ตอนที่ 66

My Disciples Are All Villains

เดิมทีสำนักบริสุทธิ์และสำนักฝ่ายธรรมะทั้งหมดล้วนแต่ไม่ได้ประทับใจลู่โจวตั้งแต่แรกเริ่ม และการที่ตัวเขาได้ช่วยเหลือพวกชาวยุทธไปก็คงจะไม่อาจทำให้ตัวเขาพาจ้าวยู่กลับไปได้ง่ายๆ แน่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเจ้าพวกนี้กลับกล้าขอร้องให้ตัวเขาปกป้องได้ยังไงกัน? เจ้าพวกนี้สมควรที่จะตายแล้วถ้าหากกงหยวนคิดจะมาจัดการพวกเขาจริงๆ

ในตอนนั้นหยวนเอ๋อก็ได้แบกตัวจ้าวยู่กลับมายืนอยู่ข้างๆ ลู่โจวได้สำเร็จ

เมื่อเห็นความต้องการของลู่โจวเหล่าชาวยุทธทั้งหลายก็ต่างพูดขึ้นมาทีละคนทีละคน

“ท่านผู้อาวุโสได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย”

“จ้าวยู่น่ะเป็นศิษย์คนที่ห้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า เธอเป็นศิษย์ของปรมาจารย์มหาวายร้าย เธอน่ะก่อกรรมมาแล้วมากมาย ถ้าหากพวกเราไม่จัดการเธอแล้วละก็ เธอจะต้องนำหายนะมาสู่ยุทธภพแน่! “

“ได้โปรดไตร่ตรองให้ดีด้วยท่านผู้อาวุโส! “

ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่แอบเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้คนพวกนี้ยังขอให้ตัวเขาปกป้องชีวิตให้อยู่เลย และในตอนนี้กลับขอให้ตัวเขาคิดทบทวนการกระทำอีกครั้ง ‘เจ้าพวกนี้ไม่เคยคิดถึงคุณค่าของในสิ่งที่ได้มาเลยอย่างงั้นสินะ คงจะเป็นแค่เรื่องโกหกละมั้งที่ว่าสำนักฝ่ายธรรมะจะแสวงหาและเดินไปยังเส้นทางอันยุติธรรมสูงส่งเท่านั้น’ หลังจากที่คิดแบบนั้นลู่โจวก็ได้พูดออกไปอย่างเย็นชา “ใครกันที่มีปัญหาถ้าหากอาตมาจะพาเธอไป? “

เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างเงียบอย่างพร้อมเพรียงกัน “เอ่อ…”

ลู่โจวหันกลับมาก่อนที่จะพูดกับหยวนเอ๋อ “พวกเราไปได้แล้ว! “

ด้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าลู่โจว

ลู่โจวไม่แปลกใจเท่าไหร่ ด้วนชิงเป็นยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่มีวรยุทธถึงระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ และเพราะฝีมือที่เหนือชั้นกว่าคนทั้วไปจึงทำให้ตัวเขาไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจเหมือนกับชาวยุทธคนอื่นๆ ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็รีบประเมินสถานการณ์ในทันที ‘ถ้าหากจัดการด้วนชิงไปก็คงจะเป็นเยี่ยงอย่างให้กับพวกชาวยุทธได้ เพราะงั้นแล้วนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับตัวฉันเอง’

แต่ถึงจะประเมินสถานการณ์ไว้แล้วแต่เรื่องไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น

ด้วนชิงโค้งคำนับให้เล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสน่ะเหมาะที่จะพาตัวเจ้าวายร้ายจ้าวยู่ไปมากที่สุดแล้ว วิหารปีศาจเห็นด้วยกับการตัดสินใจเรื่องนี้! “

ทันทีที่ด้วยชิงพูดจบ เหล่าผู้ฝึกยุทธจากสำนักบริสุทธิ์และจากสำนักฝ่ายธรรมะต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกัน

‘แม้ว่าเส้นทางอันสูงส่งของสำนักฝ่ายธรรมะจะขัดแย้งกับสำนักฝ่ายอธรรมก็ตามที แต่พิธีศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อที่จะให้จ้าวยู่แต่งงานเพื่อลดความขัดแย้งของสำนักทั้งสองฝ่าย ยอดฝีมือลำดับที่สองของวิหารปีศาจเองก็เพิ่งจะถูกจัดการไปด้วยฝีมือของปรมาจารย์มหาวายร้าย แล้วเหตุใดกันทำไมด้วยชิงถึงปล่อยตัวจ้าวยู่ไปแบบนั้น? ‘

“ด้วนชิง เจ้าน่ะลืมไปแล้วหรอว่าซู่จินฉานน่ะตายเพราะฝีมือของใครกัน? “

ด้วนชิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ซู่จินฉานน่ะขึ้นไปท้าทายกับศาลาปีศาจลอยฟ้า และก็เพราะแบบนั้นเขาถึงได้เสียชีวิตไป”

“แล้วเจ้ายังกล้าอีกหรอว่าสิ่งที่เจ้าได้พูดไปเป็นการตัดสินใจของวิหารปีศาจน่ะ? “

ด้วนชิงสบตาทุกคนก่อนที่จะกะพริบตาอย่างเย็นชา

พรึ๊บ!

ด้วนชิงเคลื่อนไหวฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธที่มาจากสำนักบริสุทธิ์ก็ถูกพลังฝ่ามือเข้าไปเต็มๆ ที่ปากของเขากระอักเลือดออกมาก่อนที่จะล้มลงไปกับพื้น ผู้ฝึกยุทธผู้โชคร้ายคนนั้นตายแล้วนั่นเอง!

เมื่อเห็นแบบนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกตกใจก่อนที่จะเดินถอยหลังไปในทันที

“แม้ว่าเส้นทางอันสูงส่งของสำนักฝ่ายธรรมะกับเส้นทางของพวกเราสำนักฝ่ายอธรรมจะแตกต่างกันก็ตาม…ข้าน่ะไม่ใช่เจ้านักบวชหัวโล้นกงซุนนั่น เพราะงั้นถ้าหากใครก็แล้วแต่ที่กล้าทำตัวเป็นใหญ่และมาที่นี่เพื่อที่จะเทศนาอีก ข้าจะส่งเจ้าพวกนั้นกลับบ้านไปหาแม่เอง ข้าน่ะเบื่อที่จะได้ยินเรื่องน่าเบื่อพวกนั้นแล้ว…”

“…”

แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เงียบสนิท

ใครกันที่จะกล้าคัดค้านด้วยชิงในเวลานี้? เดิมทีแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านนักบวชกงซุนตั้งแต่แรกอยู่ก่อนแล้ว และในตอนนี้ผู้ที่มาจากสำนักฝ่ายอธรรมเองก็ยังไม่กล้าที่จะคัดค้านอะไรด้วนชิง

ด้วนชิงเดินไปหาลู่โจว เขาโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านผู้อาวุโสน่ะมีความเมตตา ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยหวังว่าความเมตตาอันนั้นจะทำให้เจ้าจอมวายร้ายคนนี้กลับตัวได้ ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วทุกๆ คนในยุทธภพก็คงจะได้พบกับความสงบสุขเป็นแน่”

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ชายคนนี้เป็นคนที่มีไหวพริบและรู้เท่าทันสถานการณ์ แต่ถึงแบบนั้นการที่ชายคนนี้จะเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ตัวเขาจะต้องระวังชายคนนี้ให้มากกว่านี้ ถ้าหากมีความจำเป็นจริงๆ ลู่โจวก็คงจะต้องใช้การ์ดพิเศษของเขาอีกใบ

ด้วนชิงที่เห็นแบบนั้นได้พูดต่อไป “ถ้าหากนายท่านจะเอาตัวเธอคนนั้นไปแล้ว วิหารปีศาจก็คงจะต้องพิจารณาเรื่องการแก้แค้นให้ซู่จินฉานอีกครั้ง”

ลู่โจวพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะตอบกลับอย่างเฉยเมย “เจ้าน่ะฝึกฝนเคล็ดวิชาเต๋าล่องหนได้ดีจริงๆ “

ด้วนชิงถึงกับผงะเมื่อได้ยินแบบนั้น ตัวเขารีบโค้งคำนับให้กับลู่โจวอย่างรวดเร็ว

ลู่โจวได้โบกมือขึ้นมา

ในตอนนั้นเองไม่นานมากนักบี่เอี๊ยนก็ได้ลอยมาจากฟากฟ้า มันลอยลงมาที่ใจกลางแท่นทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะคำรามออกมาเหมือนเสือที่แยกเขี้ยวเล็บ

นักบวชจากวิหารแห่งความว่างเปล่าที่เหลือต่างก็แสดงท่าทีพร้อมต่อสู้ออกมา แต่ถึงแบบนั้นบี่เอี๊ยนก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกเขา มันรีบตรงมาหาลู่โจวอย่างไร้เยื่อใย

ตู๊ม! ตู๊ม!

นักบวชที่ฝึกฝนตัวเองจนทะลวงเส้นพลังลมปราณทั้งแปดสองคนได้โจมตีเข้าหาบี่เอี๊ยน พวกนักบวชทั้งหลายตระหนักได้ถึงความอันตรายของสัตว์ขี่ตัวนี้ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไรพวกเขาก็กระเด็นกลับถอยหลังไปซะก่อน

เหล่าฝูงชนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้ตื่นตกใจขึ้นอีกครั้ง

‘สัตว์ขี่นี่มัน…’

‘ช่างเป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลังอะไรแบบนี้’

‘นักบวชอาวุโสผู้ฝึกยุทธบำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีสัตว์ขี่ที่ดุร้ายแบบนี้’

‘ข้าไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ‘

ลู่โจวได้กระโดดขึ้นขี่บี่เอี๊ยน

หลังจากนั้นหยวนเอ๋อก็ได้แบกจ้าวยู่ขึ้นไปบนหลังก่อนที่จะขึ้นไปบนหลังของบี่เอี๊ยนตามผู้เป็นอาจารย์

บี่เอี๊ยนได้ส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง มันได้ใช้กีบเท้าทั้งสี่พุ่งออกจากแท่นทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ไป

เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายจะต้องใช้เทคนิคพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อจะมองตามความเร็วของสัตว์ขี่ตัวนี้ได้ทัน บี่เอี๊ยนได้พุ่งหายไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว มีเพียงจอมยุทธที่มีวรยุทธที่ลึกล้ำเท่านั้นที่จะมองตามความเร็วของบี่เอี๊ยนได้ทัน

ชาวยุทธคนอื่นๆ ได้แต่จ้องมองบี่เอี๊ยนบินไปจากแท่นบูชาด้วยความอิจฉาจ บี่เอี๊ยนได้แต่ทิ้งสายลมเอาไว้บนแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์

ในตอนที่พวกลู่โจวจากไป ในตอนนั้นแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยแรงกดดันอีกครั้ง

ชาวยุทธจากสำนักฝ่ายธรรมะและสำนักบริสุทธิ์ต่างก็ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ในตอนนี้พวกเขาไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีใครสักคนพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“พวกเราให้อภัยพวกนักบวชหัวโล้นนี้ไม่ได้! “

“จับพวกมันเอาไว้”

ถึงแม้ว่าจะมีชาวยุทธพูดแบบนั้นแต่ด้วยชิง ยอดฝีมือลำดับสามของวิหารปีศาจก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พวกเจ้าน่ะจะไม่ใจดีเกินไปหน่อยหรอที่จะจับพวกมันเอาไว้น่ะ? “

“แล้วเจ้าจะให้พวกเราทำยังไงกันล่ะ? “

ด้วนชิงที่ได้ฟังคำถามก็ได้ตอบกลับมา “ถ้าหากจะกำจัดวัชพืชน่ะ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการถอนรากถอนโคนของพวกมันออกมา ถ้าหากไม่ทำแบบนั้นในอนาคตพวกมันก็จะยังงอกเงยออกมาอีกครั้ง”

ผู้ฝึกยุทธที่มาจากสำนักบริสุทธิ์และสำนักฝ่ายธรรมะทั้งหมดต่างก็จ้องมองด้วนชิงอย่างตกใจ และเพราะว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ภาคภูมิใจในเส้นทางอันสูงส่งและยุติธรรมที่ยึดภือมาโดยตลอด และเพราะแบบนั้นแล้วการที่จะทำอะไรในแบบของด้วนชิงจึงผิดธรรมชาตินั่นเอง

แต่ถึงแบบนั้นวิหารปีศาจกลับไม่ได้มีความคิดแบบนั้น

ผู้ฝึกยุทธที่ยึดถือเส้นทางอันสูงส่งทั้งหลายต่างไม่ได้พูดอะไร พวกเขาได้แต่นิ่งเงียบและปล่อยให้ความเห็นที่มีลอยหายไปตามสายลม

ความโกรธเกรี้ยวของวิหารปีศาจได้ทำให้ชาวยุทธผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บมารู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดในแบบเดียวกันกับเหล่านักบวชทั้งหลายเหล่านี้

ลู่โจวที่ขี่บี่เอี๊ยนอยู่ได้เดินทางผ่านอาคารต่างๆ ของพิธีศักดิ์สิทธิ์ไป ในตอนนั้นเองมีใครสักคนแอบมองการจากไปของตัวเขาอยู่

ชายคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาคือเจียงอาเฉียนนั่นเอง ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ตัวเขาจ้องมองบี่เอี๊ยนก่อนที่จะถอยกลับไป ในตอนนั้นเองเขาก็ได้แต่พึมพำออกมาเพียงลำพังเท่านั้น “นั่นมันเป็นไปไม่ได้…ด้วยวรยุทธของเขาเนี่ยนะ? วรยุทธแบบนั้นไม่มีทางเลยที่เขาจะเป็นนักบวชผู้อาวุโสจากนิกายพุทธได้? “

เจียงอาเฉียนลูบคางของตัวเอง ในตอนนี้ตัวเขาอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าควรจะตามเขาไปไหม? ถ้าหากข้าตัดสินใจตามไปจริงนักบวชคนนั้นคงไม่ฆ่าข้าหรอกใช่ไหม? แต่ดูเหมือนว่านายท่านคนนั้นจะเป็นคนดี ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาหรอกมั้ง”

เมื่อเจียงอาเฉียนเงยหน้ามองขึ้นอีกครั้ง บี่เอี๊ยนก็ได้หายไปจากสายตาของเขาแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นจะมุ่งหน้าไปทางไหน เจียงอาเฉียนได้แต่ตกตะลึงเท่านั้น

ลู่โจวไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปยังภูเขาทอง ตัวเขาบินกลับไปยังเมืองรูหนานแทน แม้ว่าตัวเขาจะพบกับตัวจ้าวยู่แล้วแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังมีคำถามมากมายอีกหลายคำถามที่ต้องการคำตอบ

ลู่โจวลงจากบี่เอี๊ยนก่อนที่จะไล่บี่เอี๊ยนให้ไปไกลจากเมืองรูหนาน ท้ายที่สุดแล้วสัตว์ขี่ในตำนานแบบนี้ก็ยังดึงดูดความสนใจของชาวบ้านมากไปอยู่ดี

ลู่โจวและหยวนเอ๋อได้พาตัวจ้าวยู่กลับมายังโรงเตี๊ยม เมื่อพวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยม ชายผู้ดูแลโรงเตี๊ยมก็ได้แสดงอาการตื่นตกใจออกมา อาการตื่นตกใจของชายคนนั้นเป็นอาการตื่นตกใจราวกับว่าได้พบพ่อแม่ที่พลัดพรากกันไป ตัวเขาวิ่งไปหาลู่โจวก่อนที่จะโค้งคำนับให้

“นายท่าน ในที่สุดนายท่านก็กลับมา! ถ้าหากมาช้ากว่านี้ข้าคงจะต้องตายแล้ว! “

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ถามออกมาอย่างสงสัย “เจ้าหมายความว่าอะไรกัน? “

“เจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่มาจากพระราชวังบอกเอาไว้…พวกนั้นบอกว่าข้าทำตัวไม่เหมาะสมกับนายท่าน สิ่งนั้นเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง! “

“ไม่เป็นไรหรอก” ลู่โจวโบกมือ เขาโบกมือให้หยวนเอ๋อพาจ้าวยู่กลับไปในห้อง ในตอนนี้ตัวเขาไม่จำเป็นจะต้องโต้เถียงอะไรกับชายคนนี้

ลู่โจวเดินขึ้นบันไดไปก่อนที่จะหันมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วเจ้าเจอคนร้ายแล้วรึยัง? “

ชายผู้ดูแลโรงแรมส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยข้อมูลให้ข้าได้รู้เลย เพราะงั้นข้าน้อยเลยไม่อาจรู้ได้”

ลู่โจวพยักหน้าตอบรับไป ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไป

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่างในพิธีศักดิ์สิทธิ์ ลู่โจวก็ได้ล่วงรู้เบาะแสอะไรเข้า เฉิงเหวินเจี๋ยดาบปีศาจ คนคนนี้กำลังต่อสู้อยู่กับสำนักบริสุทธิ์ ดังนั้นเขาก็คงจะไม่ใช่ผู้ร้าย ดังนั้นความเป็นไปได้จึงเหลืออยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น คนร้ายที่ก่อคดีขึ้นมีเพียงศิษย์คนที่สองของเขา ยู่ฉางตงดาบปีศาจ และคนร้ายที่น่าจะเป็นไปได้อีกคนนั่นก็คือลู่ฉางชิงจากสำนักหลัว

ปัจจุบันตอนนี้ลู่ฉางชิงยังอยู่ที่ภูมิภาคทางตอนเหนือ ตัวเขาจะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่จะมาถึงที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนคนนั้นจึงไม่สูงเท่าไหร่นัก

ลู่โจวหยุดเดินก่อนที่จะจ้องมองไปยังมุมที่ซูผิงถูกฆ่า ‘เมื่อวาน…ศิษย์คนที่สองของฉันยู่ฉางตงอยู่ห่างจากฉันไม่กี่สิบเมตรเองอย่างงั้นหรอ? ‘

“ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อเรียกตัวเขา

“เกิดอะไรขึ้น? “

“ศิษย์พี่ตื่นแล้วค่ะ…”

ลู่โจวพยักหน้า เขาเดินขึ้นไปบนบันไดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าศิษย์ชั่วนั่น! ฉันจะต้องเอาชนะศิษย์ผู้เดินทางผิดด้วยตัวเองให้ได้! “