บทที่ 103 ชั่วโมงแห่งมนตรา

เจ้าของร้านพิศวง

วินเซนต์นั้นไม่เชิงว่าเป็นบาทหลวงที่แข็งแกร่งที่สุดในสังฆมณฑลนี้

เพราะถึงอย่างไร ความสามารถของเขาก็อยู่แค่ระดับผิดปกติ และเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทว่า…เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากมายและมีกิตติศัพท์สูงสุด

มีเหตุผลมากมาย แต่โดยหลักแล้วมันก็เป็นเพราะ ‘น้ำมนต์’ สูตรพิเศษของเขาที่ให้เหล่าผู้ขอความช่วยเหลือเหล่านั้นนำไปพรมในบ้านของพวกเขาเองทุกวัน

เพื่อนร่วมงานของเขามักจะหงุดหงิดอยู่บ่อยครั้งที่ไม่ได้รับคำขอบคุณที่พวกเขาคาดหวัง แม้ว่าพวกเขาจะแก้ต้นตอของ ‘วิญญาณหลอน’ ให้ แถมยังถูกสงสัยหรือกล่าวหาว่าต้มตุ๋นกันอีก

ในเหตุการณ์ปกติ พวกเขาจะพยายามอธิบาย แต่ส่วนใหญ่แล้วเรื่องนี้มักไร้ผลและกระทั่งทำให้พวกเขาอารมณ์เสียหนักเข้าไปใหญ่

บางคนกระทั่งรู้สึกว่ามันเป็นการลดตัวเองลงไปคุยกับเหล่าปุถุชนจึงทำเพียงแค่จากไป ทำให้เกิดภาพลักษณ์เย่อหยิ่งเย็นชา

…แต่น่าแปลกที่คนประเภทหลังดูจะได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกบ่อยครั้งกว่าประเภทแรก…

จนเวลาล่วงเลย ผู้ที่เต็มใจสละเวลามาคุยกับพวกผู้ขอความช่วยเหลือจึงมีไม่มากนัก

ทว่าวินเซนต์ผู้ใช้หลัก ‘ใช้น้ำมนต์ก่อน’ นั้นเห็นจุดที่ควรพัฒนาจากประสิทธิภาพของมัน

การให้เหล่าผู้ขอความช่วยเหลือใช้น้ำมนต์เองก่อนจะช่วยเลี่ยงไม่ให้เกิดสัญญาณลวงและทำให้เหล่าผู้ขอความช่วยเหลือสงบจิตลงได้ ยิ่งกว่านั้น น้ำมนต์ยังมีผลยับยั้งวิญญาณร้ายในระยะเวลาสั้น ๆ อยู่จริงด้วย

มันไม่ต่างกับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย!

แน่นอนว่าวิธีง่าย ๆ นี้ถูกบางคนลอกเลียนไป แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกับวินเซนต์เลย

เห็นได้ชัดว่าสหายบาทหลวงของวินเซนต์เลียนแบบพฤติกรรมของเขาไปอย่างเดียว แต่ไม่ได้จับแก่นสำคัญของมันเลยแม้แต่น้อย

ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่รู้เลยว่าตำราทำน้ำมนต์ถูกปรับปรุงใหม่

น้ำมนต์ทั่วไปนั้นต้องการวัตถุดิบเพียงสี่ชนิด…อีฟนิงพริมโรส ดอกไม้เงา เกลือ และน้ำ

ใบสั่งยาตำรับที่เขาส่งออกไปนั้นมีไข่มุก 1 กรัมและทองคำเปลว 0.02 กรัมเพิ่มเข้าไปด้วย

น้ำมนต์นั้นทำขึ้นมาได้ด้วยวัตถุดิบที่หาได้ค่อนข้างง่าย ผสมให้เข้ากันแล้วร่ายมนตร์ต่อ น้ำนี้ก็จะมีผลในการขับไล่วิญญาณร้าย แม้ว่าพูดไปจะเป็นการลดคุณค่าของมันก็ตามที แต่น้ำมนต์นี่ก็…ราคาถูกจริง ๆ

ต้องใช้การทดลองอย่างยาวนานกว่าจะได้น้ำมนต์ที่เหมาะสมต่อสาธารณะ และทางโบสถ์ก็ย่อมต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายที่ทางศาสนิกชนจะต้องแบกรับ

แต่เห็นได้ชัดว่าบุคคลทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นนักหรอก

พวกเขาก็มักจะสงสัยว่า ‘น้ำมนต์ที่ราคาถูกขนาดนี้จะมีประสิทธิภาพแน่หรือ’ ไม่ก็ ‘เจ้านี่ทำขึ้นมาอย่างขอไปทีหรือเปล่า?’

ดังนั้นวินเซนต์จึงตัดสินใจทำให้น้ำมนต์แพงขึ้นกว่าเก่าสักหน่อย

แน่นอนว่าวินเซนต์ก็ไม่ได้เล่นไปเรื่อย ปริมาณของไข่มุกและทองคำเปลวนั้นก็มีเพียงอย่างละนิดละหน่อย แล้วเขาก็บอกกลุ่มคนที่ขัดสนทางการเงินให้ไม่ต้องใส่ส่วนผสมทั้งสองอย่างนี้ด้วย แค่ว่าอานุภาพของมันจะอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

และหากยังใช้ไม่ได้ วินเซนต์ก็จะบอกว่าเขาจะออกค่าน้ำมนต์ให้ และเป็นหน้าที่ของเขาที่จะช่วยเหลือสมาชิกของสังฆมณฑลเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย

สำหรับเขาและคนอื่นๆ ในโบสถ์แล้ว เงินนิดหน่อยแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การทำเช่นนี้มักจะทำให้เขาได้รับเสียงร้องไห้และคำสะอื้นขอบคุณที่เขาหวังจะได้

พูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ได้ผลอย่างไม่คาดฝัน…

แล้วมันก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับเขามากมายเสียด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่มีศาสนิกชนคนใดพบสิ่งผิดปกติ ความคิดแรกของพวกเขาก็ต้องเป็นการติดต่อคุณพ่อวินเซนต์อย่างแน่นอน และนี่ส่งผลให้จำนวนงานของเขาเพิ่มพูนขึ้น

ทว่านี่ก็นำพาความยุ่งยากมาให้เขาด้วย เช่น คำกระแนะกระแหนจากเพื่อนร่วมงานและคำขอที่นาน ๆ ครั้งจะเกินความสามารถของเขาไป

แม้ว่าวินเซนต์จะเป็นบาทหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดในสังฆมณฑลก็ตาม แต่ตัวเขาเองมีระดับเพียงผิดปกติ

ในขณะที่ระดับผิดปกติก็นับว่าเป็นตัวตนที่เหนือเหตุผลสำหรับคนธรรมดาแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังมีช่องว่างที่กว้างใหญ่ระหว่างพวกเขากับสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ในพีระมิดของการจำแนกประเภท APDS อยู่ดี

การรับมือวิญญาณร้ายบางตนหรือสัตว์มายาระดับต่ำนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่หากวินเซนต์ต้องไปรับมืออะไรที่ระดับสูงกว่านั้นล่ะก็ เขาอาจจะทำได้แค่ขอความช่วยเหลือเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขาอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

วินเซนต์นั้นรำพึงอยู่เสมอว่า ‘ทุกสิ่งมีสองด้าน ด้านดีและด้านร้าย เหมือนที่ดวงจันทร์สับเปลี่ยนด้านสว่างและด้านมืด นี่คือวิปัสสนาจากดวงจันทร์เบื้องบน’

ในหมู่สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งปวง มีเพียงบุคคลระดับล่างของโบสถ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยความสามารถของตนให้คนธรรมดารับทราบได้

เหตุผลหนึ่งคือความที่โบสถ์ทั้งหลายต้องการผู้เลื่อมใส แต่เรื่องที่เมืองหลวงนอร์ซินถูกแดนนิมิตโจมตีนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นบางเรื่องจำต้องถูกปกปิดเพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น แต่เหตุการณ์ที่เล็กกว่าทั้งหลายนั้นไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

ดังนั้น พวก ‘โนเนม’ ระดับต่ำอย่างวินเซนต์จึงมีชื่อเสียงล้ำหน้าความสามารถที่แท้จริงของตนเอง

พวกระดับสูงที่แท้จริง ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถกอบกู้นอร์ซินได้ทุกเมื่อนั้นถูกปิดบังและเป็นที่รู้น้อยเสมอ…

มันใกล้พลบค่ำแล้วในตอนที่วินเซนต์มาถึงซอย 23

ดวงอาทิตย์สีแดงที่กำลังคล้อยต่ำถูกบดบังโดยมวลเมฆย้อมท้องฟ้าเป็นสีเหลืองส้มจาง ๆ และซากปรักหักพังด้านข้างก็ทอดเงายาวเหมือนลางร้าย

แถบสีเหลืองของตำรวจที่ถูกกางกั้นไว้อย่างรีบร้อนหลุดลุ่ยเล็กน้อยและโบกสะบัดไปในสายลม

พลบค่ำ…จุดเริ่มต้นของชั่วโมงแห่งมนตรา

เขาหยุดลงที่ทางแยกอย่างระแวดระวัง ถนนนั้นเงียบอย่างน่ากลัว ทำให้วินเซนต์รู้สึกกระสับกระส่ายในใจ

ในช่วงนี้ เหตุการณ์มากมายได้อุบัติขึ้นแถวนี้ แม้ว่าการเดินทางไปเข้าร่วมพิธีล้างบาปจะหมายความว่าเขาพลาดเหตุการณ์เหล่านั้นไปแล้วก็ตาม แต่วินเซนต์ก็ยังเคยได้ยินสองเรื่องที่รู้กันดีที่สุดอยู่

ทว่า…เรื่องเหล่านั้นคือเรื่องที่เกี่ยวกับเหล่าตัวตนอันยิ่งใหญ่ และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

“เราก็แค่ทำงานให้ดี…หวังว่ามันจะเป็นวิญญาณร้ายหรือผีที่คุ้มค่าแก่การใช้เวลาถ่อมาที่นี่สองสามวันนะ ไม่อย่างนั้นเราคงต้องเพิ่มของบางอย่างลงในตำราทำน้ำมนต์ของผู้ขอความช่วยเหลือเสียแล้ว…เฮ้อ…เราไม่ควรคิดแบบนี้จริง ๆ”

วินเซนต์ถอนหายใจยาวพลางบีบจมูกตัวเองให้ละทิ้งความหวาดระแวงที่บอกไม่ถูกในใจเขาไป

วินเซนต์ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากกว่าปกติ และความคิดบางส่วนของเขาเสียความเมตตากรุณาและอดทนที่บุคคลในสมณเพศพึงมีไป

กระทั่งพิธีล้างบาปของสาวกที่บวชใหม่ยังทำให้เขาสงบใจลงไม่ได้เลย

“บางทีเราควรหาวันพักสักสองสามวันหลังจบเรื่องนี้ได้ แล้วภาวนาต่อดวงจันทร์อย่างสุดหัวใจซะแล้ว”

เขาจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ส่งข้อความให้ผู้ขอความช่วยเหลือ คุณคอลินแห่งร้านสื่อวิดิทัศน์ แล้วจากนั้นก็เคาะที่ประตูหลัง

ประตูแง้มเปิดออกเล็กน้อยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำคู่หนึ่ง

ต่อจากนั้น ประตูก็เปิดออกกว้าง แล้วคนผู้นั้นก็โถมตัวเข้าใส่วินเซนต์

“โอ้พระจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์! ในที่สุดคุณก็มาแล้ว คุณพ่อวินเซนต์! โปรดช่วยผมด้วยครับ!”

หากมนุษย์ที่ดูเหมือนก้อนอะไรสักอย่างไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา วินเซนต์ก็เกือบจะได้ใช้ศาสตร์ลี้ลับใส่เขาแล้ว

เขาผลักเจ้าก้อนมันเลื่อมนี่ออกแล้วพยายามรักษาน้ำเสียงที่อบอุ่นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ “ชู่ว…บุตรที่รักเอ๋ย ลูกคงไม่อยากทำให้วิญญาณร้ายข้าง ๆ บ้านไหวตัวได้หรอกใช่ไหม?”

คอลินพยักหน้าทันทีแล้วเงียบเสียงลง เขากอดคุณพ่อวินเซนต์ไว้ในขณะที่น้ำตาและน้ำมูกหยดเปื้อนชุดบาทหลวงสีดำ

วินเซนต์ดูเหนื่อย แต่เขามีแววตาจริงจังของบาทหลวงที่ทำให้คนอื่นเชื่อในตัวเขาอยู่

“ก็…พ่อพอเข้าใจสถานการณ์แล้วล่ะ ตอนนี้ลูกจะบอกพ่อว่าวันนี้ เขาได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจากเขตตอนกลางไปสามนาย และกระทั่งบงการจิตใจของนายตำรวจอีกนายด้วยใช่ไหม?”

“แล้วน้ำมนต์ก็ไม่ได้ผล แถมทำให้การกระทำของเขาแย่ลงอีกด้วยเหรอ?”

“ถ้าสิ่งที่ลูกพูดมาถูกต้อง พ่อก็อาจจะต้องเตรียมตัวให้เหมาะสมกว่านี้แล้วเริ่มการปัดเป่าวิญญาณในคืนพรุ่งนี้ วันนี้พ่อคงต้องอยู่ที่นี่ชั่วคราวนะ”

คอลินพยักหน้าทันที “ไม่มีปัญหาครับ! ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกผมได้เลย ผมจะให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถครับ!”

การไม่ทำอะไรเลยจะเป็นการให้ความร่วมมือที่ดีที่สุดที่ลูกจะทำได้แล้วล่ะ…

วินเซนต์ถอนหายใจแล้วปิดประตู แยกตัวจากคอลินที่พูดไม่หยุดปาก…ความรู้สึกที่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้ก็ไม่ได้แย่เลย

เจ้าพวกไม่รู้เรื่องพวกนี้นี่น่ารำคาญจริง ๆ!

เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากออกแล้วหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อของเขา

เขาจุดมันสูบเข้าไปยาว ๆ แล้วพ่นควันเต็มปากที่ดูเหมือนหมอกออกมา