นที่ 31 คำขอจากวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟ

———

สองสัปดาห์หลังจากที่จักรพรรดินีได้มีการประกาศถึงการสิ้นสุดของกาฬมรณะ

แม้ว่าจะเกิดความวุ่นวายจากผลพวงของโรคระบาดอยู่ภายในเมืองหลวงอยู่บ้าง แต่งานเทศกาลสินค้าแซงต์เฟลิฟก็ยังคงสามารถคงแผนการจัดงานได้ตามเดิมและฉากการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนปกติก็เริ่มกลับมา

กลับไปยังเรื่องร่องรอยการต่อสู้ของฟาร์มากับคามิวที่ชั้นสี่ของร้านจนถึงซึ่งเกิดเป็นรูขึ้นมาร่องรอยความเสียหายได้ถูกซ่อมแซมโดยช่างฝีมือจำนวนมากในหนึ่งสัปดาห์ถัดจากนั้น ส่วนหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ฟาร์มาทำไว้บริเวณหน้าร้านขายยานั้นก็ได้ถูกถมโดยผู้ใช้ศาสตร์แห่งดินที่ส่งมาโดยจักรพรรดินี อาคารบ้านเรือนและร้านค้าที่ได้รับความเสียหายจากเหล่าครูเซเดอร์ของราชอาณาจักรเนเดลนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยช่างฝีมือจำนวนมากที่ถูกจ้างด้วยงบประมาณของหลวงทั้งสิ้นรวมไปถึงค่าวัสดุด้วย

ในช่วงบ่ายวันหนึ่งที่อากาศกำลังดี

ฟาร์มาได้เดินอยู่ภายในตลาดนั้นพร้อมกับลอตเต้และเอเลน ตลาดแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและสงครามของเหล่าพ่อค้าที่ต่างพยายามดึงดูดลูกค้ามายังร้านของตน ทั้งสามที่ทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วได้เดินไปซื้อไก่ย่างรสเผ็ดและมันฝรั่งหวานที่ค่อนข้างจะหายากและเอเลนก็ได้หยุดอยู่บริเวณหน้าร้านขายสมุนไพร

「อ๊ะ ดูนั่นสิสิ่งนี้มัน〜! ปีนี้ก็ยังเหลืออยู่สินะ สมุนไพรนาวาร์ รู้หรือเปล่ากว่าจะหามันมาได้นี่ยากมากๆเลยนะ〜」

เอเลนเห็นสมุนไพรนั้นและซื้อมันทันที สำหรับแพทย์โอสถแล้วสมุนไพร โพชั่น เครื่องเทศที่ถูกรวบรวมมาจากทั่วโลกไว้ที่แห่งนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะสามารถหาซื้อสินค้าต่างๆได้ง่ายโดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล

มาทางเด็กผู้หญิงผมสีชมพูที่หยุดอยู่บริเวณหน้าแผงลอยเค้กและไม่ขยับไปไหนเลย ดูท่าเธอกำลังจะพูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างจริงจังมาก

「ฉันขอถามอีกครั้งนะคะ ว่าเค้กที่นี่มีรสอะไรบ้าง?」

เธอกำลังเลือกเค้กเหล่านั้นด้วยความระมัดระวัง รวมไปถึงความพอดีในการอบของพวกมันด้วย

「ก็มีส้มกับถั่วน่ะ」

「ที่จริงฉันสนใจพวกเค้กลูกเกดนะคะ แต่เอาเถอะฉันเอาสองชิ้น ทั้งสองรสเลยค่ะ!」

ลอตเต้พยายามระมัดระวังในการใช้เงินที่เธอได้รับมาจากการทำงานที่ร้านขายยาต่างโลกซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเธอก็ได้ซื้อของไปให้แม่ของเธอและเหล่าข้ารับใช้ที่คฤหาสน์เมดิซิสด้วยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะหาซื้อสินค้าหลายๆอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นในงานเทศกาลสินค้าให้คิดว่าเธอพยายามจะทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางก็ว่าได้

「ถ้าอย่างงั้นผมขอไปดูรอบๆนี้ก่อนนะ」

ฟาร์มาได้เดินซื้อของในขณะที่เหล่าสาวๆกำลังมีความสุขกับการใช้เงินของตนอยู่

———–

「ผมมีของขวัญมาให้ครับ」

เพื่อเป็นการขอบคุณเหล่าผู้คนที่พยายามกันอย่างหนักในช่วงที่เกิดโรคระบาดขึ้นมา ฟาร์มาได้เลือกซื้อของขวัญเพื่อจะนำไปมอบให้กับคนเหล่านั้น สิ้นเสียงนั้นลอตเต้ที่ได้ยินก็ถึงกับยืดตัวขึ้นมาและตาของเธอก็เต็มไปด้วยประกาย ก่อนที่ฟาร์มาจะมอบถุง ถุงหนึ่งให้กับเธอ

「สำหรับพวกคุณ ผมต้องขอขอบคุณทั้งสองคนจริงๆที่คอยสนับสนุนผมมาจนถึงตอนนี้ สิ่งนี่ถือว่าแทนการขอบคุณจากตัวผมเอง」

ผู้คนจะไม่มีทางรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลยหากพวกเขาไม่พูดมันออกมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฟาร์มาคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอมาว่าควรจะพูด “ขอบคุณ” กับเหล่าผู้คนเสมอมา

ถึงแม้ทั้งคู่จะประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็เปิดถุงที่ดูสวยงามนั้นออกมา

ทางด้านเอเลนนั้นได้รับน้ำหอมซึ่งเป็นที่นิยมภายในกลุ่มของชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ ส่วนลอตเต้นั้นได้รับเป็นผ้ากันเปื้อนที่ดูน่ารักซึ่งถูกถักทอขึ้นมาอย่างประณีต ไม่เพียงเท่านั้นฟาร์มายังได้เตรียมคทาแห่งเทพราคาแพงที่ถูกออกแบบลวดลายได้เก๋ไก๋พอสมควรให้กับเซดริกที่ทำงานอยู่ที่ร้านอีกด้วย

「ขอบคุณนะ ฟาร์มาคุง ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงกันว่าฉันสนใจน้ำหอมนี่อยู่เหมือนกัน?」

「เพราะมันค่อนข้างเป็นที่นิยมพอสมควรผมเลยคิดว่าเอเลนน่าจะชอบมัน」

เอเลนเริ่มทดลองกลิ่นของมันโดยฉีดลงไปที่ข้อมือก่อนจะแสดงอาการที่พอใจถึงขั้นหลงใหลมันออกมา ดูท่าเธอจะอ่อนไหวต่อกลิ่นที่ออกหวานๆแบบนี้ ฟาร์มาได้เสร็จสิ้นการวิจัยไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

「ก็เพราะแบบนี้แหละนะบางครั้งเธอถึงดูท่าทางเกินเด็กไปหลายขุมเลย」

(เราก็ไม่ใช่เด็กจริงๆนั่นแหละ)

「พอมาคิดถึงเรื่องที่เธอให้ของขวัญผู้หญิงง่ายๆแบบนี้ ฉันละสงสัยจริงๆว่าในอนาคตจะเป็นยังไง ก็หวังว่าเธอจะไม่ไปทำอะไรที่มันอื้อฉาวเข้านะ」

ถึงเธอจะบอกแบบนั้นแต่ท่าทางของเธอก็แสดงออกมาด้วยความปีติยินดีจริงๆ

ตัวฟาร์มานั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่าเขาจะทำมันได้ง่ายๆแบบนี้ แต่เพราะในอดีตนั้นตัวเขาที่ต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อประชุมงานวิจัยและงานทางด้านการศึกษาต่างๆนั้นตัวเขาไม่เคยลืมที่จะพกหรือมอบของที่ระลึกให้กับเหล่าผู้คนที่มาช่วยงานหรือในที่ประชุมเลย และตัวเขานั้นก็ไม่เคยละเลยในเรื่องของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ด้วยจนถึงขั้นมีคนพูดกันเลยว่า ” เซนต์ในด้านการเลือกของขวัญของอาจารย์ยาคุทานิที่สุดยอดจริงๆ”

「ท่านก็รู้นี่คะว่าผ้ากันเปื้อนที่ถูกถักทอไปด้วยลายดอกไม้ที่สวยงามเช่นนี้สามัญชนแบบฉันใส่มันไม่ได้หรอกค่ะ!」

แม้ลอตเต้จะดีใจมากก็จริงแต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก่อนจะนำมันกลับเข้าไปในถุงและถอนหายใจ ดูท่าการที่เจ้านายจะซื้อของที่มีการถักทอดีขนาดนี้ให้กับเหล่าข้ารับใช้นั้นถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก

「แล้วฟาร์มาคุงเธออยากได้อะไรบ้างหรือเปล่า? อยากให้เรามอบอะไรให้กลับเป็นการตอบแทนไหม?」

เอเลนเริ่มกังวลเกี่ยวกับของที่พวกเธอจะต้องมอบคืนเป็นการตอบแทน

「ฉันก็อยากจะมอบสิ่งของให้กับท่านคืนเหมือนกันค่ะ〜!」

ลอตเต้ยกมือขึ้นก่อนจะแอบมองไปที่กระเป๋าสตางค์ของเธอและภายในนั้นเริ่มร่อยหรอเข้าไปทุกทีดูเหมือนว่าจะเป็นผลมาจากการซื้อขนมเป็นจำนวนมากของเธอก่อนหน้านี้

「ไม่เป็นไรหรอกของที่ผมต้องการผมก็ซื้อมาหมดแล้วด้วย ทั้งเครื่องเทศแล้วก็พวกกระดาษคุณภาพดี」

ฟาร์มาพูดแบบนั้นก่อนจะแสดงถุงที่เต็มไปด้วยของที่เขาซื้อมา

「แหม ก็จริงนะ เธอซื้อมาเยอะแยะเลยนี่」

ฟาร์มาที่ไปเจอเข้ากับกระดาษคุณภาพดีที่อยู่ภายในตลาดนั้นได้ซื้อมันทันทีโดยไม่รีรอเป็นจำนวนมาก เพราะมันสามารถนำไปใช้สำหรับการบันทึกการทดลองหรือเขียนหนังสือของเขาซึ่งคุณภาพของมันนั้นมีอายุการใช้งานคงทนได้หลายร้อยปีเลยทีเดียว

「ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วพวกเครื่องเทศสมุนไพรล่ะ? เธอกำลังจะทำยาตัวใหม่ขึ้นมางั้นเหรอ? ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องยา ยา ยาตลอดเลยจริงๆนะ! ก็สมกับชื่อฟาร์มาที่ได้รับมานั่นแหละนะ ขยันขันแข็งซะจริงๆเล๊ย〜」

เอเลนพูดออกมาด้วยความประทับใจอยู่บ้าง จนทำให้ทางฟาร์มารู้สึกผิดอยู่บ้าง

(เอ่อจริงๆแล้วผมแค่อยากทำแกงกะหรี่เองนะ…)

แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่อาจจะบอกออกไปได้ เพราะเขาสามารถหาพวกเครื่องเทศอย่างยี่หร่า ขมิ้นจากบริเวณแผงลอยภายในตลาดได้ดังนั้นเขาจึงได้ว่างแผนปฏิบัติการลับนั่นคือการทำแกงกะหรี่บริเวณห้องปฏิบัติการของเขาที่ชั้นสี่ของร้านขายยา แต่ถึงแม้ที่โลกใบนี้จะมีพวกเครื่องแกงอยู่ แต่มันกลับไม่มีแกงกะหรี่ที่ลักษณะคล้ายกับของญี่ปุ่นอยู่บนโลกใบนี้จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่บ้างพวกเขาน่าจะคิดถึงของอย่างแกงกะหรี่บ้างนะถ้ามีเครื่องเทศกันเยอะขนาดนี้

(อาจจะมีปัญหาเรื่องของกลิ่นอยู่บ้าง..ว่าแต่เราไม่มีข้าวนี่หน่าถ้าเป็นแบบนี้น่าจะต้องหันไปอบนานโดยใช้แป้งแทนสินะ….……)

ฟาร์มานั้นคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำสิ่งนั้นออกมาแม้มันจะยังอยู่ในขั้นตอนที่เป็นแผนลับของเขา โดยการใช้ความรู้ภายในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาเพราะสายที่เขาเรียนมาโดยตรงจริงนั้นคือทางด้านของอาหารเสริมและโภชนาการจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีความรู้เรื่องการทำอาหารและการทดลองในเรื่องนี้ แม้ในทางปฏิบัติแล้วเขาจะไม่ค่อยได้ใช้ทักษะในการทำอาหารเลยแต่ฝีมือของเขานั้นก็ถือว่าดีพอสมควรถึงแม้จะไม่ได้ฝึกฝนมากนัก

(พอกลับมาคิดเรื่องกลิ่น บางที่คงเป็นไปไม่ได้สินะที่จะปิดเรื่องปาร์ตี้แกงกะหรี่ไว้เป็นความลับ)

แผนของฟาร์มาตอนนี้คือเขาอยากจะเป็นเจ้าภาพในงานปาร์ตี้แกงกะหรี่นั่นเอง

หลังจากพ้นช่วงเวลาอาหารกลางวันไปทั้งสามก็กลับไปยังร้านขายยาและฟาร์มาได้ทำการมอบของขวัญให้กับเซดริกที่พูดกับเขาไปก่อนหน้านี้ว่า 「ผมไม่มีของที่อยากได้ในตลาดนั้นหรอกขอรับ」มันเป็นคทาแห่งเทพที่ยอดเยี่ยมซึ่งติดอำพันสีเหลืองไว้ถึงสองก้อนเลยทีเดียว

「คุณเซดริกครับ ผมขอขอบคุณที่คุณคอยช่วยเหลือผมเสมอมานะครับ สิ่งนี้ถือว่าเป็นของแทนความรู้สึกของตัวผมนะครับ」

「หืม……สิ่งนี้! จะดีเหรอครับ? จากที่ผมเห็นนั้นมันเป็นของที่มีราคาแพงเอามากๆเลยนะ ครับคทาแห่งเทพคุณภาพสูงขนาดนี้แถมตัวไม้นั้นยังมาจากต้นดัลวอลอีกต่างหากไหนจะอำพันสีเหลืองที่ประดับไว้นั่นอีก ทั้งการออกแบบที่สง่างามเช่นนี้ มันคงสามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้ได้ถึง150เปอร์เซ็นต์เลยนะครับ」

คำกล่าวถึงสรรพคุณของคทาแห่งเทพเล่มนี้ซึ่งออกมาจากปากของเซดริกอย่างกับกระสุนแมชชีนกัน แค่ท่าทางของเขานั้นก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่าตัวเขานั้นก็อยู่ในสายผู้สะสมคทาแห่งเทพอย่างบ้าคลั่งแบบเอคณบดีเพราะฟาร์มาไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแนวนี้เท่าไหร่นักตอนไปที่ร้านจึงสั่งกับทางร้านว่า 「ขอคทาแห่งเทพที่มีความคงทนในการใช้งานแล้วก็คุณภาพสูงที่สุด」

「ถะ-ถ้าคุณชอบก็ดีแล้วครับ」

เซดริกไม่ได้ใช้คทาแห่งเทพเพียงแค่เป็นตัวนำร่ายมนตร์เท่านั้นแต่เขายังใช้มันช่วยในการพยุงการเดินของเขาด้วยเพราะคทาแห่งเทพอันเก่าของเขานั้นค่อนข้างจะมีด้ามจับที่เสื่อมสภาพไปพอสมควรแล้วจึงไม่แปลกที่เขาจะดีใจมากๆกับเรื่องนี้

「ครับ ผมถูกใจมันเสียจริงๆ ทีนี้ผมก็จะได้พยายามฝึกฝนพลังแห่งเทพของตนด้วยคทาแห่งเทพเล่มนี้แหละ」

เซดริกผู้มีความสามารถในการรักษาผืนดิน อีกทั้งยังคอยช่วยดูแลสวนสมุนไพรภายในพื้นที่ของตระกูลเมดิซิสด้วย แม้ธาตุดินนั้นจะไม่ค่อยมีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีนักแต่เขาก็บอกกับฟาร์มาว่าจะพยายามฝึกฝนมันให้มากขึ้นนับจากนี้ด้วยคทาแห่งเทพที่เขาได้รับมาด้วยรอยยิ้ม

_________________________________

ในช่วงบ่ายที่ร้านขายยานั้นยังเปิดทำการ ผู้ช่วยคนหนึ่งของบรูโนได้เดินทางมาที่แห่งนั้นด้วยม้า

「ท่านฟาร์มาครับ ขอความกรุณาท่านมายังวิทยาลัยยาในช่วงเย็นของวันนี้จะสะดวกหรือเปล่าครับ? ท่านผู้อำนวยการได้เรียกตัวท่านเข้าพบครับ」

「ท่านพ่องั้นเหรอครับ? มันเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงขนาดรอเวลากลับไปถึงบ้านค่อยคุยไม่ได้เลยเชียวงั้นเหรอ?」

แม้ว่าพ่อของฟาร์มานั้นจะกลับบ้านมาดึกเสมอ แต่ในช่วงเช้านั้นพ่อของเขาก็ยังพอมีเวลาที่จะคอยรับฟังตารางงานของเขาตลอดแต่เพราะคำขอนั้นได้ถูกส่งมายังวันนี้ ฟาร์มาจึงต้องทำการตัดสินใจโดยทันที

「ท่านเอเลโอนอร์ก็เช่นกันนะครับ」

「ฉันด้วยเหรอ? ไม่จริงน่า」

เอเลนได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนถึงกับสะดุ้งขึ้นมาและมีอาการที่ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด การเรียกตัวเข้าพบอย่างกะทันหันของอาจารย์ตนแบบนี้ในมุมมองของแพทย์โอสถขั้นหนึ่งก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่ดี

「ที่จริงผมก็วางแผนเกี่ยวกับเรื่องดูความคืบหน้าของงานวิจัยเชื้อราที่ศาสตราจารย์แคสเปอร์ดูแลอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ผมจะไปที่วิทยาลัยยานั้นเองครับ」

ฟาร์มาเปิดดูสมุดตารางงานและตรวจสอบตารางงานของเขา ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยตารางงานที่หนาแน่นอย่างสมบูรณ์ ทั้งเรื่องกิจการร้านขายยา การร่วมมือเรื่องการวิจัยกับศาสตราจารย์แคสเปอร์ เรื่องการยืนยันในส่วนของการก่อสร้างศูนย์วิจัยที่มาร์เชล และอื่นๆอีกมากมาย โดยกำหนดการนั้นได้ถูกลงบันทึกไว้อย่างครบถ้วน นอกจากนั้นยังมีเรื่องงานที่ต้องไปจัดการที่ราชอาณาจักรเนเดล ซึ่งในช่วงท้ายนั้นยังเหลือเรื่องของการเขียนตำรายาอีกด้วย

「โอ้..ขอบคุณพระเจ้า」

ดูเหมือนผู้ช่วยคนนั้นจะโล่งใจ

「หรือว่าจะมีเรื่องโรคใหม่ที่เข้ามา?」

ฟาร์มาถามเพื่อจะได้รู้ว่าเขาต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

「ไม่จำเป็นต้องนำสิ่งใดไปหรอกครับ」

「งั้นเหรอครับ?」

“ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องอะไรกันล่ะ/ครับ?” ฟาร์มาและเอเลนทำได้แต่เอียงศีรษะเท่านั้น

…━━…━━…━━…

ในช่วงเย็นฟาร์มาและเอเลนที่ปิดร้านขายยาเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อยได้เดินทางไปยังวิทยาลัยยาแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟด้วยม้า

ณ ที่แห่งนั้น

หากจะกล่าวถึงในปัจจุบันนี้แพทย์โอสถหลวงของจักรวรรดิที่ทางราชสำนักยอมรับนั้นมีเพียงแค่4 คนเท่านั้น (แพทย์โอสถที่สามารถตรวจอาการเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงได้รวมไปถึงจักรพรรดิ) แน่นอนว่ารวมถึงฟาร์มาด้วย และมีแพทย์โอสถขั้นหนึ่งเพียงแค่ 21 คน ส่วนทางแพทย์โอสถขั้นสองนั้นก็มีเพียงแค่จำนวนหยิบมือซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาสามารถตรวจอาการและทำการรักษาเหล่าชนชั้นสูงได้ เพราะมาตรฐานของทางจักรวรรดินั้นถือว่าสูงพอสมควรและเข้มงวดเป็นอย่างมากนั่นหมายความว่าเหล่าแพทย์โอสถที่จบจากทางวิทยาลัยยานี้ได้ก็จะสามารถสมัครสอบแพทย์โอสถขั้นสูงขึ้นไปได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้ใบอนุญาตอีกเช่นกัน ซึ่งอีกทางเลือกหนึ่งนั้นก็คือเดินทางไปยังประเทศอื่นที่มาตรฐานการได้ใบอนุญาตนั้นต่ำกว่าก็มีเช่นกัน

เอเลนซึ่งเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของผู้อำนวยการบรูโนผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในด้านปรุงยาและศาสตร์แห่งเทพ ตัวเธอได้ผ่านการทดสอบด้วยอายุเพียง 15 ปีเท่านั้นและถือได้ว่าตัวเธอนั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก แม้ปัจจุบันตัวเธอนั้นจะไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทางวิทยาลัยแพทย์ยานี้ อาจจะเป็นเพราะตัวเธอนั้นถนัดในด้านการดูแลคนไข้เสียมากกว่าเรื่องการทดลองเธอจึงไม่ค่อยเก่งนักในทางปฏิบัติภายในห้องทดลอง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเธอก็ยังเคยเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเรื่องการทดสอบแพทย์โอสถมาก่อน โดยในขณะนี้ตัวเธอได้รับคำสั่งมาจากบรูโนให้ดูแลในเรื่องของร้านขายยาต่างโลกเสียมากกว่า

ทั้งสวนสมุนไพร อาคารวิจัย ห้องบรรยาย อาคารเรียนศาสตร์แห่งเทพ หอพักนักเรียน โรงอาหารและอื่นๆต่างอยู่ภายในวิทยาลัยแห่งนี้ เมื่อมาถึงยังภายในฟาร์มาและเอเลนได้ลงจากม้าก่อนจะเดินผ่านลานกว้างที่สวยงามซึ่งถูกประดับไปได้น้ำพุขนาดใหญ่ที่มีออร่าของความชุ่มชื่นออกมา เหล่านักเรียนแพทย์ที่รู้จักเอเลนก็ต่างเดินเข้ามาหาพวกเขาและแสดงความเคารพราวกับตัวเอเลนนั้นเป็นไอดอลของพวกเขาเลยทีเดียวอีกทั้งยังมีการขอจับมืออีกด้วย

「เอเลนค่อนข้างดังเหมือนกันนะ」

เห็นได้ชัดเลยว่าเอเลนนั้นมีแฟนคลับอยู่จำนวนมากเมื่อตอนที่เธอกำลังเรียนอยู่

「นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วสินะตั้งแต่จบจากที่นี่ไป〜ฉันละสงสัยจริงๆว่าพวกเขาไปรู้จักฉันมาจากไหน? แต่ก็ช่างเถอะนะ ที่นี่ช่างน่าคิดถึงจริงๆเลยน๊า〜」

ดูท่าเอเลนจะรู้สึกคิดถึงเรื่องของที่เรียนเก่าที่เธอไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน

「พวกเรากำลังรออยู่เลยครับ ท่านเมดิซิส ท่านบอนฟัว」

ผู้ช่วยทั้งสองได้นำพวกเขาไปยังห้องประชุมขนาดใหญ่บริเวณอาคารวิจัย ในจุดนี้ฟาร์มาสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาที่นี่แทนที่จะเป็นห้องผู้อำนวยการ

ห้องประชุมขนาดใหญ่เพดานสูงและมีโคมระย้าแขวนไว้อยู่ ภายในนั้นมีเหล่าสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษอยู่เป็นจำนวนมากแน่นอนว่าทั้งหมดคือชนชั้นสูง

「ดูท่าว่าการประชุมจะเริ่มหลังจากนี้แหละนะ」

เอเลนมองดูสถานการณ์ผ่านช่องประตู พวกเขาทั้งหมดภายในนั้นต่างก็เป็นเหล่าศาสตราจารย์ที่เธอรู้จัก

「บางทีเราน่าจะกลับมาหลังจากเสร็จงานประชุมดีหรือเปล่าครับ? ยังไงพวกเราก็รอได้อยู่แล้ว」

ฟาร์มาถามผู้ช่วยคนนั้นเพราะถ้าการประชุมได้เริ่มต้นขึ้นคงจะเป็นการไม่ดีหากบรูโนเรียกเขามาด้วยเรื่องส่วนตัวในเวลานี้ เพราะตัวเขาที่เป็นผู้อำนวยการนั้นก็ย่อมต้องมีส่วนรับผิดชอบในงานประชุม แน่นอนว่าศาสตราจารย์แคสเปอร์ก็อยู่ภายในห้องนั้น

หรือบางที่เราน่าจะไปเดินเล่นรอบๆนี่ก่อนน่าจะดีนะ..ขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้

「ไม่จำเป็นหรอกครับ ขอเรียนเชิญพวกท่านไปยังด้านในได้เลยครับ ทุกท่านกำลังรอท่านฟาร์มากับท่านเอเลโอนอร์อยู่」

「เอ๋? จะดีเหรอครับ?」

「นี่ ฉันยังไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ?!」

「ทุกๆท่านขณะนี้ท่านฟาร์มาและท่านบอนฟัวได้มาถึงแล้ว!」

หลังจากผู้ช่วยประกาศออกไปด้วยเสียงที่ดังก้องประตูของห้องประชุมก็เปิดออกมาด้วยความรวดเร็ว ซึ่งทำให้สามารถเห็นสภาพได้ทั่วห้องประชุมเลยทีเดียว

「เชิญครับ」

「อ่า ครับ」

ขณะนี้ทั้งฟาร์มาและเอเลนได้ปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าคณาจารย์แล้ว

「ในที่สุดก็มาถึงเสียที」

บรูโนกล่าวออกมา ภายในโต๊ะประชุมโค้งยาวซึ่งมีเหล่าอาจารย์จากทางวิทยาลัยยาและเหล่าศาสตราจารย์ที่มีความสามารถนั่งอยู่และท้ายสุดบรูโนซึ่งเป็นผู้อำนวยการนั้นได้นั่งอยู่บริเวณด้านในสุดของโต๊ะ

「ต้องขออภัยด้วยนะครับ/คะ ที่เข้ามารบกวนขณะประชุมอยู่」

ฟาร์มาและเอเลนกล่าวทักทายพอเป็นพิธีต่อหน้าคณาจารย์

「ที่จริง……」

บรูโนเหมือนไม่ค่อยเต็มใจที่จะพูดนัก

「ผู้อำนวยการครับ」

รองผู้อำนวยการที่มีลักษณะเฉพาะบริเวณหน้าท้องที่ดูเหมือนคนมีจะกินผมของเขานั้นเป็นสีขาว ได้ลุกขึ้นยืน

「พวกเราเข้าใจครับว่าเป็นเรื่องยากที่คนเป็นพ่อจะพูดกับลูกของตน ดังนั้นให้ผมพูดเองเถอะครับ」

ฟาร์มาเตรียมตัวรับฟังสั่งที่รองผู้อำนวยการจะพูดถึงดูเหมือนเขาแม้ว่าท่าทางของเขาก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ตามที

「พวกเราก็ควรจะพูดตรงไปตรงมานะครับในจุดนี้ เพราะทั้งสองคนก็มาถึงแล้วด้วย ทางวิทยาลัยยาของเรานั้นได้ตัดสินใจแล้วว่าพวกเรานั้นจะทำการจัดตั้งแผนกการแพทย์ครบวงจรขึ้นภายในปีหน้า และพวกเรานั้นอยากจะขอให้อาจารย์ฟาร์มาทำหน้าที่สอนในฐานะคณบดีครับ」

「ครับ……?」

ฟาร์มาแทบจะหยุดคิดไปเพราะทุกคนต่างก็ตั้งความคาดหวังต่อตัวเขาเอาไว้

「ก็อย่างที่พวกเราถามไปนั่นแหละครับ ว่าท่านอยากจะมารับหน้าที่ศาสตราจารย์ของทางวิทยาลัยยาของจักรวรรดิหรือเปล่าครับ」

ศาสตราจารย์อีกคนกล่าว

「และพวกเราก็อยากจะถามคุณบอนฟัวเช่นกันในการเข้ามาเป็นผู้ช่วยอาจารย์เพราะว่าหากท่านเข้ามาแล้วน่าจะมีงานอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องทำ ทั้งในเรื่องของงานวิทยากรด้วยเช่นกันนะครับ」

เอเลนถึงกับเปิดปากด้วยความตะลึง

หลายคนต่างจ้องมองพวกเขาทั้งสองด้วยความคาดหวังและฟาร์มาก็เริ่มคิดอย่างลึกซึ้งว่าตนนั้นควรทำเช่นไรดี

「ผมไม่ได้จบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้นะครับ แถมด้วยช่วงอายุของผมแล้ว ผมเชื่อว่าผมคงไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการของทุกท่านได้หรอกครับ」

แม้ฟาร์มารู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก แต่เขาก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถเข้าสถาบันแห่งนี้และเป็นอาจารย์สอนได้ในทันที

「พวกเราเข้าใจดีว่าท่านนั้นอายุยังน้อยแต่หากมองไปยังผลงานของท่านภายในหนึ่งปีที่ผ่านมาทั้งสิ่งที่เรียกว่ากล้องจุลทรรศน์ การพัฒนายารักษาโรคฝีในท้องที่ไม่มีทางรักษาได้ รวมไปถึงกาฬมรณะที่ท่านเป็นผู้ช่วยหยุดยั้งและคิดค้นยารักษา ด้วยผลงานต่างๆเหล่านี้ย่อมต้องได้รับความชื่นชมอย่างมากอยู่แล้วครับ」

แม้จะไม่เป็นที่ทราบกันว่าจักรพรรดินีนั้นล้มป่วยด้วยโรคฝีในท้องแต่ดูท่าพวกเขาก็พอได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าฟาร์มาเป็นผู้คิดค้นยารักษาโรคนี้

เมื่อรองผู้อำนวยการได้ปรบมือขึ้นมาและกล่าวว่า「มหัศจรรย์จริงๆ!」เหล่าศาสตราจารย์ท่านอื่นๆก็ต่างปรบมือตามกันไป บรูโนได้กระแอมไอออกมาและดูเหมือนเขาจะมองไปยังคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่รังเกียจเล็กน้อย

「นี่ไม่ใช่ความสำเร็จที่คนธรรมดาจะทำได้หรอกนะครับ ท่านคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง」

「ก็จริงนะเพราะเขาเองก็เป็นคนที่สร้างยาจากงานวิจัยของฉันทั้งๆที่ใครก็ต่างไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันทำสักคน」

ศาสตราจารย์แคสเปอร์ก็เช่นกันได้ประกาศออกมาอย่างตื่นเต้น นั่นก็เป็นความจริงว่าฟาร์มานั้นได้แนะนำแนวทางงานวิจัยให้กับเธอ

「ไม่นะครับ นั่นเอ่อ.……」

เสียงสรรเสริญนั้นยังดังก้องอยู่ ฟาร์มาที่ไม่เคยได้รับการยกย่องอย่างจริงจังขนาดนี้มาก่อนเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเพราะจนถึงตอนนี้ยาที่เขาคิดค้นขึ้นมานั้น เขาได้คุยกับพ่อของเขาแล้วว่าผลงานนั้นยกให้พ่อของเขาไป แต่พ่อของเขาอาจจะนำเรื่องนี้ไปเปิดเผยให้คนเหล่านี้ทราบแล้วก็เป็นได้

(ถ้าเป็น……แบบนี้ก็ยากแล้วสิที่จะออกไป)

ฟาร์มารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะกล่าวได้เลยว่าพ่อของเขานั้นคือผู้ที่สนับสนุนฟาร์มามาโดยตลอดและทำให้เขาสามารถทำอะไรได้สะดวกยิ่งขึ้น และในที่สุดเขาก็ใช้อำนาจทางสังคมและตำแหน่งชนชั้นสูงรวมไปถึงผู้อำนวยการปิดล้อมฟาร์มาเอาไว้

「ทุกๆคน ณ ที่แห่งนี้ต่างกล่าวได้เลยว่ามันสมองของพวกเรานั้นต่างอยู่ในระดับท็อปของประเทศนี้แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเรานั้นไม่อาจเอาชนะความรู้และเทคนิคทางการแพทย์แบบใหม่ของท่านได้เลย」

รองผู้อำนวยการกล่าวด้วยความเสียใจ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครค้านเรื่องนี้

พวกเขาทั้งหมดนั้นเห็นด้วยอย่างแท้จริงในเรื่องนี้

「พวกเราทุกคนเข้าใจดีว่านี่มันดูเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัว แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ต้องการเรียนรู้จากท่านภายในสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าท่านจะอายุเพียง 11 ปีแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในเรื่องความรู้ทางด้านการศึกษาเลยแม้แต่น้อย」

บางทีพ่อของฟาร์มาอาจจะบอกเรื่องของฟาร์มาก่อนที่เขาจะเข้ามาที่ห้องประชุมนี้แล้วว่าตัวตนของฟาร์มานั้นคือเทพโอสถหรืออะไรทำนองนั้น ไม่ก็อาจจะมีข่าวลือที่แพร่ออกไปมากมายจนในขณะนี้ฟาร์มาไม่อาจจะปกปิดตัวตนของเขาที่มีความสามารถและพลังเหนือมนุษย์ได้อีกต่อไปแล้ว

เพราะทุกคนในที่นี้ก็ต่างได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าฟาร์มานั้นไม่มีเงาอยู่และแน่นอนว่าเขาคงหาข้อแก้ตัวไม่ได้

ฟาร์มาไม่มีทางให้หนีได้เลยแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเหตุผลที่ไม่มีใครถามฟาร์มาว่า

「ท่านคือเทพโอสถอย่างนั้นหรือ?」ไม่ก็「ท่านไม่มีเงาสินะ」 ซึ่งน่าจะมาจากความตั้งใจของพ่อเขา

(พ่อของเรากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่นะ?)

ฟาร์มาจ้องมองไปยังพ่อของเขาและพยายามทำความเข้าใจความตั้งใจของพ่อเขาแต่เขาก็ไม่อาจจะอ่านมันออกได้เลย

ฟาร์มานั้นในช่วงชีวิตก่อนของเขาเคยเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย เขาไม่ค่อยอยากจะมีความผูกมัดการทางสถาบันการศึกษามากนักและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการทดลอง เพราะจุดประสงค์ของเขานั้นทำมันเพื่อให้เหล่าคนรุ่นหลังได้ใช้เป็นพื้นฐาน อย่างไรก็ตามภายในโลกใบนี้ที่ความรู้ทางการแพทย์นั้นถดถอยไปก็จริงแต่มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่สมควรสำหรับเด็กอายุเพียง 11 ปีขึ้นมาเป็นศาสตราจารย์แบบนี้

เพราะผลเสียที่มีต่อตัวเขาและเหล่าพนักงานร้านขายยานั้นมีมากเกินไป

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าสิ่งที่ตัวเขาในตอนเด็กนั้นสามารถทำได้โดยไม่เป็นจุดสนใจนักคือการเขียนตำรายาโดยซ่อนชื่อผู้เขียนเอาไว้เพื่อที่มันจะสามารถนำไปใช้เป็นพื้นฐานการสอนภายในมหาวิทยาลัยแพทย์ต่างๆได้ โดยทุกคนสามารถอ่านมันได้และใช้มันไปอื่นหลายร้อยปี

และตัวเขาคิดว่าในชีวิตนี้ของเขานั้นจะได้เผชิญหน้ากับผู้ป่วยมากกว่าที่จะต้องมานั่งทำงานภายในห้องปฏิบัติการเหมือนเดิม แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะถูกสรรเสริญบูชาในฐานะเทพโอสถอีกเช่นกัน

แต่เพราะพ่อของเขานั้นก็มีความคิดเป็นของตนเอง

ถ้าหากมีความรู้ใหม่ที่ตนไม่เคยพบอยู่ตรงหน้าและตนสามารถไขว่คว้าสิ่งนั้นมาไว้ในมือได้เหตุใดถึงจะไม่ทำ

พ่อของเขาอาจจะคิดว่าสิ่งนี้ควรถูกเผยแพร่ให้มันกระจ่างไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่นักวิจัยควรเป็นนั่นแหละนะ

「พวกเราก็ไม่อยากบังคับหรอกนะ แล้วลูกคิดว่ายังไงล่ะ?」

บรูโนถามฟาร์มาด้วยเสียงที่สงบนิ่ง

เพราะไม่ใช่วิธีการที่เขาเกลียดนัก เขาจึงคิดอย่างรอบคอบว่าจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่

「อืม ถ้าแบบนั้น ข้าจะถามคุณบอนฟัวก่อนก็แล้วกัน ว่ายังไงล่ะ?」

「ฉันเหรอคะ? หากเป็นคำสั่งของอาจารย์ฉันก็คงจะต้องยอมรับมันค่ะ」

บรูโนส่งสายตาให้กับเอเลนเหมือนเป็นการตรวจสอบก่อนอยู่แล้วและแน่นอนว่าคำตอบของเอเลนเพียงอย่างเดียวนั้นคือ “ค่ะ” เพราะบรูโนได้ปล่อยแรงกดดันไปให้เธอด้วยเชิงประมาณว่า “เธอจะเป็นยังไงต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับคำตอบนะ” เอเลนในตอนนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่เด็กขี้อายคนหนึ่งไปเสียแล้ว

「ก็อย่างที่ได้ยินนะฟาร์มา ลูกจะว่ายังไงล่ะ?」

「ถ้าเป็นแบบนั้น หากเป็นแค่ส่วนของผู้บรรยายละก็」

เพราะการไปเป็นศาสตราจารย์นั้นภาระมันมากจนเกินไป และเป็นจุดเด่น หากได้อยู่แค่ในส่วนของการบรรยายนั้นก็ไม่น่าจะแย่เท่าไหร่นัก

「น่าเสียดาย แต่ตำแหน่งผู้บรรยายไม่เหลือที่ว่างแล้วในขณะนี้ ถ้าจะมีก็แค่ส่วนของศาสตราจารย์แหละนะ」

“เดี๋ยวนะนี่มันแผนกที่เปิดขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เหรอ? ไอ้แบบนี้ยังไงก็ต้องโกหกแหงๆ”

ฟาร์มาคิดเช่นนั้น

「ผมเป็นถึงเจ้าของร้านขายยาต่างโลกนะครับถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะไปขัดขวางในส่วนของงานทางนั้นนะครับ……」

「พวกเราไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ ขอแค่ท่านมาช่วยสอนเหล่านักเรียนของเราในช่วงที่ท่านพอจะมีเวลา เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆในแต่ละวันก็ไม่เป็นไรครับ」

รองผู้อำนวยการพยายามทำการประนีประนอมขึ้นมาในทันที ฟาร์มาพยายามหาข้อแก้ตัวในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ต่างบอกตัดขึ้นมาทันทีว่า 「พวกเราไม่มีปัญหาหรอกครับ เชิญท่านทำอะไรได้ตามใจท่านเลย」ถ้าเป็นแบบนี้…

(นั่นสินะ ถ้าเราช่วยให้เด็กพวกนั้นกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาก็น่าจะเป็นเรื่องดีด้วยในระยะยาวและผลลัพธ์ก็เหมือนกัน……)

“ถ้าหากเรามองในจุดนั้นแล้ว” ฟาร์มาทำการตัดสินใจ

ถ้าหากเกิดเรื่องร้ายขึ้น อาจจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถใช้เด็กนักเรียนเหล่านั้นในการตรวจวินิจฉัยโรคที่ร้านขายยาต่างโลกด้วยก็เป็นได้

「ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ยอมรับได้อยู่ครับ แต่ผมค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดนะครับหากต้องมาทำงานเต็มเวลาดังนั้นแล้วช่วยกำหนดห้วงเวลาให้ผมเลยก็ได้นะครับ」

ฟาร์มากล่าวออกมาด้วยความสิ้นหวัง

「ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขอฝากตัวต่อจากนี้ด้วยนะครับ ศาสตราจารย์ฟาร์มา เดอ เมดิซิส

อาจารย์เอเลโอนอร์ โบนฟัว」

「คะ-ค่ะ……」

และการสนทนาก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ทางวิทยาลัยยาแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟจึงได้ทำการเชิญศาสตราจารย์พิเศษที่อายุเพียง 11 ปี และผู้ช่วยอีกหนึ่งคนเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์

—————-

Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913