บทที่ 148 เจ้าเปิดได้อะไรมา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 148 เจ้าเปิดได้อะไรมา

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

เขาเข้าใจว่าด้านการรังสรรค์วรรณกรรมของตนเองก็ไม่เลวนัก เวลาปกติก็พูดบทโคลงกลอนออกมาอย่างราบรื่น

แต่ก็ยังดูงงงวยอยู่บ้าง ดังนั้นหลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

“มอบทายาท? แล้วมอบอย่างไร แล้วทำไมต้องเป็นชิงเอ๋อ ชิงเอ๋อนี่ใช่พรรณนาถึงหญิงสาวหรือไม่กัน”

ครู่ต่อมาเขาจึงก้มหน้าลงมองๆ ขวดเล็กนั่น จู่ๆ ก็คิดถึงอะไรบางอย่าง ถลึงตาโตขึ้นมา

“คงจะไม่ใช่…” พอคิดถึงที่ตนเองไปดมๆ ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกแย่ขึ้นมา กัดฟันงึมงำ

“เกินไปแล้ว!!” หลังจากนั้นก็คิดจะโยนทิ้งด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ยังรู้สึกทำไม่ลง แอบคิดว่าบางทีอาจจะเป็นครึ่งสายเลือดจักรพรรดิโบราณแล้วก็ได้ จึงยังคงถือไว้อย่างสับสน เอาแต่ครุ่นคิดว่าเป็นผู้ชายไม่ได้หรือ

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงลืมตาขึ้นบนเรือเวทที่อยู่ห่างออกไป มองไปทางชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งบนกระบี่เล่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังเปิดกล่องปรารถนาอะไรนั่นอยู่ ในใจเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน

“เจ้าเปิดได้อะไรกัน” สวี่ชิงส่งเสียงถามขึ้น

เกราะบังบนกระบี่ใหญ่สลายไป ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งที่นั่งสีหน้าเหม่อลอยอยู่ทางนั้น สีหน้าดูแย่ไปบ้าง หลังจากนั้นก็เอาแต่พ่นลมล้างรูจมูกไม่หยุด

กระทั่งยังถ่ายพลังเวทเข้าไปในรูจมูกด้วย จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าจึงดีขึ้นมาบ้าง มองไปบนฟ้าไม่พูดจา ส่วนกล่องปรารถนาก็ถูกเขาเก็บลงไปแล้ว

พอเห็นเป็นเช่นนี้ ในใจสวี่ชิงก็คาดเดา ถอนสายตาไปไม่สนใจอีก

เวลาก็ไหลผ่านไปอีกครั้งเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนเข้าใกล้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นเรื่อยๆ และสวี่ชิงก็พอเข้าใจอาวุธเวทขนนกนั่นแล้ว

ประสิทธิภาพของของสิ่งนี้อยู่ที่ความเร็ว

พอเริ่มใช้งานสามารถทำให้ร่างกายระเบิดความเร็วขึ้นมาในพริบตา จนขึ้นไปถึงหลายเท่าของร่างกายตนเอง แต่ก็มีเงื่อนไขของกายเนื้อสูงมากเช่นกัน

เพราะมีคนนอกอยู่ ดังนั้นสวี่ชิงจึงยังไม่ได้ทดสอบ แต่หลังจากที่เขาสัมผัสก็ยืนยันแล้ว หากแค่เปิดใช้งานอาวุธเวทนี้ ความเร็วของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นจนตกตะลึง

‘จำเป็นต้องหาสถานที่ทดสอบเสียหน่อย’ ระหว่างที่สวี่ชิงครุ่นคิด ก็สังเกตเห็นเรือเวทของยอดเขาลำดับเจ็ดอยู่ไกลๆ

แทบจะในพริบตาที่เรือเวทของยอดเขาลำดับเจ็ดปรากฏ หลังจากที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งเปิดกล่องปรารถนาคนนั้นก็เอาแต่เหม่อลอยมาตลอดทาง เงยหน้าขึ้นแล้วดีดนิ้วทันที จากนั้นบนตัวก็มีชุดนักพรตชุดใหม่ปรากฏขึ้น

ท่าทางก็ดูเหมือนฝึกมาแล้วหลายครั้ง สีหน้าเผยความเย็นชาราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง

ปราณกระบี่บนตัวก็พันวนอยู่รางๆ ดูแล้วแม้จะระแวดระวัง แต่ก็ดูจงใจ โดยเฉพาะการหมุนวนของปราณกระบี่ ทำให้ผมยาวของเขาโบกสะบัด คนนอกพอเห็นก็ล้วนรู้สึกว่าไม่ธรรมดา

จนเรือเวทยอดเขาลำดับเจ็ดจากไปไกล ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็กลับไปห่อเหี่ยวอีกครั้ง

การกระทำเช่นนี้ โดยเฉพาะวิธีและความเร็วในการเปลี่ยนเสื้อผ้า สวี่ชิงมองแล้วรู้สึกแปลกประหลาด

แต่ว่าจากเวลาที่ผ่านไป ตลอดทางพอพบกับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดมากเข้า หลังจากที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ไปทุกครั้ง สวี่ชิงก็ค่อยๆ ชิน และบรรพชนสำนักวัชระก็คว้าโอกาสไว้ทันที ส่งกระแสเสียงเบาให้กับสวี่ชิง

“นายท่าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตนเองเป็นพิเศษ คนประเภทนี้ข้ารู้สึกว่าพวกเราไม่ต้องสังหารก็ได้ พวกเราสามารถใช้นิสัยนี้ของเขาให้เป็นประโยชน์ให้พวกเราใช้งานได้

“ยกตัวอย่างเช่นในเวลาสำคัญ นายท่านสามารถยกยอปอปั้นเขาเสียหน่อย จากที่ข้าน้อยเห็นในคัมภีร์โบราณบรรยายไว้ คนประเภทนี้มักจะเป็นพวกที่ชอบหลั่งเลือดเพื่อหน้าตาของตนเอง

“นอกจากนี้ข้าน้อยก็เดาไว้แล้วก่อนหน้าว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าตาอย่างมาก ดังนั้นจึงวางแผน จัดการบันทึกสภาพซมซานทั้งหมดตลอดทางของเขาไว้ แล้วก็ตอนที่เขาพูดภาษามนุษย์มาทั้งหมดข้าก็บันทึกไว้เหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้งานได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยนี่ก็เป็นวิธีที่พุ่งเป้าไปยังลักษณะนิสัยปกติของเขาแล้ว

“นอกจากนี้ถ้าภายหลังมีโอกาส นายท่านยังสามารถสร้างสถานการณ์ที่ทำให้คนนี้ยิ่งเสียหน้าขึ้นไปอีกได้ อย่างเช่นให้เขาต้องอ้อนวอน อย่างเช่นทำให้เขาสกปรกมอมแมมเป็นต้น ข้าน้อยจะทิ้งภาพเหล่านี้ไว้ เผื่อใช้ในกรณีที่จำเป็น”

บรรพชนสำนักวัชระเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ในคำพูดไม่มีคำใดที่เป็นประโยชน์กับตนเองเลย แต่พอฟังรวมๆ ก็เผยให้เห็นถึงการแสดงออกถึงคุณค่าของตนเอง

“และขอเชิญนายท่านลงโทษด้วย เพราะข้าปฏิกิริยาช้าเกินไป สำหรับเจ้านายแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้แค่พริบตาท่านก็คงคิดออกแล้ว แต่ข้าน้อยกลับครุ่นคิดอยู่นานจึงคิดสิ่งเหล่านี้ออก นายท่านโปรดลงโทษข้าเถิด ข้าช่างโง่เขลาเสียจริง ห่างชั้นกับอัจฉริยภาพของนายท่านอยู่ราวฟ้ากับเหว

“นายท่านโปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้าน้อยจะพยายามอย่างแน่นอน ขอให้ท่านภายหน้าโปรดนำเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ เรื่องสกปรกเช่นนี้ส่งมาให้ข้าเถอะ ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความไว้วางใจของนายท่านแน่นอน!”

สวี่ชิงกวาดตามองเหล็กแหลมสีดำข้างกายผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เกือบจะสามเดือนแล้ว เจ้าทางนี้ข้าอนุญาตเพิ่มให้อีกเดือน ส่วนเจ้าเงายังคงเดิม”

บรรพชนสำนักวัชระตื่นเต้นขึ้นทันที จากนั้นก็แสร้งเหลือบมองไปทางเงาอย่างไม่ใส่ใจผาดหนึ่ง และเงาทางนั้นก็สั่นเทาขึ้นมา รีบสลายตัวออกแล้วมุดลงไปในทะเล สูดรับเอาไอพลังประหลาดอย่างบ้าคลั่ง

สวี่ชิงเหลือบตามองพวกเขา ไม่สนใจอีก หลับตาลงนั่งสมาธิ ฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวัน

จนเวลาผ่านไป มองเห็นท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็เหมือนจะปล่อยวางเรื่องในใจลงจากการที่พบกับเรือมากขึ้นแล้ว ลุกขึ้นยืนด้วยดวงตาที่เผยความเด็ดเดี่ยวออกมา รักษาท่าทีที่ยอดเยี่ยมของตนเองเอาไว้ตลอด

เขาเหมือนจะไม่ได้กลัดกลุ้มกับการจ้องมองอย่างเย็นชาของสวี่ชิงเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่กลับหันหน้ากลับมามองพิจารณาตัวสวี่ชิงแทน เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“เมฆก้อนหนึ่งเบื้องหน้าศาลเทพประจำเมือง ผู้บำเพ็ญที่ไปและมาล้วนตายกันไว”

สวี่ชิงพอได้ยินก็ลูบๆ เหล็กแหลมสีดำข้างตัว และบรรพชนสำนักวัชระก็เหมือนจะรู้งาน แผ่จิตสังหารพุ่งเป้าไปยังชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งกระแอมขึ้นเสียงหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายฟังคำพูดตนเองไม่ออก และเขาก็เหมือนจะไม่ยอมเอ่ยปากอธิบาย ก็เลยหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาทำการประทับเสียรอบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่งให้สวี่ชิงเหมือนว่าด้านในมีคำพูดทั้งหมดแล้ว

สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากรับแผ่นหยกมาแล้วในหัวสมองก็ปรากฏข้อความด้านในที่อีกฝ่ายประทับไว้ 艾琳小說

‘น้องชายเจ้ากับข้าถือว่ามีโชคชะตากัน ข้าคืออู๋เจี้ยนอูองค์ชายเก้าแห่งยอดเขาลำดับหนึ่ง พวกเราถ้าไม่สู้ก็ไม่รู้จักกัน ทุกคนล้วนมาจากสำนักเดียวกัน ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีปราณพิฆาตหนักหนาเกินไป พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กันให้ตายไปข้าง

‘ยิ่งไปกว่านั้นเวลาอยู่ด้านนอก การมีปราณพิฆาตหนักหนาไม่ใช่เรื่องดี ได้ยินมาว่าศิษย์พี่เฉินศิษย์คนสำคัญของยอดเขาลำดับสามในครั้งนั้น หลังจากยกระดับก็เพราะมีปราณพิฆาตมากเกินไป ผลลัพธ์คือออกไปภายนอกแล้วก็หายสาบสูญ จนผ่านไปหลายปีก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ

‘และยังมีลูกชายคนเดียวของเจ้ายอดเขาลำดับหกเมื่อครั้งนั้นก็มีปราณพิฆาตหนักหนาแบบเจ้า ก็หายสาปสูญไปเช่นกัน

‘ดังนั้นข้าขอเตือนเจ้าว่า ทำตัวให้ดีๆ เถิด’

ชายหนุ่มยอดเขาอันดับหนึ่งอู๋เจี้ยนอูยืนอยู่บนกระบี่เล่มใหญ่ กวาดตามองสวี่ชิงอย่างรวดเร็วผาดหนึ่ง ในพริบตาที่สวี่ชิงมองแผ่นหยกนี้อยู่ เขาก็พุ่งตัวออกไปทันควัน ทั่วตัวแสงเลือดโถมขึ้นฟ้า ทั้งร่างกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งสู่ท้องฟ้า ใต้เท้าคือภาพมายากระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง

ทั้งตัวมองดูแล้วพลังไม่ธรรมดา เพียงพริบตาก็ทิ้งห่างจากเรือเวทที่สวี่ชิงอยู่ ทะยานตรงไปยังยอดเขาลำดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตท่ามกลางเสียงหวีดหวิวบนท้องฟ้า

“ผู้ยอดเยี่ยมหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ กลืนกินทะเลเมฆาข้าจะขึ้นกลายเป็นเซียน”

ระหว่างที่บินทะยาน ในปากเขาก็เปล่งเสียงกังวาน สะท้อนก้องไปทั่วทิศ ดึงดูดสายตาให้คนมากมายมองไป

อัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งในชุดนักพรตสีแดงคนนี้ในสายตาพวกเขา ผมยาวปลิวสยาย ราวกับเทพเซียนก็มิปาน

สวี่ชิงเหลือบตามองอย่างเย็นชา การแสดงของอีกฝ่ายเขาไม่สนใจ อันที่จริงยิ่งเข้าใกล้สำนัก เขาก็ยิ่งจะไม่ลงมือแบบก่อนหน้า

เวลานี้เขาเก็บสายตากลับมา ควบคุมเรือเวททะยานไปที่ท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิต จังหวะที่เข้าใกล้ตราประทับยันต์พันธะชีวินที่แผ่ไปทั่วร่างเขา ก็เปล่งแสงอ่อนโยนออกมา และหายไปอย่างรวดเร็ว

จนหลังจากที่เขาเหยียบลงบนท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ลายอักขระบนตัวทั้งหมดก็สลายหายไป

สวี่ชิงร่างกายผ่อนคลาย และมองไปยังอู๋เจี้ยนอูที่บินไปยอดเขาลำดับหนึ่ง เก็บเรือเวทลงทะยานร่างขึ้นอากาศ บินตรงไปยังยอดเขาลำดับเจ็ด เพียงไม่นานก็เข้าไปในยอดเขาลำดับเจ็ด กลับไปยังถ้ำพำนักของตนเอง

หลังจากมาถึงประตูใหญ่ถ้ำพำนัก สวี่ชิงก็สัมผัสไปรอบทิศ พอยืนยันว่าสิ่งที่วางไว้ทั้งหมดก่อนหน้าปกติดี จึงเปิดประตูถ้ำพำนักออก พอเดินเข้าไปก็ปิดมัน สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ

‘กลับมาครั้งนี้ ต้องดูให้ดีแล้วว่าจะเปิดท่าเรือต้องใช้หินวิญญาณสักเท่าไร นอกจากนี้พักอยู่บนเขาก็ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ อยู่ในเรือเวทดูจะเป็นตัวของตัวเองหน่อย’

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด มองชุดนักพรตสีม่วงบนร่างตนเอง คิดไปถึงชุดนักพรตสีเทาของจางซานกับนายกอง ก็ตัดสินใจขึ้นมา

จากนั้นจึงหันหน้ามองไปยังถาดหยกใจกลางถ้ำพำนักที่นับตั้งแต่เขาเข้ามาในถ้ำพำนักก็เปล่งแสงอ่อนมาโดยตลอด

ถาดหยกใจกลางนี้เป็นศูนย์กลางค่ายกลของถ้ำพำนัก สลับเปลี่ยนหินวิญญาณก็ทำที่จุดนี้ ขณะเดียวกันยังมีความสามารถจดบันทึกอีกด้วย

สวี่ชิงกวาดตามอง เดินไปกดมือลงบนถาดหยกใจกลาง ในหัวสมองก็มีข้อมูลหลายสายขึ้นมาทันที ด้านในบันทึกคนที่เข้ามาขอพบในช่วงนี้

ในนี้มีหวงเหยียนหนึ่งครั้ง โจวชิงเผิงหนึ่งครั้ง ติงเสวี่ยสามครั้ง กระทั่งยังมีกู้มู่ชิงอีกสองครั้ง แต่ที่มากที่สุดในนี้มีสองคน

คนหนึ่งคือเจ้ากรมปราบพิฆาตบันทึกไว้ถึงยี่สิบสามครั้ง อีกคนหนึ่งคือสมาชิกกลุ่มหกของกรมปราบพิฆาต ลงชื่อเอาไว้ว่าเจ้าใบ้

บันทึกขอพบของเขามีทั้งหมดสี่สิบเอ็ดครั้ง

นี่คือเหมือนเข้ามาทุกวัน

สวี่ชิงมองบันทึกเหล่านี้ คิดถึงเรื่องที่ครั้งนั้นตนเองถือโอกาสลงมือช่วยชีวิตเจ้าใบ้ไว้ เห็นได้ชัดว่าดวงชีวิตของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก รอดตายกลับมาแล้ว

ขณะที่สวี่ชิงกำลังตรวจสอบ จู่ๆ ถาดหยกก็เปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง มีข้อมูลเพิ่มมาอีกหนึ่ง และก็ยังมาจากเจ้าใบ้

สำหรับศิษย์บนภูเขา การเข้าเยี่ยมของคนนอกจำเป็นต้องผ่านการยอมรับจากพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ศิษย์ด้านล่างภูเขา ดังนั้นสวี่ชิงหลังจากครุ่นคิดก็ยอมรับการขอเข้าพบของอีกฝ่าย

เพียงไม่นาน ก็มีเงาผอมเล็กร่างหนึ่งเดินตามการชี้นำของค่ายกลมาถึงด้านหน้าถ้ำพำนักของสวี่ชิง หลังจากเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง พอประตูใหญ่ถ้ำพำนักเปิดออก สวี่ชิงก็เดินออกมา

“มีธุระอะไร” สวี่ชิงมองเจ้าใบ้ที่ยืนอย่างเขินๆ อยู่ด้านนอกห่างออกไปสามจั้ง ไม่กล้าเดินเข้ามา

อีกฝ่ายยังคงสวมชุดเดิม บาดแผลบนตัวหายดีนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความเย็นชาก็มีมากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าการรอดชีวิตจากครั้งนั้น เขาก็เติบโตขึ้นมาไม่น้อยเลย

ร่างกายเจ้าใบ้สั่นสะท้านด้วยสายตาของสวี่ชิงที่จ้องมองมา ล้วงเอาป้ายชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก วางไว้ข้างๆ อย่างนอบน้อม จากนั้นก็เดินถอยออกมาหลายก้าว ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมองสวี่ชิง จู่ๆ ก็คุกเข่าลงออกแรงโขกศีรษะไปหลายที

จนหน้าผากเลือดไหล เขาจึงลุกขึ้นยืน รีบวิ่งลงไปจากเขาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงส่งอีกฝ่ายด้วยสายตา ยกมือขวาขึ้นคว้า ป้ายบนพื้นก็ลอยเข้ามา สิ่งนี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ฐานะ แต่เป็นป้ายยืนยันการเข้าคลังชิ้นหนึ่ง

สวี่ชิงที่คุ้นเคยกับท่าเรือเป็นอย่างดี รู้แน่นอนว่าสิ่งนี้คืออะไร

ท่าเรือของเจ็ดเนตรโลหิต ครึ่งหนึ่งมีไว้สำหรับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดใช้งาน อีกครึ่งหนึ่งสำหรับคนภายนอก ปกติเรือต่างเผ่าไปมามีมากมายมหาศาล โจรสลัดเองก็ปะปนอยู่ในนี้ด้วย

และเรือที่มาจากภายนอกเหล่านี้ เข้ามาเหมือนกับเรือเวทของเจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการที่จอดและที่ฝากของ และป้ายนี้ก็คือป้ายยืนยัน

สำหรับเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว การจะมารับเรือคืน ต้องใช้ป้ายยืนยันนี้เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เจ้าใบ้ส่งศพพวกในประกาศจับมาครั้งที่แล้ว เข้าใจว่าสวี่ชิงไม่ชอบพวกในประกาศจับ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่รู้ว่าสังหารไปเท่าใด จนได้ป้ายยืนยันชิ้นหนึ่งกลับมามอบให้สวี่ชิง

ครั้งนี้ สวี่ชิงจึงเก็บมา