักตระกูลเป็นแน่ แต่อย่างไรก็ยังกังขาว่าคนทั้งคู่จะมีความสามารถเดินทางไปถึงเขตกลางของป่าโคลนสาบสูญได้หรือไม่

ชิงเป่ยมองป่าเบื้องหน้าที่มีหมอกลงจาง ๆ ก่อนเอ่ย “คงไม่เกิดเรื่องเหมือนตอนหุบเขาพญายมกระมัง? ทางเข้ามันจะหายไปด้วยหรือไม่?”

“ฮ่า ๆ ตรงกับคำกล่าวที่ว่างูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปีจริง ๆ” ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ “ที่นี่ไม่มีอสูรวิญญาณกลายพันธุ์หรอก แต่อาจจะมีพืชพันธุ์กลายพันธุ์ที่คล้ายกับดอกตรึงจันทร์ในสวนสมุนไพรของข้า มีเพียงพืชเท่านั้นล่ะ มีเพียงอันตรายตามธรรมชาติเท่านั้น”

ชิงเป่ยพยักหน้า “ข้าเดินนำหน้าคอยหาทางเดิน ส่วนท่านก็คอยดูว่าพลังของข้าในตอนนี้จะสามารถนำพวกเราผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำร้อยเมตรไปได้หรือไม่”

เมื่อการฝึกครั้งก่อน ด้วยมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดังนั้นอยู่ภายในหุบเขาไม่กี่วันจึงออกมาแล้ว อีกทั้งสิ่งที่พวกนางพบเมื่อตอนนั้นส่วนมากเป็นอสูรวิญญาณดุร้าย ไม่ใช่อันตรายที่พบได้ทั่วไปตามป่าเขา ดังนั้นชิงเป่ยจึงอยากลองลงมือดู

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะระวังหลังให้”