ตอนที่ 218 อาจารย์อาปู้ฉิวแสดงแล้ว (แสดงฝีมือแล้ว)

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 218 อาจารย์อาปู้ฉิวแสดงแล้ว (แสดงฝีมือแล้ว)

เมื่อเห็นเงินพวกฉินหลิวซีทั้งศิษย์อาจารย์ก็ไม่เห็นความเป็นศิษย์อยู่ในสายตาอีกแล้ว พวกเขารักเงิน ทั้งหมดก็เป็นเพราะอารามยากจน ถูกต้องด้วยเหตุผลนี้

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนดันฉินหลิวซีออก เข้าไปรับค่า ‘น้ำมันตะเกียง’ ด้วยรอยยิ้ม ปากยังคงปฏิเสธ “การกำจัดมารร้ายเป็นหน้าที่ของลัทธิเต๋าของเรา แม่นางไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”

เจ้าอาวาสชิงหลานกลอกตาอย่างอดไม่ได้

ขนาดนี้แล้ว ไยต้องต้องทำเป็นลังเลเกรงอกเกรงใจเล่า ปลอมเสียจริง

ฉินหลิวซีผลักนักพรตชื่อหยวนออก แย่งเงิน ‘ค่าน้ำมันตะเกียง’ จากนักพรตชื่อหยวนมาไว้ในอ้อมแขน เอ่ย “แม่นางเมตตาแล้ว เช่นนั้นค่าสะกดวิญญาณข้าไม่รับเงินกับเจ้าแล้ว นอกจากนี้ ยังจะวาดยันต์อยู่เย็นเป็นสุขและยันต์คุ้มภัยให้เจ้าด้วย”

ชื่อหยวนจ้องมองมือที่ว่างเปล่าเขม็ง

เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ย “เครื่องรางคุ้มกันของแม่นางซือแตกแล้ว ข้าได้ยินจากอาจารย์เจ้า เครื่องรางที่เจ้าปลุกเสกเองก็คงร้ายกาจ เอาเครื่องรางปลุกเสกชิ้นใหม่ให้นางใช้คุ้มกันภัยสักชิ้นได้หรือไม่“

ซือถูได้ยินเช่นนั้นจึงเดินขึ้นมา เอ่ย ”ใช่ อย่างไรยันต์อยู่เย็นเป็นสุขก็เป็นกระดาษ อาบน้ำก็สามารถเปื่อยได้ตลอดเวลา เครื่องรางนำติดตัวได้ไม่ห่าง ดีกว่าสักหน่อย ไม่ปิดบังท่านนักพรต เย่ว์เอ๋อร์ของข้าวิญญาณออกจากร่างบ่อยครั้ง ข้าผู้เป็นบิดาเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้ไม่ทันระวัง ทำให้วิญญาณเร่ร่อนนั้นลงมือ ฮือ…”

เขากำลังเอ่ย ก่อนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

บุตรสาวของเขาน่าสงสารเหลือเกิน

ฉินหลิวซีเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้อีกครั้ง จึงเอ่ย “ท่านไม่ต้องร้องไห้หรอก”

ใบหน้าซือถูเต็มไปด้วยน้ำตา เอ่ยสะอึกสะอื้น “เช่นนั้น…”

“ในเมื่อแม่นางซือเติมน้ำมันตะเกียงกับอารามชิงผิงของเรามากเพียงนี้ เครื่องรางชิ้นเดียว พวกเราก็ให้ได้ เพียงแต่ข้ามาเพราะมารับอาจารย์ ไม่ได้นำเครื่องรางใดๆ ติดตัวมาด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ย ทั้งหมดนั้นเห็นแก่เงิน

“พวกเราสามารถไปขอที่อารามของท่านได้ จะได้ไปจุดธูปให้กับท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋าของพวกท่านด้วย” ซือถูเอ่ยอย่างรู้งาน

คิ้วของฉินหลิวซีเลิกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะคบหากับนักพรตอยู่ไม่น้อย รู้จักเข้าหายิ่งนัก

“ไม่จำเป็น ข้าจะจัดการเรียบร้อย ส่งมาให้แม่นางซือ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ซือถูกำลังอยากเอ่ยบางอย่างเพิ่ม ซือเหลิ่งเย่ว์ห้ามเขาอีกครั้ง เอ่ยกับฉินหลิวซี “เช่นนั้นต้องขอบคุณแม่นางฉินที่เมตตาแล้ว” นางหยิบเงินเติมน้ำมันตะเกียงขึ้นมาอีกหนึ่งชุด มอบให้เจ้าอาวาสชิงหลาน “ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ”

เจ้าอาวาสชิงหลานปฏิเสธ “ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายเลย”

“ท่านมาด้วยตนเองก็นับว่าช่วยเหลือแล้วเจ้าค่ะ” ซือเหลิ่งเย่ว์มีมารยาทมาก เห็นเขาไม่รับ จึงต้องส่งให้เหอหมิงที่อยู่ด้านข้างเขา

เหอหมิงมองไปยังอาจารย์ปู่ เห็นเขาพยักหน้าจึงยอมรับมา กล่าวขอบคุณ แม่นางช่างมีเมตตายิ่งนัก

“ยามนี้ดึกแล้ว เชิญท่านนักพรตพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางดีหรือไม่เจ้าคะ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย

ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกเราคงต้องไปแล้ว ผู้ดูแลไปหยิบชาดแดง กระดาษเหลืองเหล่านั้นมา ข้าจะเขียนยันต์ให้แม่นาง ป้องกันไว้จะได้ไม่มีวิญญาณร้ายมารบกวนด้วย”

ซือถูยินดี รีบเร่งผู้ดูแล

“ไม่เป็นไร ในถุงข้ามีอยู่” เจ้าอาวาสชิงหลานหยิบถุงผ้าของตนเองขึ้นมา เอ่ย “เครื่องรางอย่างอื่นไม่ได้นำติดตัวมา แต่ชาดแดงกระดาษเหลืองพอมีติดตัวมาบ้าง”

เหอหมิงก้าวขึ้นมาด้านหน้า หยิบของออกมา นอกจากนี้ยังขอให้ผู้ดูแลช่วยจัดโต๊ะและจัดเตรียมธูปเทียนสำหรับทำพิธี อย่างไรการเขียนยันต์ต้องเตรียมตัว

ทำให้สายตาของเขากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง

แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีละลายชาดแดง คลี่กระดาษเหลือง หยิบพู่กันขึ้นมา ถูกับเสื้อตนเองเบาๆ จุ่มชาดแดงและเริ่มวาด นางไม่แม้แต่จะจุดธูปกราบไหว้ฟ้าด้วยซ้ำ

เหอหมิง “!”

เขามองปลายพู่กันนั้นตาไม่กะพริบ มือไม่สั่น พู่กันลากไปมาไม่หยุด กระดาษยันต์ วาดเสร็จในอึดใจเดียว เพียงสองลมหายใจเท่านั้น เรียบร้อย มีแสงประกายวูบวาบขึ้นมา

เหอหมิงอ้าปากกว้าง ขนาดที่สามารถยัดไข่เข้าไปได้

เพียงแค่ลงมือ

สิ่งที่ทำให้เขาตื่นตกใจคือตอนสุดท้าย อาจารย์อาปู้ฉิวผู้นั้นราวกับมีพลังไม่ขาด วาดยันต์ออกมาหลายแผ่น ตัวอักขระไม่ขาดตก ไม่เสียหายแม้เพียงแผ่นเดียว เขาเองก็เป็นนักพรตที่เข้ามาอยู่ในลัทธิเต๋ามานานหลายปี มีสายตาอยู่บ้าง มองออกว่าภาพนั้นไม่ได้วาดมั่วซั่ว เป็นยันต์ที่ได้ผลจริงๆ

มีประกายของยันต์สว่างไสว

อาจารย์ ข้าได้ประจักษ์แล้ว

เหอหมิงแทบน้ำตาไหลกับการแสดงของฉินหลิวซี

โลกใบนี้ มีคนวาดยันต์ราวกับวาดเส้นขีดจริงๆ คล่องแคล่วเพียงนี้ ไม่มีเสียทิ้งเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องพลังวิญญาณ

ขนาดอาจารย์ของเขาเขียนยันต์ยังต้องเตรียมกราบไหว้ต่อสวรรค์ ถึงจะวาดยันต์ที่มีพลังออกมาเช่นนี้ได้ ยันต์ที่เป็นของล้ำค่าอย่างเช่นยันต์ห้าสายฟ้าเหล่านั้น ยิ่งวาดยากกว่ามาก

และเมื่อตัวเขาเข้ามาอยู่ในลัทธิเต๋าได้หลายปี ยังต้องสูญแผ่นยันต์ทิ้งเปล่าไปหลายแผ่นกว่าจะวาดยันต์อยู่เย็นเป็นสุขขึ้นมาให้สมบูรณ์ได้สักแผ่น

แต่อาจารย์อาตรงหน้านี้ กลับไม่เป็นเช่นนั้น นางวาดยันต์ราวกับวาดเส้นขีด

ความแตกต่างของคนไยจึงแตกต่างกันมากเพียงนี้เล่า คนเปรียบเทียบกับคน มิอาจเปรียบเทียบคนตาย[1]

เหอหมิงเหลือบมองแผ่นยันต์หลายแผ่นนั้น แต่เห็นว่านางส่งแผ่นยันต์ที่แห้งแล้วให้กับซือเหลิ่งเย่ว์

คนที่เหลือบมองไม่เพียงเหอหมิงคนเดียว ยังมีเจ้าอาวาสชิงหลานที่ได้เห็นความรวดเร็วในการวาดยันต์ของฉินหลิวซี ก่อนจะหันมองไปยังสหายข้างกาย

ช่างไม่มีข้อดีเลยจริงๆ

นักพรตชื่อหยวนลูบเครา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีคุณธรรมและชื่อเสียง

นี่หากเป็นห้าสิบปีก่อน มีการต่อสู้แข่งขันในลัทธิเต๋า ศิษย์เนรคุณผู้นี้ของเขา คงเอาชนะผู้คนได้ไม่น้อย

“อย่างไรก็มีที่มาไม่เหมือนกัน แตกต่างยิ่งนัก” เจ้าอาวาสชิงหลานไม่ถูกใจความภาคภูมิใจของเขานัก บ่นพึมพำ

รอยยิ้มของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนชะงัก ปรายตามองเขา จากนั้นมองฉินหลิวซี สายตาสับสนขึ้นมา

ฉินหลิวซีไม่สนใจสายตานักพรตทั้งสอง ยื่นยันต์ให้กับซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ย “ได้พบเจอเป็นโชคชะตา หากเจอเรื่องเช่นนี้อีก เรียกชื่อของข้า”

ซือเหลิ่งเย่ว์ตกใจเล็กน้อย ส่งยิ้มออกมาพร้อมคารวะ

เมื่อถอยกลับออกมาเรียบร้อย

ฉินหลิวซีก็เอ่ยกับเจ้าอาวาสชิงหลาน “อีกสองวันในอารามจะมีคนจิตใจดีช่วยเปลี่ยนร่างทองแก่ท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋า หากท่านมีเวลาว่างมาคารวะที่อารามได้นะเจ้าคะ”

“ได้”

ฉินหลิวซีเอ่ยกับคนอื่นๆ ต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราไปกันได้แล้วหรือไม่”

“นักพรตน้อย ฟ้ายังมืดอยู่ ไยท่านต้องรีบไป ประตูเมืองยังไม่ทันเปิด” ซือถูเอ่ยร้อนใจ

ตอนที่ฉินหลิวซีพาวิญญาณของบุตรสาวโผล่มา ตอนนั้นเขาสลบอยู่จึงไม่เห็นถึงพลังวิเศษนั้น ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าเส้นทางที่นางจะใช้นั้นไม่ใช่เส้นทางของคนทั่วไป

“ท่านพ่อ ท่านนักพรตมีเส้นทางของตนเองเจ้าค่ะ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย

ซือถูปัดมือของนางออก เอ่ย “ท่านนักพรตอย่าเพิ่งรีบกลับ พวกเราสองพ่อลูกยังมีเรื่องร้องขอ”

“ท่านพ่อ” ซือเหลิ่งเย่ว์จนปัญญา เอ่ย “ยามนี้ดึกแล้ว ท่านนักพรตเหนื่อยไม่น้อยแล้ว ท่านอย่าดื้อดึงเลยเจ้าค่ะ อย่างไรก็ได้เจอกับท่านนักพรตฉินอีกแน่นอน เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังนะเจ้าคะ“

เจ้าอาวาสชิงหลานได้ยินที่ทั้งสองพูดคุยกัน สายตาไหววูบไม่นิ่ง มองไปยังฉินหลิวซี หรือบางทีนางอาจจะหาทางช่วยได้

ฉินหลิวซีมองพวกเขาคล้ายมีเรื่องบางอย่าง ทว่าเมื่อไม่ได้เอ่ยจึงไม่ได้ถาม เพียงบอกลาทุกคน ร่ายมนต์เปิดเส้นทางหยิน จูงแขนนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเข้าไป

ซือถูมองทั้งสองหายไปต่อหน้าต่อตา กะพริบตาก่อนจะเอ่ย ”มหัศจรรย์เช่นนี้ เย่ว์เอ๋อร์ พวกเขาจะต้องช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน”

[1] คนเปรียบเทียบกับคน มิอาจเปรียบเทียบคนตาย เป็นสำนวนหมายถึงว่าคนเราถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

**************************