บทที่ 132 เจ้าจะรักข้าไหม 1

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 132 เจ้าจะรักข้าไหม 1
เฟิ่งชิงหัวโดนประโยคนี้ของจ้านเป่ยเซียวกระตุ้นจิตใต้สำนึกถอยหลังไปหลายก้าว : “ข้า ข้าก็พูดไปเรื่อย เจ้าอย่าได้คิดเป็นจริงล่ะ”

“พูดไปเรื่องแล้วก็พูดคำเช่นนี้ออกมา เช่นนั้นเจ้าตั้งใจพูดให้ข้าฟังอีกสักรอบ ?” เสียงของจ้านเป่ยเซียวสูงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นภายใต้หน้ากากช่างทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้เฟิ่งชิงหัวนิ่งอยู่กับที่ ขยับตัวไม่ได้

“เหอะ ๆ คำหลอกเด็กเจ้าก็เชื่อ น่าประหลาดใจจริง” เฟิ่งชิงหัวดึงสายตากลับ หมุนตัวคิดจะเข้าห้อง อยากจะหลีกเลี่ยงฝ้าดินผืนเล็กที่เป็นของสองคน

จ้านเป่ยเซียวหยุดอยู่ราวสองสามวินาที ทันใดนั้นก็ยืนขึ้น เดิมทีเขาก็ตัวสูงขายาว บวกกับช่วงเวลานี้ลักลอบฝึกซ้อมก็เป็นผลให้สูงชะลูด เพียงไม่กี่ก้าวก็ตามทันก้าวย่างของเฟิ่งชิงหัวแล้ว ยิ้มและจับมือข้างหน้าของนางจากข้างหลัง : “หลอกหรือ ?”

เฟิ่งชิงหัวเงยหน้า น้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้านึกว่า ?”

“ได้” น้ำเสียงผู้ชายผ่อนคลายลง

“หือ ?” ขณะนี้ เฟิ่งชิงหัวกลับรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าประโยคนี้ของชายหนุ่มมีความหมายอะไร

จ้านเป่ยเซียวเปลี่ยนท่วงท่า โอบกอดจากข้างหลัง หัวเราะเสียงต่ำ เอ่ยปากอย่างไม่ช้าไม่เร็ว : “เจ้าอยากจะโกหกข้าไปตลอด ก็ไม่เป็นไร”

เสียง “ตูม” เฟิ่งชิงหัวประหลาดใจกับตูมหนึ่งของคำพูดนี้ของจ้านเป่ยเซียว

เฟิ่งชิงหัวไร้ซึ่งคำพูด เอียงหน้ามองใบหน้าของชายหนุ่ม : “ท่านอ๋อง ข้ายังนึกว่าเจ้าพูดจะแค่ใจดำ ปากร้าย ไม่คิดว่าเจ้าจะพูดมุกตลกที่ไม่มีผู้ใดขำขันได้”

“ครั้งก่อนที่ข้าพูด เจ้ายังจำได้ไหม ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วถามนาง

“ครั้งใด พูดอะไร ?” เฟิ่งชิงหัวถามด้วยความประหลาดใจ

ครั้งนี้มิได้ตั้งใจจะเป็นอริกับเขาจริง ๆ แต่นางก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาหมายถึงครั้งไหน

“ครั้งที่แล้วข้าบอกว่า ให้เวลาเจ้าสามเดือน รักข้าเสีย” จ้านเป่ยเซียวพูดซ้ำคำต่อคำ

เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว เป็นเวลานานจึงตอบกลับไป : “แลดูว่าข้าจะจำได้ ข้ามิได้ตอบรับการพนันนี่ ?”

“เช่นนั้นก็ดี ครั้งนั้นถือว่าเจ้ามิได้ตอบรับ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ให้เวลาเจ้าสามเดือน จะรักข้าไหม ?” ชายหนุ่มพูดอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ส่องกระทบหน้ากากสีขาวของเขา ยิ่งขับดวงตาคู่นั้นให้หม่นราวกับทะเล

เฟิ่งชิงหัวสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของสองประโยคได้อย่างไว หนึ่งคือจะต้องใช้กำลังบังคับ อีกหนึ่งคือไต่ถาม ประโยคหลังนี้ของเขา ให้ทางหนีทีไล่กับนาง

เฟิ่งชิงหัวยืนอย่างเกียจคร้าน โดยที่ชายหนุ่มยังคงโอบกอดเธอในอ้อมอก ไม่เหนียมอายและขัดเคืองแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกำลังไตร่ตรองคำของเขาอย่างตั้งใจ

แขนทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวรัดแน่นขึ้นเล็กน้อย จู่ ๆ ก็รู้สึก เบื่อความนิ่งเงียบเช่นนี้ ยังไม่เท่ากับที่สองคนทะเลาะเบาะแว้งกัน กลับดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามากกว่า

เขาหลุบตาลง จ้องมองคนในอ้อมแขนตาไม่กะพริบ

ชั่วชีวิตเขาครั้งแรก ที่อยากจะเข้าใจผู้หญิงคนหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้ อยากจะรู้ความคิดในใจทั้งหมดของนาง อยากจะยึดครองทุกสิ่งของนาง

จ้านเป่ยเซียวก้มหัวลงต่ำน้อยนิด กล่าวเสียงเบา : “หืม ?”

ขนตาของเฟิ่งชิงหัวสั่นไปมา : “ข้าคนนี้ค่อนข้างจู้จี้เรื่องมาก”

เสียงหัวเราะจ้านเป่ยเซียวหนักแน่น : “ข้าเป็นคนที่คู่ควรกับเจ้าที่สุดเป็นแน่แท้”

ถ้ามิใช่เล่า เปลือกนอกเพียงแค่เป็นลูกสาวคนหนึ่งของเฉิงเซี่ยง สามารถคบค้าสมาคมกับโอรสคนโปรดของจักรพรรดิได้ อดีตเทพสงครามมาอยู่ด้วยกัน นับว่าตะกายสู่ที่สูงสินะ

เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปาก : “ข้าคนนี้ ดูใบหน้า”

คิ้วของจ้านเป่ยเซียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือหมุนเฟิ่งชิงหัวในอ้อมอกมา ดึงมือของนางมาวางไว้บนหน้ากาก กล่าวหนักแน่น “เปิดสิ”

ตาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวตกตะลึง จ้องมองดวงตาคู่นั้นของจ้านเป่ยเซียว เข้าใจคำพูดของเขา

ทันทีหลังจากนั้น เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างจนปัญญา : “เช่นนั้นข้าคิดดูก่อน”

เฟิ่งชิงหัวไม่ได้ถามว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่ยอมให้นางดู ตอนนี้กลับยินยอม

จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ได้ถาม ก่อนหน้านี้อยากดูหน้าตาที่แท้จริงของเขาขนาดนั้น ขณะนี้เหตุใดจึงไม่ยอมดู เพียงแค่กล่าว : “คิดดูให้ดี”

จากนั้น เฟิ่งชิงหัวก็เข้าห้อง เริ่มเขียนระเบียบในครอบครัวตามที่จำได้ ด้านข้าง ชายหนุ่มฝึกเดินอยู่กลางห้อง ถามเป็นระยะ ๆ ว่า : “คิดดีแล้วหรือยัง ?”

ได้ยินจนหน้าผากของเฟิ่งชิงหัวพองขึ้น สุดท้ายต้องโยนพู่กันทิ้ง โยนน้ำหมึกกระเซ็นไปทุกทิศ

เฟิ่งชิงหัวถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียวอย่างโมโหกล่าว ; “วันนี้ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้าไปนอนก่อน”

จากนั้นไม่รอจ้านเป่ยเซียวพูดก็จากไปโดยตรง เหลือเพียงจ้านเป่ยเซียวที่ยืนอยู่ที่เดิม ในดวงตาคู่นั้นคาดไม่ถึงว่าจะแสดงความไร้ความผิดอยู่หลายส่วน

ผลของการที่เฟิ่งชิงหัวถูกเสียงของจ้านเป่ยเซียวแทรกซึมทั้งคืนคือนางฝัน ฝันว่าตนเองตะบึงอยู่ทั้งคืน ผู้คนก็ถามนางซ้ำ ๆ จากทุกทิศทุกทาง เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง ?