ผู้พิทักษ์แห่งแดนเหนือ, ขุนนางมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก, จอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์ก
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 15
ณ ละแวกปราสาทจอมปีศาจดันทาเลี่ยน
“ดูท่าศัตรูจะไม่ตั้งด่านทหารข้างหน้านะครับ ท่านมาร์เกรฟ”
“อืม ที่แท้ก็เป็นไปตามข้อมูลจากพลสอดแนมของเรา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับจอมปีศาจที่ชื่อดันทาเลี่ยนเลยนะ…… ”
ข้าพยักหน้าหลังจากได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า
ในเวลานี้ กองทหารข้า ซึ่งก็คือกองทัพมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์กกำลังเคลื่อนทัพไปอย่างช้าๆ จุดหมายก็คือป้อมปราการของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน การรุดหน้าของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น ขวัญกำลังใจในหมู่ทหารก็สูงมาก และย่างก้าวของทุกคนก็เป็นไปอย่างสบายๆ
มันเป็นการยกทัพแบบฉับพลัน แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยอมทำตามโดยดี ข้ารู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่กองกำลังทหารทั้งหมดกว่า 1,500 นายได้ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาพวกเขาโดยไม่อวดครวญใดๆ ไม่มีอะไรน่าพอใจไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับคนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเช่นข้าน่ะ
“ท่านมาร์เกรฟ ท่านคิดว่ามันจริงรึเปล่าครับ? กับข่าวลือที่ว่ามีสมุนไพรสีดำนับไม่ถ้วนเก็บไว้ในปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยนน่ะครับ? ”
“จริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญก็คือเรื่องที่ว่าข่าวลือดังกล่าวได้ลือไปทั่วแว่นแคว้นของเราต่างหาก ”
ปัจจัยชี้ขาดสำหรับการยกทัพของเรานั้นเป็นเพราะเจ้าความตายสีดำ
โรคระบาดที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้สร้างตัวขึ้นดุจดั่งฝันร้ายก็มิปาน และเข้าครอบงำผู้คนทั่วทั้งแผ่นดิน บรรดามิตรสหายและครอบครัวที่อยู่ดีจนถึงเมื่อวานนี้ต่างกลายเป็นซากศพเย็นๆชั่วข้ามคืนเดียว มันคือความน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
โชคไม่ดี ที่พลเมืองในดินแดนข้าก็ไม่แตกต่างกัน ภายในหนึ่งเดือนของการระบาด พลเมืองกว่า 2,000 คนของข้าก็ได้เสียชีวิตลงเช่นกัน
ไม่ว่าจะชนชั้นวรรณะใดก็ตาม ทุกคนต่างหวาดกลัวต่อโรคระบาดจนตัวสั่น อิงจากรายงานผู้เร่เก็บภาษี จำนวนประชากรของหมู่บ้านเล็กๆในภูเขาต่างตายกันหมด เดิมทีเขาไปที่นั่นเพื่อเก็บภาษี แต่กลับต้องมาทำหน้าที่ฝังศพแทน มันเป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก……
“ความไม่มั่นใจและความกลัวได้มาถึงจุดวิกฤติต่อพลเมืองข้า ถ้าเรายังคงอยู่เฉยและไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว งั้นความคิดเห็นของมวลชนก็จะถูกสั่นคลอน หากเป็นแบบนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่การจลาจลอาจเกิดขึ้น ”
“การจลาจล…… ”
ใบหน้าทหารนายกองของข้าได้แข็งทื่อ
เขาต้องตกใจแน่ๆที่ข้า ซึ่งเป็นถึงขุนนาง ดันพูดถึงความเป็นไปได้ของการจลาจล แม้ทหารนายกองข้าอาจจะเก่งกาจ แต่ความกล้าของเขายังคงบกพร่องอยู่บ้าง เขาจะผ่อนคลายขึ้นมั้ยน้อหากข้ายิ้มในตอนนี้น่ะ?
“จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น นี่เป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้นนะ ลองคิดดูสิว่า พลเมืองข้าจะทำยังไงถ้าขุนนางของพวกเขาไม่ทำอะไรเลยในขณะที่เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานของพวกเขากำลังทยอยตายลงเรื่อยๆ? มันคงเป็นการยากสำหรับพลเมืองข้าที่จะยอมอดทนไว้ได้”
“แต่นั่นไม่สมเหตุสมผลเลยครับ……ก็โรคความตายสีดำไม่ใช่การลงทัณฑ์จากพระเจ้าเทพเหรอครับ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านมาร์เกรฟพอจะรับมือได้หรอกนะครับ”
“ไม่ว่าจะเป็นทัณฑ์จากพระเจ้าหรืออะไรก็ตามแต่ มันก็เป็นหน้าที่ของขุนนางที่ต้องดูแลพลเมืองของเขา ถ้าขุนนางหลบหนีจากสถานการณ์แบบนี้ สิ่งเดียวที่รอเขาหรือเธออยู่ก็คือหายนะ”
“ท่านมาร์เกรฟ”
ทหารนายกองของข้าได้มองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
เลิกมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นเถอะ ก็ข้าไม่ได้พูดเรื่องที่รู้ๆกันอยู่งั้นหรือ? นี่ช่างน่าหนักใจนะที่คนหนุ่มสมัยนี้ประทับใจโดยเรื่องทั่วไปง่ายๆจัง
หรือบางทีอาจเป็นเพราะข้าอายุมากจนข้าไม่สามารถตามทันความรู้สึกของพวกเขาได้? นี่น่าหดหู่ใจยิ่งนัก สิ่งเดียวที่เพิ่มขึ้นตามอายุก็คือริ้วรอยและไขมันต้นขา ดังนั้นมันคงจะดีนะที่จะรีบเข้าสู่สนามรบและตายอย่างมีเกียรติแทน……
ถ้าข้าอยากจะบ่นอะไรบางอย่าง ก็คงเป็นเรื่องที่ว่าไม่มีการสู้รบใดที่เหมือนสงครามของจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บางสิ่งเช่นสงครามครั้งใหญ่นั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้เนื่องจากการระบาดของโรคความตายสีดำ
ดังนั้น ข้าจึงมีโอกาสสูงที่จะตาย ไม่ใช่บนพื้นขรุขระของสนามรบหรอกนะ แต่เป็นบนเตียงที่นุ่มสบายต่างหาก หรือกล่าวได้ว่า เป็นการตายที่น่าอดสูสำหรับทหารก็ว่าได้ ข้าคงจะไม่มีเกียรติพอที่จะเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษข้าในชีวิตหลังความตายได้แน่……
“อย่างน้อย ประชาชนต้องรู้ว่าเหล่าคนเบื้องบนนั้นไม่ได้นิ่งเฉย ไม่ว่าจะมีสมุนไพรสีดำในปราสาทจอมปีศาจหรือไม่ นั่นคือประเด็นที่ไม่สำคัญหรอกนะ การแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรากำลังพยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างคือสิ่งสำคัญต่างหากล่ะ ”
“ผมเข้าใจครับ นั่นคือเรื่องการเมืองสินะครับ เฮ้อ…… ”
“อืม”
ข้าพยักหน้า
“สิ่งที่เราควรจะดีใจก็คือตัวละครหลักในข่าวลือนี้เป็นดันทาเลี่ยน น่าโล่งใจนะที่มันเป็นแค่จอมปีศาจอันดับที่ 71 ”
“น่าโล่งใจ?”
ก็นั่นแหละ
หากว่าในข่าวลือที่ได้แพร่กระจายบุคคลที่กำลังครอบครองการผูกขาดสมุนไพรสีดำนั้นเป็นจอมปีศาจอันดับที่ 8 บาร์บาทอส มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับกองกำลังมาร์เกรฟข้าเพียงฝ่ายเดียวจะไปโจมตีบาร์บาทอสได้ การใช้ข่าวลือเพื่อหวังผลทางการเมืองคงจะเป็นไปไม่ได้แน่
ในทางกลับกัน อันดับที่ 71st ดันทาเลี่ยนเป็นไอ้อ่อนหัด
เขาอยู่ในระดับของบุคคลที่คุณมักจะลืมเลือนไปอยู่บ่อยครั้ง
“เราสามารถหักคอดันทาเลี่ยนเมื่อใดก็ได้ที่เราต้องการ พูดตรงๆเลยนะ มันกระดากปากที่จะเรียกเขาว่าจอมปีศาจซะด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่มีคุณค่ามาก และไม่มีคุณค่าน้อยจนเกินไป”
“ตามข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ ดันทาเลี่ยนไม่มีฐานกำลังที่ดีและอาศัยอยู่แต่ในถ้ำ เขาไม่มีแม้แต่ด่านทหารซึ่งทำหน้าที่เป็นป้อมปราการ มันไม่เป็นไรเลยที่จะกล่าวว่า; การปราบจอมปีศาจดันทาเลี่ยนเป็นเรื่องง่ายหยั่งกับหักข้อมือของเด็กน้อยเลย”
ดังนั้น มันจึงถือว่าเป็นความโชคดีก็ว่าได้
“เราสามารถยกทัพเราได้เนื่องจากเป้าหมายของเราคือดันทาเลี่ยน ถ้าเป็นบาร์บาทอส งั้นเราคงจะไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วฟุตนึงหรอกนะ เราคงได้แต่นั่งและรออย่างอดทนจนกว่าพลเมืองข้าเริ่มก่อจลาจล เป็นความโชคดีจริงๆที่ต้นตอของข่าวลือคือดันทาเลี่ยน…… ”
ทหารนายกองของข้าได้แสดงท่าทีอัศจรรย์ใจ
“หลังจากฟังคำพูดของท่านมาร์เกรฟ ผมเข้าใจแล้วว่าเทพธิดาแห่งโชคลาภกำลังเฝ้ามองท่านอยู่แน่ๆครับ”
“หืม? เป็นงั้นจริงรึ? ”
“ใช่แน่ๆครับ ไม่ใช่ว่าแว่นแคว้นอื่นนั้นอยู่ไกลจนเป็นการยากที่จะส่งกองกำลังของเขาแม้ว่าพวกเขาจะอยากทำก็ตามน่ะครับ? แต่อาณาเขตของท่านมาร์เกรฟเทียบกันแล้วอยู่ใกล้กับปราสาทของดันทาเลี่ยนมากกว่า ไม่ว่าจักรวรรดินั้นจะใหญ่สักเพียงใด ก็มีแต่ท่านมาร์เกรฟที่ได้รับโอกาสทองเช่นนี้ครับ! ”
“นั่นคือโชคน่ะ เจ้าสามารถพึ่งพาโชคแบบนี้ได้เพียงไม่กี่ครั้งในชั่วชีวิตของเจ้านะ ”
แต่ข้าเห็นด้วยนะ ทหารนายกองข้าพูดมีเหตุผลดี หรือข้าควรยอมให้ตัวเองดีใจที่เทพธิดาได้ประทานโอกาสนี้ให้กับข้าดีหรือเปล่าน้อ?
เมื่อดึงเอาเสียงของข้าออกมาจากหน้าอก ข้าก็ได้ออกคำสั่งว่า
“ทหารทั้งหมด เคลื่อนพลได้! เหลืออีกแค่สองวันเท่านั้นก่อนที่เราจะถึงป้อมปราการของดันทาเลี่ยน เราจะรับสินสงครามของเราจากที่นั่นกัน! ”
“ครับ ท่านมาร์เกรฟ!”
เหล่าแม่ทัพต่างแยกย้ายกันไปและปลุกเร้าต่อบรรดาทหารอื่นๆ
“เร็วๆเข้า เวลาพักได้หมดลงแล้ว ยกตูดเหม็นๆของเจ้าและเดินขบวนทัพให้เหมือนพวกเป็ดได้! ”
รี้พลได้เริ่มขยับเดินอย่างเร่งรีบ ทหารทุกนายต่างติดอาวุธแบบเบา เราได้ยกพลที่ติดอาวุธน้ำหนักเบาก็เพื่อยุติการรบครั้งนี้ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้มันยังเป็นการยากที่จะขนส่งเสบียงหากเราไม่ใช้วิธีนี้น่ะ เพราะงั้นมันจึงเป็นยุทธวิธีที่แน่ชัดอยู่แล้วแล
ข้ามองขึ้นไปที่ท้องฟ้าและพึมพำออกมา
“อากาศกำลังดีเลย”
ดวงอาทิตย์ได้หลบอยู่หลังหมู่เมฆ ลมก็พัดเย็นสดชื่น มันเป็นสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเดินทัพเลย เราน่าจะเข้าสู่สมรภูมิรบภายในสองวันนี้นะ รีบๆกวาดล้างปราสาทดันทาเลี่ยนกันดีกว่าและทำให้ดินแดนข้าร่มเย็นเป็นสุขสักที
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 15
ณ ละแวกปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน
พวกแม่มดได้รายงานมาว่ามีกองทหารไม่ทราบที่มากำลังเคลื่อนพลเข้ามาใกล้
กำลังพลของพวกเขา มีประมาณ 1,000 นายเห็นจะได้ กองทหารซึ่งประกอบไปด้วยมนุษย์เท่านั้นและไม่มีปีศาจอยู่เลย ตามการคาดคะเนของพวกแม่มด โดยดูจากอัตราความเร็วการรุกคืบของศัตรู พวกเขาน่าจะมาถึงในเร็วๆนี้แล้ว
“นี่เราตรวจพบพวกเขาช้าเกินไปหน่อยรึเปล่าหว่า……?”
ผมพึมพำอย่างหดหู่ใจ
เราได้ค้นพบพวกเขาช้าเกินไป เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว มันเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ผู้รุกรานจะเดินทางมาถึงนั้นมาจากทางไหนกันน่ะ ตัวข้อความได้บอกพวกเราว่าผู้รุกรานกำลังจะปรากฏขึ้นในราวๆช่วงเวลานี้ แต่ทว่า มันไม่ได้บอกพวกเราชัดเจนว่าใครคือผู้รุกรานและพวกเขาจะโจมตีจากทางไหนกัน
ผลที่ได้คือสถานการณ์อันไม่น่าพึงพอใจแบบนี้แล เราได้ปล่อยให้กองกำลังข้าศึกมาถึงใต้จมูกของพวกเราซะงั้น มันคล้ายกับผมเป็นไอ้งั่งตาบอดเหมือนค้างคาวเลย โชคดีนะ ที่อย่างน้อยพวกเรามีเหล่าแม่มดลาดตระเวนจากบนฟากฟ้า แต่ถ้าหากเราไม่มีพวกแม่มดงั้นเราจะพบพวกเขาได้ช้ากว่านี้ถึงเพียงใดกันน้า……?
เกมและความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน ในสงครามของจริง ไม่มีบางอย่างที่เหมือนกับหน้าต่างแผนที่ซึ่งเมตตาช่วยแสดงว่า “กองกำลังข้าศึกกำลังมาจากทางทิศนี้นะ” มันจึงน่าหดหู่ใจไง สุดท้าย ผมก็ต้องเจองานที่ยุ่งยากในการค้นหาผู้รุกรานด้วยตนเอง มันคือสภาวการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับพวกชอบหมกตัวในบ้านชิบเป๋ง นี่ไม่มีเวทที่จะล้างบางกองกำลังฝ่ายตรงข้ามในครั้งเดียวเหมือนในเกมเลยหรือไง? ไม่มีจริงง่ะ? งั้นเองเรอะ
ผมล่ะอยากจะฆ่าตัวตายจัง……
นับตั้งแต่วันที่ผมได้ทะเลาะกับลาซูรี่ ผมก็อยู่ในห้วงอารมณ์หดหู่ใจมาโดยตลอด ทุกสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่ดูน่าเบื่อหน่ายไปหมด
ทำไมผมถึงยังมีชีวิตอยู่อีกงั้นเหรอ? สำหรับคนที่ตระหนักได้ว่าชีวิตของตนนั้นบัดซบโครตตั้งแต่ตอนอายุ 6 ขวบ ทำไมผมผมถึงยังมีชีวิตอยู่อีกหนอ หรือผมเป็นพวกซาดิสม์กันแน่นะ?
……ใช่สิ ผมรู้ความจริงอยู่แล้ว ว่าเป็นเพราะนิสัยที่วิปริตของผม ตราบใดที่ผมสามารถบรรลุเป้าหมายของผมได้ ผมก็จะทำแม้แต่การสังหารหมู่เด็กตลอดจนผู้สูงอายุ ผมไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยต่อสิ่งนั้น การผันชีวิตผู้อื่นให้กลายเป็นหุ่นเชิดและชักใยพวกเขาตามที่ผมต้องการคือความสุขในชีวิตของผม และการเหยียบย่ำคนโง่ที่อวดดีจากนั้นก็ถีบพวกเขาเข้าไปในคูน้ำคือจุดมุ่งหมายในชีวิตผม จะให้ทำไงได้เล่า? ตอนผมเกิดมา ผมก็เกิดมาเป็นคนแบบนี้แหละ
แม้เป็นเช่นนั้น ผมก็เคยลองหนีโชคชะตาของผมอยู่ครั้งนึงนะ คือหลังจากที่พ่อผมได้ตายไปแล้ว ผมได้สละสิทธิ์ในการรับมรดกและขังตัวอยู่คนเดียว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมกลับย้อนกลับเข้าสู่โลกที่ปฏิบัติตามกฎของป่า ชีวิตของผมอยู่ในวิถีทางแบบนั้นจนมันดันย้อนกลับเป็นแบบนี้อีกแล้ว……
“เฮ้อออ—”
การถอนหายใจได้ปรากฏออกมาด้วยตัวของมันเอง
มันก็ลำบากอยู่แล้วนะที่จะใช้ชีวิตอย่างเอาการเอางาน แต่ว่าการที่มันยังลำบากที่จะใช้ชีวิตอย่างขี้เกียจอีกงั้นเหรอ? นี่เป็นเวรกรรมของผมจริงๆ แต่มันก็เหมาะดีนะสำหรับชีวิตเส็งเคร็งสุดๆแบบนี้ ทุกๆคนควรจะฉิบหายตามด้วยซะเถอะนะ
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้กล่าวว่า
“นายท่าน สีหน้าท่านไม่ค่อยดีเลย ท่านโอเคมั้ยคะ?”
เราทั้งสองคนกำลังมีหารือเรื่องยุทธวิธีอยู่น่ะ เธอคงจะเป็นห่วงตั้งแต่ตอนที่ผมได้ถอนหายใจอย่างปุ๊บปั๊บท่ามกลางการหารือของเรา ผมมองที่สาวน้อยฟาร์เนเซ่ด้วยดวงตาที่ซีดเซียว
“ฟาร์เนเซ่ เมื่อชีวิตเกิดรู้สึกบัดซบขึ้นมา เธอจะทำยังไงฮึ? ”
“ฮืม? ท่านพูดเรื่องอะไรน่ะคะ? ก็ชีวิตเป็นสิ่งที่บัดซบมาโดยตลอดอยู่แล้ว นี่นายท่าน บางที เคยรู้สึกว่าชีวิตของท่านเป็นอะไรอื่นอีกนอกเหนือจากความบัดซบหรอกคะ? ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้กระพริบตาใส่ผมและผมก็ได้ยักไหล่ก่อนกล่าวว่า
“ก็…….ไม่เคยหรอกอ่ะนะ”
“เห็นมั้ยคะ ว่านายท่านได้พูดเรื่องไร้สาระสิ้นดี เพื่อเป็นการอ้างอิง หญิงสาวผู้นี้คิดอยู่เป็นนิจเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวันเลยว่าอยากจะฆ่าตัวตายค่ะ แรงดลใจที่จะฆ่าตัวตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหญิงสาวผู้นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ”
“ข้าน้อยกว่านั้นแฮะ ประมาณ 1.5 ครั้งต่อวันเห็นจะได้น่ะ ”
“เราว่าแล้ว นั่นไม่คล้ายกับความคิดของคนจิตปกติเหรอคะ? ดังนั้นอย่ามาพะวงกับสิ่งไร้สาระเลยคะนายท่าน พวกเราถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องว่ายน้ำในคูน้ำไปตลอดชั่วชีวิตนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอกค่ะแม้ว่านายท่านจะพะวงเกี่ยวกับมัน ”
“อืม”
ผมพยักหน้าช้าๆ
เธอกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมก็คิดเหมือนเธอนะดังนั้นผมเห็นด้วยในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมอยู่นี้ แต่ทำไมผมถึงโดนทุกข์ทรมานจากการหวนคืนสู่ความหดหู่ใจแบบเฉียบพลันหว่า? ผมไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไรหรอกนะ และปัญหาที่ว่ามันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หนอ……?
“……อารมณ์ข้าชักจะเสียซะแล้วสิ โอ้ฟาร์เนเซ่ เมื่อเป็นแบบนี้ ข้าคงต้องปลดปล่อยความเครียดนี้โดยการบดขยี้ศัตรูสักหน่อย เรามารีบๆฆ่าล้างโครตพวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียวกันดีกว่า ”
“แม้หญิงสาวผู้นี้จะไม่มีคำคัดค้านใดๆต่อข้อเสนอนั้น……แต่ว่านายท่านคะ? การทำตามอารมณ์เป็นนิสัยที่ไม่ดีมากๆนะคะ ความรู้สึกส่วนตัวรั้งแต่ทำให้ผู้คนตกต่ำลงสู่ระดับพวกไพร่ ”
“ข้าก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้ข้าทำยังไงในเมื่อข้าไม่สามารถปรับอารมณ์ขึ้นได้ไม่ว่าข้าจะทำยังไงก็ตามน่ะ? ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความโกรธของข้าโดยการมองใบหน้าคนอื่นยามเจ็บปวด ”
ผมพูดตัดพ้อออกมา
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ก็ได้ค่ะ หญิงสาวผู้นี้มีแต่จะทำตามคำสั่งของนายท่านเท่านั้นแหละค่ะ แต่ว่า ถ้านายท่านรู้สึกขุ่นใจจริงๆ ทำไมไม่บัญชาการกองทหารด้วยตัวเองล่ะคะ? ความขุ่นใจของท่านอาจลดลงถ้าท่านเฝ้าดูมนุษย์เหล่านั้นตกตายโดยคำสั่งของท่านเอง ”
“ไม่เป็นไรหรอก จุดประสงค์ของการรบในครั้งนี้คือการปลุกความสามารถของเจ้านะ มันจะเป็นการเปล่าประโยชน์ถ้าเราเทียมรถลากก่อนที่จะเทียมม้า ”
“นายท่านค่อนข้างหัวรั้นในเรื่องที่แปลกๆจัง”
ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้ส่ายหน้าของเธอ
“หญิงสาวผู้นี้ขอเตือนนายท่านเป็นครั้งสุดท้ายนะคะว่า มันมีโอกาสที่หญิงสาวผู้นี้จะทำให้กองทหารทั้งหมด, ที่นายท่านได้ว่าจ้าง, ถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นไปค่ะ หญิงสาวผู้นี้ไม่แน่ใจ แต่มันมีความเป็นไปได้อยู่ว่าจะแพ้แม้ศัตรูจะมีทหารแค่ 1,000 นาย ในขณะที่พวกเรามีถึง 3,000 นายนะคะ นายท่านยังคงยอมมอบอำนาจบัญชาการให้ผู้หญิงผู้นี้อีกหรอกค่ะ? ”
“เลิกกังวลใจสักทีเถอะ”
ผมกดลงบนกลางศีรษะของสาวน้อยฟาร์เนเซ่
มันเป็นจุดที่อ่อนของเธอที่ผมค้นพบระหว่างที่พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้น่ะ
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้แกว่งแขนและบิดตัวไปมา
“อ๊า— อ๊า— นายท่าน อย่าตรงที่กระหม่อมสิ เราไม่ชอบให้โดนตรงนั้นน้า”
“ฟังให้ดีนะ มันไม่สำคัญหรอกหากทหารทั้งหมดได้ม่องเท่งไป สิ่งที่โลกใบนี้มีอยู่จนเกร่อก็คือพวกทหารนะ ถ้าพวกมันตายงั้นก็จ้างมาใหม่สิ และถ้าพวกมันขาดแคลนก็หามาเพิ่มต่อ เจ้านายของเจ้ามีทองคำมากจนมันอาจจะเริ่มเน่าก็เป็นได้นะเออ ”
“อ๊า— ฟุเอ๊ ตรงกระหม่อมไม่ได้น้าาา…… ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้ละลายจนนุ่มนิ่มไปแล้ว เธอมีอาการงุนงงบนใบหน้าของเธอในระหว่างที่เธอกลายเป็นวุ้น สำหรับคนบางคนที่ไม่บ้าจี้เลยอย่างผม เธอเป็นผู้หญิงที่มีจุดอ่อนแบบพิกลๆแฮะ
“ยังไงก็เถอะ เจ้าคือบุคคลที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้นะ เป็นบุคลากรที่ไม่สามารถฝึกขึ้นได้ไม่ว่าจะทุ่มเทเงินทองมากแค่ไหนก็ตาม ข้าขอถามเจ้าตรงนี้เลยนะ ข้าดูเหมือนคนที่ชอบทิ้งขว้างบุคคลที่เก่งกาจ ผู้ซึ่งสามารถรับภาระของคนจำนวน 500,000 คนได้ในอนาคต เพียงเพราะข้ารู้สึกว่าการสูญเสียทหาร 3,000 นาย เป็นเรื่องน่าเสียเกินงั้นหรือ? ”
“ก็เพราะหญิงสาวผู้นี้ขาดประสบการณ์ทางทหาร…… ”
“โอ๊ยจะบ้าตาย เงียบปากไปเลย ข้าจำไม่ได้ว่าได้อนุญาตให้เจ้าพูดตอบกลับนะ แค่ยอมถูกกดโดยข้าซะโดยดีเหอะ”
“อ๊า—, อ๊า—, อ๊า— เล่นงานตรงกระหม่อมเป็นไอ้พวกขี้ขลาดน้าค้า…… ”
ฟู่
เมื่อเห็นสาวน้อยฟาร์เนเซ่ห่อเหี่ยวลงแบบนี้ ส่วนหนึ่งของความเครียดผมได้หายไปบ้างแล้ว จริงๆด้วยแฮะที่ผมเป็นไอ้ซาดิสม์ที่พลานามัยดี เป็นบุคคลที่น่ายึดเป็นแบบอย่างแท้ๆ
ดีมาก ผมพอจะกลับสู่สภาพปกติแล้ว ผมคนเดิมที่เป็นฝ่ายถูกต้องโดยไม่มีข้อแม้ใดๆเสมอ
เอาเป็นว่าตอนนี้ลืมเรื่องลาพิส ลาซูรี่ไปก่อน มาจัดการกับไอ้พวกโจรเหล่านี้เลยดีกว่า พวกโง่ปัญญาอ่อนนี่ ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงและได้รุกรานดินแดนผมตามความต้องการของตนเอง สั่งสอนไอ้พวกโง่นี้ว่ามารยาทที่แท้จริงนั้นเป็นยังไง
“เดอ ฟาร์เนเซ่ ลองคิดว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สนามรบ แต่เป็นสนามเด็กเล่นสิ ของเล่นจิ๋วจำนวน 3,000 ชิ้นถูกวางไว้ต่อหน้าเจ้าเพื่อให้เล่นตามความต้องการของเจ้าเองเลย ”
“ฟู่……ของเล่น งั้นเหรอคะ?”
“นั่นแหละ พิจารณาชีวิตของทหารเหล่านี้อย่างด้อยค่า หรือแค่พิจารณาพวกมันว่าเป็นเพียงจุดบนแผนที่เท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะลงโทษเจ้าต่อการพังของเล่นสักอย่างเรอะ? ”
โดยปกติ ผมจะไม่พูดตรงๆอย่างนี้หรอกนะ
แต่ว่า ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่และผมมีความคล้ายคลึงกัน เราคือคนจำพวกที่เห็นแก่ตัวอย่างไม่เลือกหน้า เว้นไว้เพียงเธอเท่านั้น ที่ผมไม่ต้องระวังคำพูดของผม
อีกฝ่ายก็คงจะคิดเหมือนๆกัน
“เราเข้าใจแล้วค่ะ งั้นหญิงสาวผู้นี้จะทำตามคำสั่งของนายท่านและเล่นกับพวกทหารสักหน่อยนะคะ ”
สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้พยักหน้าของเธอ
“หญิงสาวผู้นี้ขอเคลื่อนทัพหน้าเป็นลำดับแรกค่ะ”
เธอได้ขยับตุ๊กตาดินปั้นซึ่งวางอยู่บนแผนที่
ช่วงเวลาที่เธอวางตุ๊กตาดินปั้นลงด้วยเสียงดัง ‘ตึก’
—การรบก็ได้เริ่มต้นขึ้น