ตอนที่ 85 กระบี่ท่องหล้า
เลือดพุ่งทะลักมาจากคอที่ขาด
พินิจเหมันต์ขวางหน้าหนิงอี้ คมกระบี่นั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่มีความลังเลใดๆ เลย
ดังนั้นในใจคนส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจิตใจลังเลและยังมีความใจอ่อนคนนั้น ภาพลักษณ์พลันเปลี่ยนไป
ผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราถูกตัดคออย่างง่ายดายเช่นนี้ คุณความดีส่วนใหญ่ต้องยกให้ขุนนางชราสวมผ้าคลุมคนนี้ ตอนที่ลุกขึ้นเดินผ่าน ขุนนางเปิดผ้าคลุมขึ้น ทุกคนเห็นเกราะคุมนรกที่พันรอบเอวในผ้าคลุม ใบเกล็ดสามพันหกร้อยชิ้นเต็มไปหมด ขนาดเท่ากำปั้นทารก ถูกพลังขยายจนแทบระเบิด คนชราที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอดคนนี้ กายจิตและพลังบำเพ็ญสูงจนยากจะจินตนาการได้ หมัดเดียวทุบแสงดาราคุ้มกันของราชันดาราอี๋อู๋แตก หากเมื่อครู่หนิงอี้ไม่ออกกระบี่นั้น เขาแค่ออกแรงห้านิ้วมือที่บีบหน้าบุรุษนุ่มนวลเล็กน้อย ก็จะระเบิดศีรษะราชันดาราอี๋อู๋ได้สบายเหมือนบีบแตงโม
องค์ชายสามอึ้งไปเล็กน้อย กับการกระทำของหนิงอี้เมื่อครู่ เขาเพียงแค่ขมวดคิ้ว สองมือสอดในแขนเสื้อ จากไปโดยไม่หันมามองเลย
องค์ชายรองที่พิงรถม้ามีสีหน้าราบเรียบดังเดิม มองหนิงอี้ที่สังหารราชันดาราอี๋อู๋แล้วเก็บกระบี่ช้าๆ รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนมองคนผิดไป
นี่ไม่ใช่คนที่จะเมตตาใจอ่อนศัตรูเลย
อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ จะเดินเส้นทางกระบี่ที่กว้าง เขาไม่ใช่แค่จะฟันกฎทั้งหมดที่ขวางหน้า แต่จะเอาชนะศัตรูที่ยืนอยู่หน้าตนไปทีละคน ต่อให้ตอนนี้ยังไม่ทะลวงสิบขอบเขต ก็ไม่แสดงความอ่อนข้อต่อหน้าราชันดาราอี๋อู๋เด็ดขาด ขังอีกฝ่ายไว้ในกรมผู้คุมกฎ ก็น่าจะเพื่อสักวันหนึ่งจะได้สังหารศัตรูคนนี้ด้วยตนเอง
ลังเลไม่แน่นอน แต่มีจิตใจโหดเหี้ยม
หลี่ไป๋จิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจหน่อยๆ แล้ว
……
การกระทำของหนิงอี้ทำให้จวนภูเขาครามเกิดความวุ่นวายขึ้น ผู้บำเพ็ญจวนขานฟ้ามีใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ชนรุ่นหลังของราชันดาราอี๋อู๋มีคนตาแดง กดอารมณ์ชั่ววูบชักกระบี่ไว้ คนสามกรมส่วนใหญ่มีสีหน้าปกติ เฉยชา ในแววตาที่มองหนิงอี้มีชื่นชม แต่ที่มากกว่านั้นคือสนุกสนาน
หนิงอี้ทำเป็นไม่เห็นทุกอย่าง
เขาเก็บพินิจเหมันต์ มองขุนนางชรา หากไม่มีอะไรผิดพลาด คำสั่งที่สองต่อไปนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างแท้จริง…ในความเป็นจริง หนิงอี้ก็เดาเนื้อความของคำสั่งที่สองได้คร่าวๆ แล้ว
“เชิญ” เขาเอ่ยราบเรียบ สองมือปักกระบี่ยืนตรง
ขุนนางชราที่ก่อนหน้านี้เผยกายและจิตน่าตกใจ คิ้วและเคราถูกลมพัดไม่หยุด ตอนนี้กลับมาสงบนิ่งช้าๆ ร่างไม่ได้เตี้ยลงและก็ไม่ได้ผอมลง แต่ดันทำให้คนรู้สึกว่าชุดเกราะทรราชที่ ‘เป็นหนึ่งใต้ฟ้า’ ก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างขุนนางชราและอ่อนแออีกครั้ง สิ่งที่อยู่ภายในมีเพียงวิญญาณอ่อนโยนที่ปกติจะไม่ออกจากเมืองหลวงและจะตอบรับคนด้วยรอยยิ้มเจตนาดีนั้น
ขุนนางชราคลึงใบหน้า ขมวดคิ้วมองไปรอบๆ ก่อนหน้านี้เกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เขาแค่อยากรีบจบงานนี้ จะได้รายงานกับท่านนั้นในวังได้
เขานำพระรางโองการนั้นออกมาจากแขนเสื้อ สะบัดเล็กน้อย กางออกแล้วก็พูดเสียงดัง
“คำสั่งที่สอง!”
สมาชิกสามกรมที่เหลือรอนานแล้ว ก็เพื่อตอนนี้
พวกเขามองเด็กหนุ่มที่ยืนปักกระบี่ ในดวงตามีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก มีเฝ้ารอคอยและชื่นชม มีอิจฉาและปลงอนิจจัง ความริษยาและเคียดแค้นในเงามืดพวกนั้น ตอนนี้หายไปจนหมดสิ้นภายใต้ดวงตะวันสว่างจ้าลุกโชติช่วง
คนชรานั้นในตำหนักหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณชายหนิงอี้…ได้รับแต่งตั้งฉายาขุนนางรองท่องกระบี่ เมืองหลวงผ่านมานานหลายปี พายุฝนโหมซัดสาด สำนักศึกษาวุ่นวายภายใน มีปราณกระบี่ปรากฏ…”
จากนั้นก็เป็นการยกย่องกล่าวชมมากมาย องค์ชายสามหลี่ไป๋หลินที่เลือกกลับก่อนเหมือนรู้ นี่เป็นการกระทำของคนฉลาด เพราะกลิ่นอายชมเชยในคำสั่งนี้ทำให้สมาชิกสามกรมที่เตรียมใจไว้ก่อนแล้วยังตกใจกันเล็กน้อย
ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ขนาดนี้เชียว
ฉายาขุนนางรองท่องกระบี่ มีระดับไม่ต่ำเลย เห็นได้ชัดว่ารับช่วงต่อจากยอดนักกระบี่เคียงกระบี่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนั้น…ส่วนสามสำนักศึกษาที่อยู่จวนภูเขาครามมีสีหน้าซับซ้อน ให้ฝ่าบาทไท่จงแต่งตั้งอย่างสมเกียรติได้เช่นนี้ เคียงกระบี่คนนั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่อย่างนั้นมีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความชื่นชอบเช่นนี้
“ฉายาท่องกระบี่ นำมาจากคำว่า ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ ศิลาแตกบำเพ็ญวิถีกระบี่ถ้ำกวางขาว สืบต่อมรดกต่อไปอีกครั้ง มอบตำแหน่งแขกสำนักศึกษา จวนอีกแห่ง มอบรางวัลอีกสองหมื่นตำลึงเงิน”
และยังมีตำแหน่งแขกของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
ซูมู่เจอกับสุ่ยเสวี่ยมองหนิงอี้ ในแววตามีรอยยิ้ม
หนิงอี้ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงในใจตกใจมาก ขุนนางชราอ่านคำสั่งจบก็หมุนตัว นำเงินทองแดงเหรียญหนึ่งมาจากแขนเสื้อ เงินทองแดงนั้นกลมนอกเหลี่ยมใน รอบรูตรงกลางแกะสลักคำว่า ‘ใต้ฟ้าต้าสุย’ รอบรูข้างหลังเป็นคำว่า ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’
ขุนนางชราคีบเงินทองแดงนี้ขึ้น วางกลางมือหนิงอี้เบาๆ สองมือกุมมือหนิงอี้ กำหมัดเขาไว้ ให้เงินทองแดงที่ไม่ถือว่าใหญ่นี้เข้ากลางฝ่ามือ ท่าทางของสองคนดู ‘สนิทสนม’ กันมาก
ขุนนางชราเอียงตัวกระซิบข้างหูเบาๆ “คุณชายหนิงอี้ เมืองหลวงใหญ่แต่อยู่ยาก…อยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด เป็นนกดีเลือกไม้ดีพักผ่อน คำนี้ไม่ใช่คำโกหกเลย แต่ขอให้ท่านจงจำไว้ให้แม่น ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงก็ยังเป็นฝ่าบาท”
หนิงอี้มองแววตาเร่าร้อนขององค์ชายรองพลางครุ่นคิด
ขุนนางชราหัวเราะเสียงดัง ตบบ่าหนิงอี้ สองคนเว้นระยะห่างกันเล็กน้อย คนชรามีชีวิตชีวา ดูมีความสุขมาก ใบหน้าแดงเรื่อ ไม่เกรงกลัวใครจะได้ยินเลย “แขกหนุ่มของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ท่านขุนนางรองท่องกระบี่แห่งต้าสุย คุณชายหนิงอี้ มีอนาคตไร้ขีดจำกัด”
หนิงอี้ป้องมือคารวะด้วยรอยยิ้มเช่นกัน กำเงินทองแดงนั้นไว้ในมือ เขายกสองมือขึ้นแสดงความเคารพ ขุนนางชรากลับไม่เคารพกลับ เขาโบกมือและค่อมหลังม้าอีกครั้ง ไปจากจวนภูเขาคราม
ผู้มีอำนาจพวกนั้นของกรมผู้คุมกฎเริ่มจัดการคนของสามสำนักศึกษาตามความคิดของหนิงอี้ก่อนหน้านี้
ภายในจวนภูเขาครามมีผู้มีอำนาจมาแสดงความยินดีเป็นกลุ่มใหญ่ หนิงอี้ตาลายเล็กน้อย เขายิ้มและแสดงความเคารพกลับทีละคน พูดคุยกัน คนนี้ตระกูลจ้าวคนนั้นตระกูลหวัง และยังมีคำเชิญและงานเลี้ยงเต็มไปหมด สายตาของชนชั้นสูงสุดของทั้งเมืองหลวงมองมาที่เด็กหนุ่มที่เดินทางไกลมาจากเขาสู่ซาน
“ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า!”
นี่เป็นฉายาที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ด้วยตนเอง ฉายานี้หมายความว่าอย่างไร
เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจีย ตอนพลังบำเพ็ญถึงขอบเขตที่เก้า ในวันล่าที่ทะเลพลิกผัน แบกกลับมาได้เต็มลำ สร้างผลงานการรบของตนได้เด่นที่สุดในสิบปีมานี้ของต้าสุย แต่ก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว การแต่งตั้งของฝ่าบาทไม่ได้ ‘ขี้เหนียว’ เหมือนตอนนี้ ‘ขุนนางรองท่องกระบี่’ ในตอนนี้ แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ก็มีคนเดาได้ว่านี่เกี่ยวกับที่เยี่ยหงฝูไม่อยู่ในเมืองหลวงเป็นประจำ
แต่หนิงอี้ลงหลักปักฐานในเมืองหลวงแล้ว
ดูท่าเขาสู่ซานคงจะปล่อยอาจารย์อาน้อยคนนี้ ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่าหนิงอี้เป็นอุโมงค์กินทองที่ย่อยทรัพยากรมากขนาดนี้ พันกรโยนเขามาเมืองหลวงก็มีแผนการที่บอกใครไม่ได้อยู่
ลั่วฉางเซิง เยี่ยหงฝูและเฉาหลันสามคนก่อนหน้านี้ โดดเด่นมานานมากแล้ว ก็ยังไม่ได้รับแต่งตั้งในเมืองหลวง มีเพียงหนิงอี้ในตอนนี้ ก่อนออกจากภูเขาก็ได้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา หลังผ่านการทดสอบก็มาเมืองหลวง หลังจบศึกสำนักศึกษายังได้ฉายา ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ นี่เป็นรองเพียงเคียงกระบี่
มีผู้มีอำนาจของสามกรมเริ่มคาดเดาว่า…บางที ฝ่าบาททรงอยากเห็นเคียงกระบี่คนที่สองหรือไม่
แขกหนุ่มของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็ดี จะได้ฉายาขุนนางรองท่องกระบี่ ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ ก็ดี ฐานะพวกนี้หากวางในตัวผู้บำเพ็ญบางส่วน จะเป็นเกียรติยศไม่น้อยเลย แต่วางให้หนิงอี้ กลับไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้
หนิงอี้มาเมืองหลวง ไม่มีเหตุผลอื่น คำพูดนั้นที่ราชันดาราอี๋อู๋กล่าวที่หลังเขาสู่ซานเป็นชนวน เดิมทีเขารีบร้อนต้องการทรัพยากร ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ได้แค่เปลี่ยนวิธีเป็น ‘หยิบ’ สุสานสำนักศึกษาใต้จวนภูเขาคราม หรือจะเป็นแดนต้องห้ามบรรพจารย์ของเขาศักดิ์สิทธิ์อื่น หนิงอี้มีวิธีเข้าไปทั้งนั้น
เขาจะทะลวงพลัง จะฝึกบำเพ็ญ ก็ได้แต่แบบนี้เท่านั้น
ส่วนสามสำนักศึกษาที่พุ่งชนตนก่อน แต่สุดท้ายตัวเองกระดูกแหลกไปทั้งตัวนั้น…ในสามสำนักศึกษา คนพวกนั้นที่จุดชนวนการต่อสู้และมีความแค้นกับหนิงอี้ถูกกรมผู้คุมกฎพาไปแล้ว ขับไล่ไปชายแดนทักษิณ
ผู้บำเพ็ญหนุ่มพวกนั้นที่เหลือ หนิงอี้ไม่เกรงกลัวเลย
หนิงอี้กอดพินิจเหมันต์ หมุนตัวมามองบุรุษชุดคลุมครามที่นั่งจ้ำเบ้าอยู่กลางซากจวนภูเขาคราม ศึกในจวนภูเขาคราม ทำให้จิตมรรคของคุณชายครามถูกเขาตีแตก ตอนนี้มีแต่ฝุ่นทั้งตัว แววตาสับสน อาจารย์ของตนถูกไล่ไปแม่น้ำวายุแดง ชื่อของจวนขานฟ้ายังอยู่แต่ความจริงได้ตายไปแล้ว หัวใจหลักถูกไล่ออกจากสำนัก ไปชายแดนทักษิณ
เขาเงยหน้าด้วยความเหม่อลอย
เงาที่กอดกระบี่ยาวสีดำหยุดอยู่ตรงหน้าตน
“หากงานราชวงศ์ใหญ่ยังเจอเจ้า เจ้ากับข้ามาตัดสินกันอย่างยุติธรรมได้”
หนิงอี้ทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนไปจากที่นี่ สี่คุณชายใหญ่สำนักศึกษา กำลังรบและพลังบำเพ็ญตอนนี้อยู่เหนือกว่าตน เขาเอาชนะคุณชายครามในจวนภูเขาครามได้เพราะใช้ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์
พ่ายแพ้ให้หนิงอี้ จิตมรรคของคุณชายครามคงเลี่ยงไม่ให้เกิดรอยร้าวไม่ได้
เดินทางลัด จิตมรรคของหนิงอี้ก็อาจจะไม่ปลอดภัย
เพียงแต่จิตมรรคของหนิงอี้เหมือนหนังหน้าเขามาตลอด หนากว่าคนปกติหน่อย ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ สู้อย่างยุติธรรม ใช้กลอุบายทั้งหมด อย่างมากก็รอพลังบำเพ็ญเท่ากันแล้วสู้อีกครั้ง
เวลาการฝึกบำเพ็ญของหนิงอี้ไม่เท่าสี่คุณชายสำนักศึกษาอย่างคุณชายคราม ดังนั้นเขาเลยไม่มีความละอายใจ
คนของจวนภูเขาครามแยกย้ายกันไปพอประมาณแล้ว
คนที่ยังรออยู่มีเพียงรถม้าที่ประทับลายดอกบัวดำ
และยังมีบุรุษหนุ่มที่สวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีดำเรียบง่าย ยืนอมยิ้มอยู่
หลี่ไป๋จิงรอมานานแล้ว
……………………..