ตอนที่ 121 พรุ่งนี้กินซี่โครงกันดีกว่า

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 121 พรุ่งนี้กินซี่โครงกันดีกว่า

เป็นบรรณาธิการก็ชื่นชอบนิยายอยู่แล้ว

คนที่อ่านนิยาย ส่วนมากก็ชอบเพ้อฝันอยู่บ้าง

ยกตัวอย่าง ในนิยายของนักเขียนมักจะเน้นตัวละครที่หน้าตาหล่อเหลา จึงทำให้คนรู้สึกเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วม

นั่นก็คือความเพ้อฝัน

ช่วงเลิกงานในตอนเย็น หลินเซวียนพอจะสงบจิตสงบใจลงได้แล้ว ไม่คิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานาอีกต่อไป

เธอโทรศัพท์หาหลินเยวียนด้วยความดีใจ “น้องชาย นายเดาซิว่าพี่อยู่ที่ไหน!”

หลินเยวียนตอบ “เมืองซู”

หลินเซวียนอึ้งไปชั่วขณะ “นายรู้ได้ไง”

“ผมเดาเอา”

อันที่จริงหยางเฟิงบอกหลินเยวียนตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันแล้ว

หลินเซวียนไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ เธอเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ตอนนี้พี่ได้ทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้วล่ะ อีกไม่นานน่าจะได้เจอไอดอลของพี่แล้ว!”

หลินเยวียนชะงัก “ไอดอลพี่คือใคร”

พี่สาวรู้สึกแปลกใจ “นายควรจะถามพี่ว่าทำไมถึงได้ทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่ใช่เหรอ”

หลินเยวียน “…”

หลินเซวียนหัวเราะได้ใจ “นายต้องอยากรู้แน่เลยสินะ พี่ไม่ได้ถูกไล่ออก หลังจากที่หลิงชวนถูกเทคโอเวอร์ไป พี่กับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนก็มาทำงานที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู อาจเป็นเพราะบริษัทเห็นความสำคัญของความสามารถพี่ล่ะมั้ง”

หลินเยวียนตอบแบบขอไปที “เก่งมากๆ”

หลินเซวียนเปลี่ยนหัวข้อทันใด “อันที่จริงพี่สงสัยมากกว่าบ.ก.จะหลงเสน่ห์ความงามของพี่…”

“เขากล้าทำอย่างนั้นเหรอ!”

หลินเยวียนเสียงสูงขึ้นมาทันที

หลินเซวียนหัวเราะคิดคัก “ล้อเล่นหรอกน่า บอกความจริงมานะ นายหวงพี่ใช่มั้ยล่ะ ขอโทษทีนะ พี่ไม่หวงน้องชายหรอก หวงน้องสาวมากกว่า พี่รักเหยาเหยาที่สุดเลย!”

หลินเยวียน “…”

อะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อย

หลินเซวียนพูดต่อ “ที่จริงพี่ก็ไม่รู้ว่าทำไม คลังหนังสือซิลเวอร์บลูดูแลพี่ดีมาก แต่ตอนนี้พี่อยู่เมืองซู ยังไม่ได้ลงหลักปักฐาน นายมีที่อยู่ใช่มั้ย”

คนในครอบครัวรู้ว่าหลินเยวียนออกไปอยู่ข้างนอก ตอนเดินเรื่องจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง

“มีครับ”

หลินเยวียนบอก “พี่ไม่ต้องไปเช่าห้อง หลังจากนี้พี่มาอยู่กับผมเลย ห้องหับมีพอ เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ให้”

“งั้นก็ได้ นายยังไม่ได้ถามพี่เลยว่าไอดอลของพี่คือใคร”

หลินเยวียนถาม “คือใครอะ”

พี่สาวกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉู่ขวง!”

หลินเยวียนชะงัก “พี่ไม่ได้เกลียดเขาเหรอ”

หลินเซวียนกระแอม “ก่อนหน้านี้ก็เข้าข้างบริษัท แต่ผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ฉู่ขวงเป็นไอดอลของพี่แล้ว บางทีอีกไม่ นาน พี่อาจจะได้ลายเซ็นจากเขา!”

หลินเยวียนครุ่นคิด “การบ้านของผมตอนเด็กๆ มีชื่อเซ็นอยู่ แม่น่าจะยังไม่ได้เก็บทิ้ง อยู่ที่บ้านหลังเก่าน่ะ”

“พี่จะเอาลายเซ็นนายไปทำอะไร ขายไม่ได้สักหน่อย”

“…พี่อยากได้ลายเซ็นเพราะจะเอาไปขาย?”

“ไม่งั้นจะเอาไปทำอะไร”

“ขายได้ราคาเหรอ” หลินเยวียนสนอกสนใจขึ้นมา

หลินเซวียนครุ่นคิด “พี่ว่าอีกหน่อยน่าจะได้ราคา”

หลินเยวียน “…”

อย่างนั้นฉันสอนวาดรูปต่อไปก็แล้วกัน

หลินเซวียนพูดอย่างผ่อนคลาย “แบบนี้ก็แล้วกัน พี่จะโทรไปหาแม่ บอกแม่เรื่องงานสักหน่อย แม่จะได้ไม่กังวล”

“อื้ม”

หลินเยวียนวางสาย ส่งที่อยู่ให้กับพี่สาว

สำหรับเรื่องที่พี่สาวได้เข้ามาทำงานในเมืองซู หลินเยวียนนั้นดีใจมาก

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูดีจริงๆ

นิยายสั้นเรื่องต่อไปตีพิมพ์กับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็แล้วกัน

จะให้เงินเท่าไหร่ก็เท่านั้น ติดสินบนพวกเขาเยอะหน่อย พวกเขาจะได้ดูแลพี่ดีๆ

ขณะเดียวกันนั้น

คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ในออฟฟิศบรรณาธิการบริหาร หลี่ว์เป่ยกำลังฟังเพลงอย่างเพลิดเพลินใจ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก

หลี่เป่ยพูด “เข้ามาได้”

หญิงสาวเดินเข้าประตูมา ก่อนจะค้อมกาย “ถ้าเป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากที่กระบี่เทพสังหารปล่อยออกไป แต่ละสำนักพิมพ์รวมไปถึงเฟลอริชก็จะมาหาอาจารย์ฉู่ขวง พวกเขาสืบข่าวไปทั่ว ดูท่าน่าจะอยากดึงตัวค่ะ แต่ฉันได้ปกปิดข้อมูลส่วนตัวของอาจารย์ฉู่ขวงตามที่ท่านสั่งแล้วค่ะ”

“อยากดึงตัวคนของฉันเหรอ ฝันไปเถอะ”

หลี่ว์เป่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก สีหน้ากลับไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย

หญิงสาวเอ่ยด้วยความวิตก “แต่ฉันจำเป็นต้องเตือนบ.ก.บริหารนะคะ ว่าจากวิธีการค้นหาของเขา การหาข้อมูลของอาจารย์ฉู่ขวงเป็นเพียงเรื่องของเวลา เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาอาจ…”

“วางใจเถอะ”

หลี่ว์เป่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง “ตอนนี้ต่อให้ส่งข้อมูลของฉู่ขวงให้พวกเขา ก็ยากที่พวกเขาจะดึงตัวเขาไป”

“ทำไมล่ะคะ”

“คุณไม่ต้องสนใจหรอก”

หลี่ว์เป่ยยิ้มตอบ “ต่อไปคุณไม่ต้องทำเรื่องนี้แล้ว กลับไปที่ฝ่ายบริหารได้เลย อีกอย่างในฝ่ายบริหารมีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นมา คุณเป็นเลขาอันดับหนึ่งของฝ่ายบริหาร ต้องดูแลคนเขาให้ดี นี่เป็นหน้าที่หลักของคุณหลังจากนี้”

“ได้ค่ะ”

หญิงสาวพยักหน้า แต่กลับนึกประหลาดใจ พนักงานใหม่จากไหนกัน บรรณาธิการบริหารถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้

……

หลินเซวียนเดินทางไปถึงที่พักของหลินเยวียน ดวงตาเบิกกว้างจ้องมอง “นี่คือบ้านที่นายเช่าอยู่เหรอ”

“ใช่”

หลินเยวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เขาติดต่อจ้าวเจวี๋ยเรียบร้อยแล้ว

จ้าวเจวี๋ยยังคงคุยง่ายเหมือนเดิม ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นพี่สาวของหลินเยวียน ก็บอกว่าหลินเซวียนอยากอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ได้เลย ถึงขนาดบอกว่าถ้าว่างจะไปเลี้ยงข้าวพี่สาวด้วย

“สวัสดีครับ คุณคือน้องชายของคุณหลินสินะครับ ผมชื่อจางเฉิง เป็นผู้ช่วยของคุณหลิน!”

ในขณะที่หลินเซวียนเดินเข้ามาในประตู ด้านหลังของหลินเซวียนก็มีหัวเหม่งโผล่ออกมา เอ่ยทักทายหลินเยวียน

จะเรียกว่าหัวเหม่งก็อาจไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายยังพอมีเส้นผมซึ่งยังคงยืดหยัดอย่างหาญกล้าอยู่บ้าง ไม่ว่าจะถึงอย่างไรก็ไม่หลุด

“หัวหน้าบ.ก. คุณไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอกค่ะ”

หลินเซวียนรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง นี่คือผู้ช่วยที่เธอเลือกมาในท้ายที่สุด

เขาคือจางเฉิงซึ่งทำงานเป็นหัวหน้าบรรณาธิการที่หลิงชวน

แต่ใช่ว่าเธอจงใจกลั่นแกล้งหัวหน้าบรรณาธิการเก่าของตน อันที่จริงคือในวันนี้ที่บรรณาธิการบริหารให้ตนเลือกผู้ช่วย จางเฉิงเองขยิบตาให้เธอ ยืนกรานจะเป็นผู้ช่วยของตนให้ได้

หลินเซวียนก็สิ้นหวังเหมือนกัน

อดีตหัวหน้าบรรณาธิการ กลายเป็นผู้ช่วยของตนในตอนนี้ รู้สึกทำตัวไม่ถูกเอาซะเลย

วันที่ที่มาบ้านน้องชายก็เหมือนกัน จางเฉินดึงดันว่าจะต้องมาส่งตนให้ได้ บอกว่าสัมภาระมีเยอะแยะเกินไป ตนเป็นเด็กผู้หญิงยกไม่ไหวรอก

หลินเซวียนทำได้เพียงตอบตกลง

หลินเยวียนยิ้มบาง “สวัสดีครับ”

จางเฉิงพยักหน้า เหลือบมองเข้าไปในห้อง เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะ คุณหลินมีเรื่องอะไรอย่าลืมเรียกผม”

“ค่ะ หัวหน้าบ.ก.กลับดีๆ นะคะ”

จางเฉิงโบกมือ “ไม่ต้องเรียกฉันว่าหัวหน้าบ.ก.หรอก เรียกฉันว่าจางเฉิงก็พอแล้ว เธอเรียกฉันว่าหัวหน้าบ.ก.ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลู แล้วหัวหน้าบ.ก.ที่นั่นจะคิดยังไง”

หลินเซวียนจนปัญญา “งั้นฉันเรียกว่าเหล่าจางก็แล้วกันค่ะ ถึงยังไงเมื่อก่อนพวกเราก็แอบเรียกกันแบบนั้น”

จางเฉิง “…”

ใต้แสงจันทร์ จางเฉิงเดินจากไป

หลังจากที่เขาเดินออกมาจากตึก ฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นมา มุมปากยกยิ้ม

ตนเดาไม่ผิดจริงด้วย เบื้องหลังของหลินเซวียนต้องไม่ธรรมดา!

อย่างแรกคือพื้นที่เขตนี้ก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ น้องชายของเธอดูแล้วเป็นนักศึกษาธรรมดา ถึงกับอาศัยอยู่ในเขตนี้ได้ ถ้าไม่มีเบื้องหลังจะไปทำได้ยังไง

เมื่อมานึกๆ ดูแล้ว เมื่อก่อนหลินเซวียนอยู่ในบริษัท กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งทะเลาะกับคนอื่นเพียงเพราะขาดไส้กรอกแฮมไปท่อนเดียว พลอยให้คนรู้สึกสะท้อนใจเสียจริง

นี่เรียกว่ากลมกลืนกับปุถุชนอย่างพวกเราเป็นหนึ่งเดียว!

หลังจากนี้ขอแค่ประคบประหงมเจ้าแม่ท่านนี้เป็นอย่างดี ตำแหน่งสักตำแหน่งในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร!

อนาคตสว่างไสว!

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเจ้าแม่ท่านนี้เป็นใครกันแน่

……

หลังจากจางเฉิงออกไป

หลินเซวียนก็กวาดสายตามองห้องต่างๆ “พี่อยู่ห้องไหนล่ะ”

หลินเยวียนถาม “ห้องนอนหลักมั้ยล่ะครับ”

หลินเซวียนเบ้ปาก “พี่ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านสักหน่อย ถ้าแม่รู้เข้า ต่อไปพี่มาอยู่ไม่ได้แน่เลย”

“งั้นห้องนี้แล้วกัน”

หลินเยวียนชี้ไปยังด้านซ้าย “นี่เป็นห้องของซย่าฝาน ต่อไปพี่อยู่ห้องนี้แหละ ผมบอกซย่าฝานแล้ว เธอมีประกวดหลังจากนี้ ไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ที่นี่เท่าไหร่หรอก”

อันที่จริง เจี่ยนอี้กับซย่าฝานมาอยู่แค่ไม่กี่ครั้งหรอก

ทั้งสองคนต่างเป็นนักศึกษา ต่อให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยากที่จะไม่กลับหอ

หลินเซวียนพยักหน้า

เจี่ยนอี้กับซย่าฝานล้วนเป็นเพื่อนสนิทของหลินเยวียน เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็มักจะไปเล่นที่บ้านของหลินเยวียนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหลินเซวียนเองก็รู้จักพวกเขา

จริงสิ

หลินเซวียนคล้ายกับว่าจะฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยิ้มเอ่ย “เหยาเหยาจะสอบเกาเข่า[1]เดือนหน้าแล้ว!”

“เร็วขนาดนั้นเลย?”

หลินเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ เขาลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เดือนกรกฎาคมเป็นช่วงเวลาของการสอบ หลินเหยาน้องสาวปีนี้อยู่มัธยมปลายปีสาม แต่นี่จะสอบเกาเข่าแล้วเหรอเนี่ย

หลินเซวียนพูดอย่างมีเลศนัย “นายเดาซิว่าน้องอยากสอบเข้ามหา’ลัยไหน”

หลินเยวียนครุ่นคิด ตอบว่า “น้องเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเหมือนกัน?”

หลินเซวียนดีดนิ้ว “คำตอบถูกต้อง พี่ชายอยู่วิทยาลัยศิลปะฉินโจว แน่นอนว่าเธอเองก็อยากมา หลังจากนี้ถ้าเธอได้มาอยู่ที่วิทยาลัยพวกนาย นายอย่าให้ใครรังแกน้องนะ”

หลินเยวียนตอบอย่างจริงจัง “ผมจะปกป้องน้องเอง!”

ส่วนเรื่องที่หลินเหยาจะสอบเข้าวิทยาลัยศิลปะฉินโจวได้มั้ยนั้น คนในครอบครัวไม่มีใครสงสัย

หลินเหยาน้องสาวของเขาเป็นเด็กเรียนตัวจริงเสียงจริง ผลการเรียนที่โรงเรียนก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆ มาตลอด ทุกปีหลินเซวียนจะถามเธอว่าอยากได้ของขวัญอะไร คำตอบที่จะได้ทุกครั้งก็คือ

หนังสือเรียน

หลินเยวียนพลันนึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “แม่โอเคแล้ว?”

หลินเซวียนเบ้ปาก “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แม่ต้องไม่โอเคแน่ วิทยาลัยศิลปะฉินโจวแพงซะขนาดนั้น มีแค่ลูกชายคนเดียวอย่างนายเนี่ยแหละที่เลือกได้ตามใจ ลูกสาวอย่างเราสองคนทำได้แค่ทำตามที่แม่บอก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นายหาเงินได้เยอะ ที่บ้านก็สบายขึ้นมาด้วย เหยาเหยาอยากเรียนศิลปะ แม่เองก็โอเค”

“งั้นก็ดีแล้ว”

ไม่รู้ว่าน้องสาวเลือกคณะอะไร น้องดูน่าจะชื่นชอบการวาดภาพ?

เรื่องพวกนี้หลินเยวียนไม่เข้าไปยุ่มย่ามอย่างแน่นอน พี่สาวกับน้องสาวชอบทำอะไรก็ทำไปเต็มที่ เขาจะคอยสนับสนุน

“หลังจากนี้ก็ดีเลย”

หลินเซวียนกระซิบ “พี่กับเหยาๆ อยู่ที่เมืองซูกันหมด จะได้ช่วยดูแลกัน ที่จริงตอนเด็กๆ พวกเราสองคนเคยโกรธนาย รู้สึกว่าแม่ลำเอียงเกินไป อะไรดีที่สุดก็ให้นาย พวกเราเหมือนจะได้แต่ของที่เหลือ ถึงกับสงสัยเลยนะว่าแม่คลอดพวกเรามาเพื่อให้พวกเราดูแลนายต่อไป”

หลินเยวียนเงียบ

หลินเซวียนผุดยิ้ม “หลังจากนั้นพี่ก็จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง แม่เก็บซี่โครงไว้ให้นาย นายก็แอบส่งให้พวกเรา วันนั้นเหยาเหยาร้องไห้ทั้งคืน แต่ไม่กล้าส่งเสียง นายเองก็รู้ ว่าพวกเรานอนห้องเดียวกับแม่…นายแปลกใจใช่มั้ยล่ะ ว่าพี่กับน้องเคยโกรธนายด้วย”

หลินเยวียนยังคงเงียบ

หลินเซวียนกระซิบถาม “โกรธเหรอ”

หลินเยวียนส่ายหน้า “ผมกำลังคิดว่า พรุ่งนี้กินซี่โครงกันดีกว่า ผมมีเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง เป็นรุ่นพี่ รอบรู้เรื่องอาหารมากเลยละ”

หลินเซวียน “…”

เธอบีบแก้มหลินเยวียน หันไปพูดว่า “นายไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พี่จะไปจัดห้องสักหน่อย“

หลินเยวียนพยักหน้า

……………………………………………………

[1] เกาเข่า คือการสอบเข้าระดับอุดมศึกษาแห่งชาติของประเทศจีน เป็นการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ คล้ายกับการสอบเอ็นทรานซ์ของประเทศไทย