เล่ม 1 ตอนที่ 25 พานพบอีกหน

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 25 พานพบอีกหน
เฉียวเวยรู้สึกว่าตนโชคดีไม่เลวจริงๆ ออกจากบ้านก็พบคนตรงไปตรงมาเช่นนี้อย่างเถ้าแก่หรง ไม่เพียงคลี่คลายปัญหาการตั้งร้านของนางได้ ยังเพิ่มกำไรให้นางอีก

จะขวางผู้มีอิทธิพลเจ้าถิ่นได้หรือไม่ นางกลับไม่ใส่ใจ ขอเพียงนางหาเงินได้ก็พอแล้ว

เดิมทีโรงน้ำชาหรงจี้คิดจะใช้วิธีจ่ายเงินให้เฉียวเวยเป็นรายเดือน แต่เฉียวเวยเห็นว่าเงินในมือมีไม่มาก หากต้องซื้อของใช้สำหรับวันตรุษ แล้วยังต้องสำรองจ่ายค่าอาหารหนึ่งเดือนด้วยตนเองก็ค่อนข้างลำบาก

หลังจากหารือกับเถ้าแก่หรงจึงตกลงว่าเดือนนี้จะสรุปยอดเป็นวันก่อน วันนี้ขาย วันพรุ่งนี้มารับเงิน

เฉียวเวยจำได้ว่าสาวใช้จวนเอินปั๋วสั่งจองขนมไว้สี่สิบชิ้นจึงรอจนกระทั่งนางมา เมื่อมอบของถึงมือนางเสร็จจึงออกมา

ใกล้ถึงสิ้นปีแล้ว ข้าวของในบ้านต้องซื้อหาเพิ่ม เฉียวเวยตัดสินใจไปตระเวนรอบตลาดนัดสักรอบ

ก่อนหน้านี้ซื้อเสื้อนวมกับกางเกงนวมให้เด็กๆ สองชุดแต่พบว่าความจริงไม่พอใส่ บนภูเขาหนาวเย็น ซักผ้าครั้งหนึ่ง เจ็ดแปดวันก็ยังไม่แห้งสนิท ต้องซื้อเพิ่มอีกสองชุด

“แม่นาง เสื้อร้านข้าใช้ปุยฝ้ายใหม่ทั้งหมด ทั้งเบาทั้งอุ่น ราคาก็ถูก เจ้าเอาเพิ่มสักสองชุดเถอะ” เถ้าแก่เนี้ยแย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้นมา

ครั้งก่อนเฉียวเวยก็ซื้อเสื้อจากร้านผ้าร้านนี้ หลังจากกลับไปเลาะเสื้อออกดูใยฝ้าย ก็พบว่าเป็นปุยฝ้ายใหม่จริง แต่หากจะพูดว่าราคาถูกก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว อย่างน้อยตามที่นางรู้มา ราคาของร้านนี้แพงกว่าร้านผ้าข้างเคียงสิบกว่าอีแปะ

“เจ้าขายแพงกว่าผู้อื่น” เฉียวเวยเอ่ยขึ้นมา

เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “นั่นเป็นเพราะร้านข้าขายของดี! แม่นางเจ้าดูเนื้อผ้านี่สิ แล้วยังจะปุยฝ้าย ฝีเย็บนี่ของข้าอีก ในเมืองหาร้านที่สองไม่ได้แล้ว แม่นางอยากได้ของที่ดีกว่าคงต้องไปเมืองหลวง!”

เมืองหลวง มาถึงเนิ่นนานเช่นนี้ยังไม่รู้เลยว่าเมืองหลวงหน้าตาเป็นเช่นไร

ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายวาดหวังจางๆ จากนั้นยิ้มละไม “เจ้าลดให้ข้าสักหน่อยสิ แล้วข้าจะเอาสี่ชุด”

เถ้าแก่เนี้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้ เห็นแก่ที่ครอบครัวเจ้ามีลูกสองคนคงลำบากหรอกนะ ปัดเศษให้ก็แล้วกัน ทั้งหมดหนึ่งตำลึงเงิน”

เฉียวเวยชี้ชั้นวางสินค้าฝั่งตรงข้าม “แถมรองเท้าให้ข้าอีกสองคู่สิ”

เถ้าแก่เนี้ยเบิกตาโต “โธ่! รองเท้าสองคู่หรือ แม่นาง เจ้ามาปล้นหรืออย่างไร รองเท้าของข้าแพงมากนะ! หากเจ้าอยากซื้อจากใจจริง ข้าแถมพื้นรองเท้าสองคู่ให้”

เฉียวเวยลูบคาง “พื้นรองเท้าข้าทำเองได้ เอาเช่นนี้ ท่านแถมรองเท้าให้ข้าคู่หนึ่ง อีกคู่หนึ่งข้าซื้อ”

“โธ่ เจ้า…” เถ้าแก่เนี้ยไม่เคยเห็นผู้ใดต่อราคาเก่งเช่นนี้มาก่อน ภายนอกดูเป็นแม่นางน้อยแท้ๆ แต่หนังหน้าหนากว่านางเสียอีก

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ขายหรือไม่ขาย ไม่ขายข้าจะไปร้านอื่นแล้ว”

เถ้าแก่เนี้ยเบ้หน้า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไป” ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะตัดใจไปจริงๆ!

นางย่อมแข่งกลยุทธ์ทางจิตวิทยาสู้เฉียวเวยไม่ได้ เฉียวเวยหนังตาไม่กระตุกสักนิดวางของลงแล้วเดินจากไปทันที ทั้งยังไม่เดินหนึ่งก้าวหันมองสามหนอย่างที่เถ้าแก่เนี้ยคิดสักนิด แต่เดินเร็วเหมือนมีสัตว์ร้ายไล่กวดอยู่

เถ้าแก่เนี้ยตาค้าง นางรีบออกไปข้างนอกรั้งคนกลับมา “โธ่ ท่านบรรพบุรุษ ท่านบรรพบุรุษน้อยของข้า ขายแล้วๆ ขายให้เจ้า!”

เฉียวเวยซื้อเสื้อนวม กางเกงนวมอย่างละสี่ตัว ชุดหนึ่งสีฟ้าอ่อน ชุดหนึ่งสีเขียวอ่อน อีกสองชุดสีแดง เสื้อกั๊กนวมล้วนเป็นสีชมพูอ่อน ไม่เลือกมากเพราะใส่ไว้ด้านในเท่านั้น สีใดก็เหมือนกัน

เฉียวเวยมองเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังห่อของให้แล้วพูดขึ้นว่า “มีพื้นรองเท้าด้วยนะ เมื่อครู่เจ้าบอกจะแถมให้ข้าสองคู่”

เถ้าแก่เนี้ย “เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าทำพื้นรองเท้าเองได้หรือ”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “แต่ถ้าเจ้าแถมให้ ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่เอา”

ข้า ข้า ข้าเหมือนจะไม่ได้พูดแบบนั้นนะ…

เถ้าแก่เนี้ยใส่พื้นรองเท้าเข้าไปอย่างปวดใจ เฉียวเวยแบกห่อผ้าเดินออกมาอย่างเบิกบานใจ

ลูกๆ ชอบกินแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะ เฉียวเวยจึงซื้อเนื้อแพะสดมาอีกสิบชั่ง แล้วซื้อเนื้อแดดเดียวมาอีกเล็กน้อย เพราะเกลือในยุคโบราณแพง ราคาของผักดองจึงแพงอย่างน่าเหลือเชื่อ เพิ่งจะซื้อสิบชั่ง นางก็เกือบจะล้มละลายแล้ว

เฉียวแบกห่อของบนหลัง หิ้วตะกร้าหนักอึ้งสองใบเดินออกจากตลาดนัด เตรียมจะไปจ้างรถม้ากลับหมู่บ้าน

ตอนที่เดินผ่านร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง นางอดใจไม่ไหวเหลือบมองเข้าไปด้านใน ทว่าทันทีที่เหลือบมองกลับเดินต่อไม่ได้

ความรักสวยรักงามคือธรรมชาติของสตรี มาถึงยุคโบราณนานปานนี้แล้ว แต่นางไม่มีแม้แต่เครื่องประดับสักชิ้น ทุกวันใช้แต่ผ้าโพกศีรษะ มีเส้นผมยาวนั่นไว้เสียเปล่าโดยแท้

เฉียวเวยละล้าละลัง สุดท้ายก็เดินเข้าไปในร้าน

เถ้าแก่เป็นคนเหยียดชนชั้นพอสมควร เมื่อเหลือบเห็นว่าเป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งก็ไม่สนใจจะต้อนรับด้วยตนเอง

เสมียนหน้าร้านกลับเป็นฝ่ายยิ้มตาหยีเดินเข้ามาหา “แม่นางต้องการซื้อเครื่องประดับหรือ ซื้อแบบไหนเล่า จะประดับบนศีรษะหรือใส่ที่ข้อมือดี”

เสมียนน้อยผู้นี้มีมารยาท เป็นคนดีกว่าเถ้าแก่มากนัก

เฉียวเวยเดินวนหน้าชั้นวางสินค้ารอบหนึ่งแล้วชี้ปิ่นดอกเหมยที่ทำจากหยกสีเหลืองเล่มหนึ่ง “ชิ้นนี้ราคาเท่าไร”

เสมียนแย้มรอยยิ้ม “แม่นางตาแหลมยิ่งนัก ชิ้นนี้เป็นของเชิดหน้าชูตาของร้านเรา เป็นปิ่นที่ปรมาจารย์เหมยทำด้วยมือตนเอง มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ราคาหนึ่งร้อยตำลึง”

หนึ่ง หนึ่งร้อยตำลึง!

ปิ่นกิ๊กก๊อกเล่มเดียวกลับขายแพงขนาดนี้เชียว!

เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง

เสมียนเหลือบมองการแต่งตัวของนางก็รู้ว่านางน่าจะซื้อไม่ไหว เขาไม่ได้หัวเราะเยาะนาง แต่เอ่ยอย่างอดทน “หากแม่นางต้องการของที่ถูกลงมาหน่อย จะซื้อปิ่นหินหยกก็ได้”

หินหยกที่ว่า ความจริงก็คือหินที่ดูคล้ายหยกแต่มิใช่หยก

สถานะการเงินของเฉียวเวยในตอนนี้คงซื้อได้แต่ประเภทนั้นเท่านั้น

เฉียวเวยเลือกปิ่นหินหยกดอกกล้วยไม้มาเล่มหนึ่ง เพราะเป็นเล่มสุดท้ายจึงขายให้นางราคาถูก

เฉียวเวยปักปิ่นเล่มใหม่ก้าวออกจากร้านอย่างพออกพอใจแล้วเดินไปหารถม้า

ระหว่างที่เดินผ่านตรอกแห่งหนึ่ง นางก็สัมผัสได้เลือนรางว่ามีคนตามมา ดวงตาของนางทอประกายวูบหนึ่ง แล้วกระชับตะกร้าในมือ จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินไปยังถนนหลักที่มีคนมาก

แต่ใครจะรู้ เมื่อนางเร่งฝีเท้า คนด้านหลังกลับเร่งฝีเท้าตามด้วย

นางจึงวิ่งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ทันที่นางจะวิ่งพ้นตรอกก็ถูกบุรุษที่โผล่พรวดออกมาหลายคนขวางทางข้างหน้าเอาไว้

ด้านหน้ามีหมาป่า ด้านหลังมีเสือ รวมกันแล้วมีสิบกว่าคน แต่ละคนกำหมัดถูฝ่ามือ ดวงตาทอประกายดุร้าย แตกต่างจากอันธพาลสามคนนั้นที่มีแต่เปลือกอย่างสิ้นเชิง

คนสองคนนางยังรับมือได้ ห้าหรือหกคนก็ยังไม่ใช่ปัญหา แต่อีกฝ่ายมีเกือบยี่สิบคน จำนวนมากเกินไป

เฉียวเวยบังคับตนเองให้ใจเย็นแล้วมองไปที่บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นจากดาบบนใบหน้าซีกซ้ายซึ่งเป็นหัวหน้า แล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก มิทราบล่วงเกินนายท่านทั้งหลายเช่นไร”

บุรุษหน้าแผลเป็นตอบว่า “เจ้ามิได้ล่วงเกินพวกข้า แต่เจ้าล่วงเกินพี่ใหญ่ของพวกข้า”

เฉียวเวยเหล่มองเขา “พี่ใหญ่ของพวกท่านคือ…”

“อู๋ต้าจิน!”

อ้อ มือมืดหลังม่านที่ถูกนางส่งเข้าคุกไปคนนั้นนี่เอง นางถูกใส่ร้ายแท้ๆ แม้แต่อู๋ต้าจินหน้าตาเป็นเช่นไรนางยังไม่รู้เลย!

เฉียวเวยขยับยิ้มอย่างฉุนๆ “ข้าว่าพวกท่านคุยกันด้วยเหตุผลดีหรือไม่ พี่ใหญ่ของพวกท่านจ้างคนร้ายมารังแกข้าก่อน แล้วข้าต้องอยู่เฉยปล่อยให้คนรังแกฝ่ายเดียวเช่นนั้นหรือ”

บุรุษหน้าแผลเป็นแค่นหัวเราะ “หากพี่ใหญ่ของข้าต้องการรังแกเจ้า เจ้าก็ต้องยอมให้รังแกเท่านั้น! รู้จักสถานการณ์หน่อย ตามพวกเราพี่น้องขึ้นไปข้างบนตึก ปรนนิบัติพวกเราพี่น้องให้มีความสุขแล้วพวกเราพี่น้องจะละเว้นเจ้า”

ถุย!

ปรนนิบัติฝูงสุกรอย่างพวกเจ้า มิสู้เอาหัวโขกกำแพงตายเสียยังจะดีกว่า!

เฉียวเวยหลุบตาลงแล้วยิ้มหวาน “ให้ข้าปรนนิบัติพวกท่านก็มิใช่จะไม่ได้ แต่ผู้ใดจะมาก่อนเล่า ท่านหรือ”

เฉียวเวยพูดพลางก็ปลดปิ่นบนศีรษะลงมา เรือนผมดุจม่านน้ำตกทิ้งตัวแผ่สยาย นุ่มลื่นเป็นประกาย บุรุษทั้งหลายมองตาค้างอย่างพร้อมเพรียง

เฉียวเวยเยื้องย่างเข้าไปหาบุรุษหน้าแผลเป็นแล้วขยับยิ้มละไม ทันใดนั้นก็แทงปิ่นเข้าใส่!

บุรุษหน้าแผลเป็นหลบไม่ทันจึงถูกแทงเข้าที่หัวไหล่ เขากรีดร้องโหยหวนออกมาทันที

ทุกคนรีบเข้าไปพยุงเขา เฉียวเวยจึงฉวยโอกาสโยนตะกร้าทิ้งแล้วพุ่งออกจากตรอก

คนกลุ่มนั้นไล่ตามมา

บนถนนมีคนไม่น้อยมามุงดูเรื่องสนุก แต่ไม่มีสักคนกล้าเข้ามาช่วยเฉียวเวยจากวงล้อม

เฉียวเวยวิ่งไปทางโรงน้ำชาของหรงจี้สุดชีวิต นางวิ่งเร็วมาก แต่คนกลุ่มนั้นใช้ทางลัด พริบตาเดียวก็ขวางหน้านางไว้

นางหันหลังวิ่งกลับ พอดีมีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมา นางจึงกระโดดขึ้นไปอย่างไม่พูดพร่ำคำใดทั้งสิ้น!

คนขับรถม้าตกใจสะดุ้งโหยง!

เฉียวเวยมุดเข้าไปในตัวรถ ในตัวรถมีคนนั่งอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นบุรุษผู้สวมหมวกปีกกว้างสีดำกับเสื้อตัวยาวสีขาวนวล เนื้อผ้านุ่มเบาเป็นประกายเลือนราง

แม้บุรุษผู้นั่นจะนั่งอยู่นิ่งๆ แต่กลับดูมีอำนาจยิ่งนัก เฉียวเวยพุ่งพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ อีกฝ่ายกลับไม่เผยท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย สุขุมประหนึ่งจักรพรรดิ

เฉียวเวยมองสำรวจเขาจากหัวจรดเท้า ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นเคย แต่ชั่วขณะนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ใด

รถม้าหยุดวิ่ง

เฉียวเวยตะลึง คงไม่ได้จะไล่นางลงใช่หรือไม่!