บทที่ 82 หญิงสาวพยายามกระตุ้น

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 82 หญิงสาวพยายามกระตุ้น

“เจ้าสังหารพวกเขาไปเท่าไหร่?”

เชวียหลิงปรากฏตัวด้านข้างไป๋ชิวหราน

“สอง”

ไป๋ชิวหรานหยิบหินวิญญาณที่หลีจิ่นเหยาให้มากับกระบี่จี้หลิงนำมาวางไว้ตรงหน้าเชวียหลิง

“เจ้าไปหาที่เหลือเอาเอง ข้าว่าพวกมันทั้งหมดคงอยู่ในเมืองโบราณ”

“ตกลง”

เชวียหลิงยื่นมือออกไป

“ส่งมันมาให้ข้า”

“เดี๋ยว เดี๋ยว”

แต่ไป๋ชิวหรานเก็บของตรงหน้าลงและมองไปยังเชวียหลิง

“ช่วยบอกทีว่าเซียนปฐพีเหล่านี้คืออะไร และ ‘พิธีศักดิ์สิทธิ์’ ที่พวกเขาพูดถึงคืออะไร? ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าไม่ทราบ แต่หลังจากสอบสวนในยมโลกแล้ว ข้าเดาว่าคงได้ข้อมูลมาบ้าง”

“…ข้าตรวจสอบและทราบหลายสิ่งหลายอย่าง”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เชวียหลิงก็กล่าวต่อ

“แต่ในหมู่พวกเรามีกฎการรักษาความลับอยู่… ซึ่งบอกไม่ได้ ไม่เพียงแต่ข้าจะสูญเสียจิตวิญญาณ ทว่ายังเสียหมิงอิงและสหายคนอื่น ๆ ด้วย”

“หืม?”

ไป๋ชิวหรานถามต่อ

“มันเกี่ยวข้องกับโลกเซียนหรือเปล่า?”

“ข้าบอกไม่ได้”

เชวียหลิงหันศีรษะหนี

“แต่หากต้องการจะทราบจริง ๆ เช่นนั้นจงเข้าไปหาคำตอบในถ้ำจื้อเซียนเอาเอง… หากโชคดี บางทีอาจจะพบวิธีทะลวงผ่านขั้นกลั่นลมปราณก็ได้”

“จื้อเซียน…ถ้ำ?”

ไป๋ชิวหรานกล่าวทั้งสองคำออกมาและเอ่ยถาม

“สถานที่นั้นคืออะไร?”

เชวียหลิงชี้ขึ้นไปบนฟ้า ไป๋ชิวหรานมองตามจึงเห็นว่าเป็นยอดเขาที่ห้อยกลับหัวลงมาก่อนหน้านี้

“นั่นคือทางเข้าถ้ำจื้อเซียน”

เชวียหลิงกล่าว

“หากต้องการทราบคำตอบก็จงไปหาเอง”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะมอบหินเก็บวิญญาณกับกระบี่จี้หลิงให้เชวียหลิง จากนั้นเชวียหลิงก็นำโคมกระดาษออกมาและเก็บของทั้งสองสิ่งนั้นเข้าไป

“เรียบร้อย”

หลังจากเห็นเชวียหลิงเก็บโคม ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถามอีกครั้ง

“ถึงแม้เจ้าไม่อยากจะพูด แต่ขอเดาว่าเซียนปฐพีเหล่านี้คงจะเป็นผู้แพ้จากการต่อสู้บางอย่าง… นี่จะทำอย่างไรกับพวกเขาต่อเมื่อนำกลับไปยังยมโลก?”

“ทำอย่างไรกับพวกเขาน่ะหรือ หากไม่ใช่ความผิดพลาดใหญ่หลวง พวกเขาย่อมจะถูกพิพากษาให้กลับมาเกิดใหม่ แต่สองคนนี้ทำให้วิญญาณของมนุษย์หลายหมื่นคนต้องตาย…”

เชวียหลิงตอบอย่างเย็นชา

“นรกเท่านั้นที่รออยู่… อะไร? เจ้าอยากจะร้องขอชีวิตให้พวกเขางั้นหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“ข้าแค่อยากจะทราบว่าพวกเขาจะได้ไปนรกจริงหรือไม่”

เชวียหลิงครุ่นคิด

“แม้ว่าการพิจารณาคดีจะละเอียดอ่อน แต่ไม่ว่าจะได้ไปหรือไม่ ข้าคาดเดาว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องไป”

“ดีมาก”

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว ออกไป… ออกไป๊!”

เชวียหลิงไม่ตอบสนองสิ่งใด เขาหันหลังกลับเดินไปยังเมืองโบราณ ร่างค่อย ๆ เลือนหายไปในสายลม

ในเวลาเดียวกัน ศิษย์สถาบันเสวียนฝ่าที่เพิ่งเข้ามาในเมืองโบราณได้พบกับผลึกสีดำแปลก ๆ สองแถวจากสุสานใต้ดิน ทันใดนั้นต่างก็รู้สึกถึงสายลมอันมืดมนพัดผ่านใบหน้า

ลมกระโชกนี้ทำให้สันหลังเย็นวาบ แม้จะมีขั้นพลังที่สูงก็ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้ มันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง หลังจากความรู้สึกชาที่แล่นผ่านอยู่ชั่วครู่ บรรดาศิษย์ของสถาบันเสวียนฝ่ากลับมาได้สติอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นผลึกสีดำที่วางอยู่ใต้สุสานแตกละเอียดกลายเป็นกองทรายสีดำ!

บรรดาศิษย์ออกไปรายงาน จากนั้นผู้อาวุโสฉีแห่งสถาบันเสวียนฝ่าก็มาพร้อมกับใครบางคน พวกเขาดูฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น?”

เขาเอ่ยถาม

“ข้าน้อยไม่ทราบ พวกเราสัมผัสได้แค่ลมกระโชกที่หนาวเย็น จากนั้นก็เป็นเช่นนี้”

ศิษย์หลายคนตอบเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครทราบคำตอบที่แท้จริง

ผู้อาวุโสฉีลงไปตรวจสอบด้วยตัวเอง เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดตอบสนองออกมาจากทรายสีดำ เขาจึงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

“แตกอีกแล้วงั้นหรือ ก่อนหน้านี้ก็แตกเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำหรับตรวจสอบที่มีค่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับความลับของเซียนปฐพี… แล้วมันหายไปไหน?”

ศิษย์ของสำนักเสวียนฝ่าก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้าพูดตอบ

“เอาล่ะ ท่านพี่ฉีอย่าเพิ่งโกรธเลย”

ในเวลานี้ไป๋ชิวหรานได้เดินเข้ามาจากด้านนอกสุสาน เขาเหลือบมองผลึกบนพื้นที่แตกละเอียดและพูดกับผู้อาวุโสฉี

“ข้าทราบว่าใครทำ อย่าโทษศิษย์เหล่านี้”

“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง?”

ผู้อาวุโสฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระงับอารมณ์โกรธ

“ใครเป็นคนทำ?”

ไป๋ชิวหรานเดินไปหาผู้อาวุโสฉีก่อนจะกระซิบสองสามคำจนทำให้อีกฝ่ายตระหนักได้

“กลายเป็นว่า…”

“แค่ทราบก็พอแล้ว”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“ยังมีอีกหลายสิ่งในเมืองโบราณนี้ และยังมีเวลาเพียงพอให้ได้พูดคุยกันอีก”

ชายหนุ่มหันหลังกลับเดินออกไปจากสุสานพร้อมมองออกไปยังภูเขาเหนือศีรษะ ซูเซียงเสวี่ยเดินมาด้านข้างและมองขึ้นไปเช่นเดียวกัน

“วิญญาณของเซียนปฐพีเหล่านั้นถูกจับไปแล้วงั้นหรือ?”

“ใช่ ข้ามอบวิญญาณทั้งสองให้เขาไป เช่นนั้นน่าจะเพียงพอ”

ไป๋ชิวหรานกล่าว

“ยมทูตคนนั้นเพิ่งได้พบเนื้อคู่ เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพียงชายโดดเดี่ยวไร้คู่ครอง หลังจากเสียชีวิตก็ได้กลายเป็นยมทูต จนได้เจอกับมิตรสหายเก่า ๆ หากพูดถึงการสกัดกั้นเมืองโบราณครั้งนี้ได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีเขาคอยช่วย ข้าไม่อิจฉาเลยที่จะเห็นเขามีความสุขบ้าง”

“แม้แต่วิญญาณยังหาคู่ครองได้ แล้วเมื่อไหร่ท่านจะพบคนที่ชอบบ้าง?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเบา ๆ

ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ

“ใช่ เมื่อไหร่กันนะ?”

“ผลจากต้นโลหะแตกหน่อและกิ่งก้านสาขา ผู้คนไม่สามารถกลับไปเป็นหนุ่มได้อีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นเมื่อไหร่ท่านจะแต่งงาน?”

ซูเซียงเสวี่ยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย

“เจ้ามาเพื่อหาเรื่องหรือ?”

ไป๋ชิวหรานถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

ซูเซียงเสวี่ยอยากตอบว่าที่มาก็เพื่อจะนอนกับเขา แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางคิดได้ว่ามันยังไม่เหมาะสม กลัวว่าไป๋ชิวหรานจะไม่ชอบ จึงเปลี่ยนท่าทีและถามอีกครั้ง

“ถามจริง ท่านคิดจะสร้างครอบครัวบ้างหรือไม่?”

นางมองไปที่ไป๋ชิวหรานและกระตุ้น

“ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพูดว่า คนที่เจอคนรักย่อมฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ได้ และสร้างฐานะครอบครัวสำเร็จ บางทีท่านอาจจะหาสตรีสักคน ให้นางเป็นแรงบันดาลใจเพื่อบรรลุขั้นพลังก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

“นี่…”

ไป๋ชิวหรานดูสนใจเล็กน้อย แต่หลังจากคิดได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ส่ายหัวเบา ๆ

“การบังคับคนอื่นให้มาสมรสนั้นไม่ถูกต้อง ข้ายังไม่มีคนที่เหมาะสมกับหัวใจ เวลานี้ควรจะลองวิธีอื่นเพื่อบรรลุขั้นพลังด้วยตัวเอง”

ซูเซียงเสวี่ยกลอกตา

“กล่าวด้วยความเคารพ ท่านพยายามมาสามพันปีแล้ว”

“ครั้งนี้แตกต่างออกไป”

ไป๋ชิวหรานมองไปบนท้องฟ้าและชี้ไปยังยอดเขา

“ครั้งนี้มีคนบอกว่าอาจจะมีเบาะแสที่ช่วยให้บรรลุขั้นพลังสำเร็จ ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะลองดู”