ตอนที่ 75-2 การสอบเสินถง (จบ)
อาเซิงมองพวกเขาสามแม่ลูกด้วยความอิจฉา แต่มิได้พูดอะไร

หลัวหย่งเหนียนขับรถม้ามาถึงแล้ว เขาหยุดรอในตรอกฝั่งตรงข้ามกับสำนักศึกษาหนานซาน เฉียวเวยจูงมือเด็กๆ เดินไปที่นั่น

หวังมามาก็มารับนายน้อยของตัวเองด้วยเช่นกัน นายน้อยสอบไม่ได้ดั่งใจจึงเมินเฉยต่อนาง เขาขึ้นรถม้าไปคนเดียว บังเอิญหวังมามามีเรื่องสำคัญจึงไม่ได้กลับจวนพร้อมนายน้อย

นางมองหาแผ่นหลังของเฉียวเวยท่ามกลางหมู่คน นางเดินตามไปอย่างระมัดระวัง ข้างๆ เฉียวเวย มีบุรุษสองคน นางค่อนข้างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นภัยต่อตัวนาง ดังนั้นนางต้องเลือกเวลาที่เฉียวเวยอยู่ลำพัง หลังจากเฉียวเวยส่งลูกขึ้นรถหมดแล้ว นางก็เดินไปเข้าห้องส้วมคนเดียว นางจึงอาศัยจังหวะนี้!

“คุณหนูใหญ่!”

เฉียวเวยเหมือนได้ยินคนตะโกนเรียกนาง จึงหยุดแล้วหันกลับมา “เจ้าเรียกข้าหรือ”

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อากัปกริยาของนางเฉยเมยราวกับว่าพบเจอคนไม่รู้จัก หวังมามาอ้าปากค้าง “เอ่อ…”

จู่ๆ เฉียวเวยก็โพล่งขึ้นมา “ข้าจำได้ เจ้าเป็นคนรับใช้ของพ่อหนุ่มน้อยคนนั้น”

พ่อหนุ่มน้อย?

หมายถึงนายน้อยหรือ นางเรียกนายน้อยเช่นนั้นหรือ

เมื่อก่อนนางเกลียดนายน้อยที่สุด แม้แต่เรียกชื่อนางยังขยะแขยง ตอนนี้กลับเรียกว่าพ่อหนุ่มน้อย!

หวังมามานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วเอ่ยว่า “ข้า…นายน้อยของข้าต้องการเชิญท่านไปเป็นแขกที่จวน”

เฉียวเวยปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ข้ากำลังจะออกจากเมืองหลวง”

หวังมามาก้มศีรษะลง “ถ้าอย่างนั้น…น้อมส่งฮูหยินเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยเข้าไปในเหลาสุรา

หัวใจของหวังมามาเต้นแรง ดูเหมือนนางจะค้นพบเรื่องสุดยอดบางอย่างเข้า…ไม่ได้ นางต้องรายงานเรื่องนี้กับฮูหยินโดยเร็วที่สุด!

สวีซื่อกำลังปลอบลูกชายตัวน้อยที่ ‘เสียใจ’ อยู่ในเรือนหลัก “เอาเถิด ก็แค่การสอบครั้งเดียวมิใช่หรือ ปีนี้ไม่ได้ คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่ ครั้งหน้าเจ้าก็อายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น ยังสมัครสอบได้”

“ครั้งหน้าเจ้าเด็กนั่นก็อายุเพียงแปดขวบ! ยังสมัครสอบได้เช่นกัน!”

เฉียวอวี้ฉีโกรธแทบตายแล้ว ตนเก่งกล้าสามารถ ฉลาดรอบรู้ปานนี้ ดันแพ้เด็กตัวกระจ้อยคนหนึ่งได้เช่นไร!

แม้ว่าเขาจะชอบพี่สาวผู้มีพระคุณมาก แต่เขาเกลียดเด็กที่ฉลาดกว่าเขามาก!

ไม่น่ารักเลย!

“เป็นความผิดของท่านพี่!” เขาจ้องไปที่เฉียวอวี้ซี

เฉียวอวี้ซีกำลังปักผ้าอยู่ พอได้ยินก็ตกตะลึง “ไยเจ้าจึงมาโทษข้า”

เฉียวอวี้ฉีคำราม “ผู้ใดให้ท่านทำข้าตกใจกลัวก่อนสอบ ท่านทำข้าตกใจจนโง่ลงกว่าเดิม!”

เฉียวอวี้ซีตะคอก “เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่ ผู้ใดทำเจ้าตกใจกลัว เจ้าชนโถไข่เยี่ยวม้าของข้าแตก ข้ายังมิได้ให้เจ้าชดใช้เงินเลย!”

“เหอะ ก็แค่ไข่แตกไปโถเดียว! ท่านตีน้องชายเพราะทำไข่หนึ่งโถแตก เหตุใดท่านไม่ไปตีคนในจวนอัครมหาเสนาบดี! วันทั้งวันรู้จักแต่เก่งกับคนในบ้าน! เก่งนักหรือ!” เฉียวอวี้ฉีกลอกตา

ดวงตาคู่งามของเฉียวอวี้ซีโกรธขึ้ง “เฉียวอวี้ฉี เจ้าคันก้นนักใช่หรือไม่”

เฉียวอวี้ฉีรำคาญพี่สาวผู้เอาแต่ตามประจบคนในจวนอัครมหาเสนาบดีทั้งวันคนนี้ตั้งแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้นางยังกล้าดุตัวเองอีก เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วราดลงบนงานปักของนาง!

เฉียวอวี้ซีใช้เวลาหลายวันกว่าจะปักภาพอายุยืนร้อยปีภาพนี้ได้ครึ่งหนึ่ง นางปักทั้งวันทั้งคืนจนตาบวม แต่เจ้าสารเลวคนนี้กลับมาเทชาใส่จนเลอะไปหมด นางโกรธแทบเป็นแทบตายจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาสาดใส่เฉียวอวี้ฉีบ้าง

เฉียวอวี้ฉีโดนนางสาดน้ำชาใส่จนเปื้อนไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขาอ้าปากอยากไม่อยากจะเชื่อ “เฉียว อวี้ ซี!”

เขาก้มตัวไปหยิบกรรไกรเล่มหนึ่งจากตะกร้างานปักของเฉียวอวี้ซี แล้วตัดภาพอวยพรวันเกิดอายุยืนยาวร้อยปีเสียงดังฉับจนขาดเป็นสองซีก!

หากภาพอายุยืนร้อยปีสกปรกก็สามารถล้างและทำให้แห้งได้ แต่ถ้าขาดก็เท่ากับพัง

เมื่อคืนนางทานอาหารเย็นกับจีเหล่าฮูหยินที่จวนอัครเสนาบดี เหล่าฮูหยินส่งคนไปเรียกใต้เท้าหมิงซิวกลับจวน แต่ใต้เท้ากลับบอกว่าเขายุ่งกับงานราชการ ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ นางไม่ได้เจอเขามาเกือบสองเดือนแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป การแต่งงานครั้งนี้อาจถูกยกเลิก

นางประจบเหล่าฮูหยิน ประจบเอาใจอย่างเหน็ดเหนื่อยรากเลือดปานนี้ เหตุใดน้องชายคนนี้จึงไม่รู้จักเห็นใจนางบ้าง

เฉียวอวี้ซีโกรธจนเก็บไว้มิอยู่อีกต่อไป นางคว้าไม้บรรทัดจากกล่องเครื่องหอมออกมาวิ่งไล่ตีเฉียวอวี้ฉีไปทั่วบ้าน

สวีซื่อดูแล้วก็ปวดใจ “พอแล้ว พวกเจ้าสองคนหยุด! ทะเลาะกันทั้งวัน ไม่เหมือนพี่น้องกันสักนิด! ดูคนเรือนสาม เรือนสี่สิ ทำไมลูกของพวกเขาถึงไม่ทำให้หนักใจเหมือนพวกเจ้า”

พี่น้องคนอื่นๆ ต่างรักใคร่กลมเกลียว แต่ลูกๆ ของนางกลับเหมือนศัตรูคู่แค้น ทำเอานางปวดศีรษะยิ่งนัก!

“ซิ่งจู๋ พาคุณหนูใหญ่กลับห้อง ตานจู๋พานายน้อยไปฝึกคัดลายมือกับท่านปั๋ว”

สาวใช้ทั้งสองต่างพานายของตนออกไป

หวังมามารอให้สถานการณ์สงบลงก่อนแล้วจึงเดินเข้ามาในห้อง

สวีซื่อนวดศีรษะที่กำลังปวด พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เป็นอย่างไร นางว่าอย่างไรบ้าง นางกลับมาทวงสินเดิมของมารดานางหรือ เจ้าจงบอกนางว่าเปล่าประโยชน์ นางอายุห้าขวบก็ไร้พ่อขาดแม่ กว่าจวนเราจะเลี้ยงดูนางให้เติบโตก็เสียเงินไปไม่น้อย ทั้งค่าอาหารและเสื้อผ้าของนางเทียบได้กับคุณหนูจวนโหว อีกทั้งตัวนางยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้ว่าแม่ของนางจะทิ้งเงินทองไว้ให้กองเท่าภูเขาก็หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว! อีกอย่างปีนั้นนางก่อเรื่องเช่นนั้น ข้าต้องใช้เงินจัดการเรื่องนั้นไปมิน้อย มีที่ใดบ้างไม่ต้องใช้เงิน หากไม่ได้ทำเช่นนั้น โทษฐานที่นางล่วงเกินราชวงศ์ก็เพียงพอตัดศีรษะของนางได้ร้อยรอบแล้ว!”

หวังมามากล่าวว่า “ฮูหยิน อย่าเพิ่งอารมณ์ร้อนไปเจ้าค่ะ บ่าวยังมิทันพูดเลย”

สวีซื่อมองนาง

นางกระซิบกระซาบ “ดูเหมือน…คุณหนูใหญ่จะไม่รู้จักบ่าวเจ้าค่ะ”

สวีซื่อขมวดคิ้ว “ไม่รู้จักเจ้าหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ ครั้งที่แล้วบ่าวหลบออกมาเร็วจึงคิดว่านางจะจำบ่าวมิได้ แต่จริงๆ แล้วนางจำได้เจ้าค่ะ! ไม่ ไม่ บ่าวหมายความว่านางเห็นหน้าบ่าวชัดเจน แต่นางไม่ทราบว่าบ่าวเป็นผู้ใด วันนี้นางเห็นบ่าวแล้วยังพูดกับบ่าวว่า ‘ข้าจำได้แล้ว เจ้าเป็นคนรับใช้ของพ่อหนุ่มน้อยคนนั้น’ ฟังสิเจ้าคะ ฮูหยิน ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดของคนที่รู้จักกันหรือเจ้าคะ”

ไม่เหมือนจริงๆ

สวีซื่อรู้จักนิสัยของเฉียวเวยดี นางไม่เคยเห็นคนเรือนอื่นที่เป็นสายเลือดอนุภรรยาอยู่ในสายตา แล้วนางจะพูดกับลูกชายของนางด้วยน้ำเสียงสนิทสนมได้เช่นไรเล่า

“หรือว่า…นางไม่ใช่เฉียวซื่อ” สวีซื่อพึมพำ

หวังมามาครุ่นคิด “แต่หน้าตาเหมือนกันทุกประการ น่าจะมิใช่คนอื่น…หรือว่านางลืมเจ้าคะ”

“ลืมหรือ” สวีซื่อหรี่ตาลงอย่างสงสัย

หวังมามากล่าวว่า “บ่าวเคยได้ยินว่ามีโรคชนิดหนึ่งชื่อว่าโรคหลงลืมเจ้าค่ะ คนที่เป็นโรคนี้จะลืมเลือนอดีต หากคุณหนูใหญ่เป็นโรคนี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่นางไม่รู้จักบ่าว! ไม่แน่นางอาจไม่รู้จักท่านด้วย!”

สวีซื่อยิ้ม “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะดี”

“ใช่เจ้าค่ะ” หวังมามายิ้มประจบ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะกลับมาแย่งสมบัติกับนายน้อยและคุณหนูใหญ่แล้ว”

“กลัวก็แต่ว่า…นางจะแกล้งทำ” สวีซื่อหุบยิ้ม นางไม่เชื่อว่านางเด็กนั่นจะความจำเสื่อมง่ายๆ เช่นนี้

“ฮูหยิน เราควรทำเช่นไรต่อไปดีเจ้าคะ” หวังมามาถาม

สวีซื่อกระดิกนิ้วเรียกนางเข้ามาหา “มานี่สิ”

หวังมามาขยับหูเข้าไปใกล้ สวีซื่อกระซิบไม่กี่คำหวังมามาก็พยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าต้องทำอันใด”

ตอนเที่ยง เฉียวเวยกลับไปที่เรือนสี่ประสานอีกครั้ง นางซื้อของขวัญขอบคุณมามากมายเพื่อขอบคุณความเมตตาของคุณชาย

เมื่อมองดูขนมบนโต๊ะ ลี่ว์จูก็ยิ้มและพูดว่า “คุณชายข้ามาที่นี่ในตอนเช้า เขารู้ว่าฮูหยินต้องมาขอบคุณแน่ๆ จึงให้บ่าวบอกฮูหยินว่าเขามิได้ขาดสิ่งใด ขาดเพียงเสื้อผ้าพอดีตัวสักสองสามตัว หากฮูหยินต้องการขอบคุณเขาจากใจจริงก็เย็บชุดนอนที่พอดีกับตัวให้เขาสักสองสามชุดเถิด ถึงอย่างไรฮูหยินก็เคยวัดขนาดเรือนร่างของเขากับมือมาแล้ว”

อะไรของเขา พูดเหมือนกับว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างนั้นแหละ

เฉียวเวยเดินออกจากเรือนสี่ประสานด้วยใบหน้าแดงก่ำ

หลัวหย่งเหนียนกลับไปที่โรงตีเหล็ก ส่วนเฉินต้าเตาพาเฉียวเวยกับทุกคนขับรถม้ากลับหมู่บ้าน เนื่องจากยังมีงานของพรรคชิงหลงที่ต้องจัดการ เฉินต้าเตาจึงไม่อยู่ทานอาหาร เพราะทำให้เขาเสียเวลามาสองวัน เฉียวเวยจึงขึ้นไปเอาไข่เยี่ยวม้าบนภูเขามาให้เขาหนึ่งโถ ไข่เยี่ยวม้าห้าสิบฟองต้องใช้เงินซื้อถึงสิบตำลึง อีกทั้งยังหาซื้อไม่ค่อยได้ เรียกได้ว่าเป็นของขวัญตอบแทนอันล้ำค่า! เฉียวเวยยังตักเนื้อตุ๋นที่นางทำไว้มาให้เขาอีกหนึ่งไห เฉินต้าเตารับไว้อย่างซาบซึ้ง

อันที่จริงการเป็นหัวหน้าพรรคมีข้อดีประการเดียวคือมีหน้ามีตา เงินก็ไม่แน่ว่าจะมี พี่น้องทั้งหลายก็เป็นบุรุษหยาบกระด้าง ทำอาหารรสชาติเลวร้ายจนเหลือจะทน มีแต่ตอนมาบ้านของเฉียวเวยเท่านั้นจึงจะได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะ

ป้าหลัวรู้ว่าพวกเขาจะกลับมาคืนนี้ นางจึงเตรียมวัตถุดิบไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ บะหมี่ขาว หัวไชเท้า เห็ด กะหล่ำปลี เนื้อไม่ติดมัน เต้าหู้ แล้วทำเกี๊ยวไว้อีกสองสามไส้ นอกจากนั้นนางยังจับแม่ไก่มาอีกต่างหาก เด็กๆ ไปสอบมาอย่างยากลำบาก นางต้องให้รางวัลพวกเขาสักหน่อย

ปกตินางไม่ฆ่าแม่ไก่เพราะแม่ไก่วางไข่ได้ แต่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูชอบกินไข่ที่ยังอยู่ในตัวแม่ไก่ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจะเชือดหนึ่งตัว

“ให้ข้าทำเถิด แม่บุญธรรม”

เฉียวเวยเดินไปหา

“เจ้าไหวหรือ” ป้าหลัวมองเฉียวเวยผู้เปลี่ยนมาสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบแต่ก็ยังปกปิดความงามมิได้ พร้อมกับทำท่าไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนภูเขา ไก่ป่าที่เฉียวเวยจับได้ นางเป็นคนเชือดทุกตัว

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ไหวไม่ไหว ท่านดูเองก็จะรู้”

ป้าหลัวยื่นไก่ให้ลูกบุญธรรม เมื่อเห็นว่าลูกบุญธรรมดูร่าเริงกว่าปกติ นางจึงยิ้มถามว่า “อารมณ์ดีขนาดนี้ มีเรื่องอะไรน่ายินดีหรือ”

“ข้าดีใจที่พวกเขาสอบเสร็จอย่างไรเล่า” เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ

“ไม่ใช่” ป้าหลัวมองนางอย่างไม่เชื่อ “มีเรื่องปิดบังข้าสินะ”

เฉียวเวยสำลัก “มีที่ไหนกันเล่า”

พูดจบก็คว้าไก่เดินออกจากครัว อันดับแรกนางถอนขนที่คอไก่ให้เห็นหนังไก่ แล้วหยิบถ้วยมาวางไว้ข้างล่าง จากนั้นยกมีดขึ้นกรีด เลือดไก่สดๆ ไหลลงมา หลังจากที่เลือดไก่ไหลออกมาหมดแล้ว นางจึงนำไก่ไปแช่ในน้ำร้อน เมื่อแช่ไก่ได้ที่แล้ว นางก็นำมันออกมาและเริ่มถอนขน

นางให้ความสำคัญกับการถอนขนไก่ ไม่ยอมให้เหลือขนแม้แต่เส้นเดียว การถอนขนไก่ของนางนับว่าสะอาดมาก! จนป้าหลัวตกใจ

คนส่วนใหญ่ถอนขนเส้นใหญ่ๆ จนหมดก็เสร็จแล้ว มีขนเล็กๆ บนปีกไก่เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ เจ้าเด็กคนนี้กลับไม่ยอมให้หลงเหลือแม้แต่เส้นเดียว

นางถอนขนได้สะอาดหมดจด ส่วนตอนกรีดท้องควักเครื่องในก็ว่องไว การลงมีดอันคล่องแคล่วนั่นทำให้คนเห็นแล้วตัวสั่น

ป้าหลัวเห็นว่านางรู้วิธีจัดการไก่จริงๆ จึงไปนวดแป้งทำเกี๊ยว ชุ่ยอวิ๋นออกไฟแล้ว นางทำนาเสร็จก็กลับมาบ้านสกุลหลัว ดื่มน้ำได้อึกหนึ่งก็เข้าไปช่วยแม่สามีทำกับข้าวในครัว

เกี๊ยวกะหล่ำปลี เกี๊ยวเห็ดหอม เต้าหู้ทอด ไก่ผัดหัวไชเท้า เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน อาหารก็พร้อมในที่สุด

ชุ่ยอวิ๋นไปตามหลัวหยงจื้อกลับมาทานอาหารเย็น ป้าหลัวให้นางนำเกี๊ยวกับเนื้อไก่ไปให้น้องชายที่บ้านด้วย

เด็กน้อยสองคนกำลังหิวโหย พอเห็นอาหารกลิ่นหอมบนโต๊ะก็น้ำลายไหล แต่ทั้งสองรู้ความยิ่งนัก ไม่โวยวายแต่อย่างใด จนกระทั่งหลัวหยงจื้อกับชุ่ยอวิ๋นกลับมา พวกเขาจึงลงมือทานอาหารพร้อมกับทุกคน

ป้าหลัวตักไข่ฟองจิ๋วในตัวไก่ออกมาให้ทั้งสองคน แล้วแบ่งขาไก่ให้คนละข้าง “ตอนนี้พวกเจ้าเป็นบัณฑิตน้อยแล้ว กินเยอะๆ จะได้ฉลาด ตั้งใจเล่าเรียน เข้าใจหรือไม่”

วั่งซูตอบอย่างอ่อนหวาน “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านยาย!”

“การสอบเป็นอย่างไรบ้าง” ป้าหลัวถามเฉียวเวย

เฉียวเวยคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่งให้จิ่งอวิ๋น แล้วคีบหัวไชเท้าให้วั่งซู “พอใช้ได้ จิ่งอวิ๋นพลาดการสอบไปหนึ่งวิชา”

สีหน้าของป้าหลัวเปลี่ยนไปทันควัน “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

เฉียวเวยเล่าเรื่องที่โดนขโมยป้ายเข้าสอบอย่างสั้นๆ ป้าหลัวโกรธมาก “เจ้าขุนนางชาติสุนัขนั่น!”

เฉียวเวยลูบศีรษะเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋น “ผลจะประกาศต้นเดือนหน้า มาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร”

ป้าหลัวถอนหายใจ “อาเซิงต้องติดอันดับแน่ การสอบของผู้ใหญ่เขายังสอบผ่านมาแล้ว การสอบของเด็กน่าจะไม่มีปัญหา”

เฉียวเวยยิ้ม ไม่ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างการสอบเสินถงกับการสอบเคอจวี่อย่างละเอียดให้นางฟัง ในใจนางก็หวังให้อาเซิงสอบได้คะแนนดีเช่นกัน

ป้าหลัวถามถึงความเป็นอยู่ของลูกชายคนเล็กของนาง เฉียวเวยหยิบแต่เรื่องดีขึ้นมาพูดอาทิ ขยัน อดทน ทำงานเก่ง สนิทสนิมกับสหายดี ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นต้น

ป้าหลัวดีใจมาก “จริงสิ ที่นาแปลงนั้นของเจ้าใส่ปุ๋ยได้พอสมควรแล้ว เมื่อใดจะเริ่มปลูกเล่า”

เฉียวเวยครุ่นคิด “น่าจะภายในไม่กี่วันนี้” เดิมทีนางวางแผนว่าจะเริ่มเพาะปลูกในที่ดินฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านตั้งแต่ช่วงกลางเดือน แต่อุณหภูมิไม่ยอมสูงขึ้นเสียที หากเป็นเช่นนี้ข้าวฟ่างหวานจะแตกหน่อยาก ดังนั้นจึงล่าช้ามาหลายวัน

“ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านของพวกเราเคยปลูกข้าวฟ่างมาก่อน แต่หมู่บ้านข้างๆ เคยมีคนปลูก ถึงเวลานั้นข้าจะลองดูว่าจะตามเขามาช่วยเจ้าได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าจะปลูกแตงโม ยังจะปลูกอยู่หรือไม่” ป้าหลัวคีบเนื้อไก่นุ่มๆ ให้เฉียวเวย ลูกสะใภ้กับหลานๆ ทั้งสองคน

เฉียวเวยตอบว่า “ยังจะปลูกอยู่ ข้าไปพรวนดินตรงที่ดินบนไหล่เขาไว้แล้ว รอปลูกข้าวฟ่างเสร็จ ค่อยไปปลูก”