พูดเข้าประเด็นด้วยตัวเองอย่างตรงไปตรงมา หวังซีเห็นแล้วดวงตาเป็นประกาย ปรายตามองเฉินลั่วครั้งหนึ่ง

เฉินลั่วกลับรู้สึกตื่นเต้น

ดี! คนที่เขาต้องการคือคนเช่นนี้

จวนเจิ้นกั๋วกง จวนจ่างกงจู่ และวังหลวงล้วนซับซ้อน สถานการณ์ของเขาก็ร้ายแรง หากยังได้คนอืดอาดยืดยาดคุยกันครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เข้าประเด็นมาผู้หนึ่งอีกล่ะก็ เขาต้องร้อนใจตายเป็นแน่

นอกจากนี้ผู้ช่วยก็แค่คนที่มาทำงานให้อยู่ข้างกาย มิใช่บ่าวในบ้าน จะอยากให้เขาว่าง่ายและเชื่อฟังขนาดนั้นไปทำไม ขอเพียงจัดการธุระให้เขา เข้าใจเรื่องแวดล้อมของเขาได้ดี เมื่อถึงเวลา อย่างมากก็แยกย้าย ต่างคนต่างเดินทางของตน

คำพูดของหลิวจ้งหาได้ทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองคนผิดหวัง ตรงกันข้ามรู้สึกยินดีเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน โดยเฉพาะเฉินลั่ว เนื่องจากรู้สึกถูกใจอยู่บ้าง การแสดงออกจึงไม่อาจปล่อยให้หลิวจ้งข่มได้ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาไม่รู้ว่าใครต้องเชื่อฟังใครกันแน่

เขาไม่อยากกลายเป็นดาบในมือผู้อื่น

“แล้วเจ้าเคยเรียนอะไรมาบ้าง” เฉินลั่วถามเสียงเรียบ พูดไม่สอดรับกับสิ่งที่หลิวจ้งส่งมาให้แม้แต่น้อย

หลิวจ้งไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบขุนนาง แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องการเตรียมตัวสอบให้เอ่ยอ้างได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ต่อให้เขามีความรู้สูงส่งแค่ไหน ก็ไม่อาจกล่าวรับประกันความรู้ของเขาแม้สักประโยคหรือสองประโยคได้

เฉินลั่วถามเช่นนี้ ทำให้เขาเบื้อใบ้เล็กน้อย

“ใต้ผืนฟ้าไม่มีพสุธาใดมิใช่ของโอรสสวรรค์” เฉินลั่วกล่าวเสียงเรียบอีกครั้ง

ความหมายโดยนัยก็คือ ตระกูลหลิวของพวกเจ้าต่อให้เคยมั่งคั่งเพียงใด เคยรุ่งโรจน์เพียงใด ก็ล้วนอาศัยกินข้าวของตระกูลฝั่งแม่ของข้าทั้งสิ้น

“ก็แค่เห็นว่าทุกคนมีวาสนาร่วมกัน อยากช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เท่านั้น” แม้นกล่าวว่าทักษะการทำให้เขาคล้อยตามไม่ค่อยได้เรื่องนัก ทว่าเฉินลั่วกลับไม่คิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อลวง วาจาและการกระทำค่อนข้างจริงใจ “หากเจ้าคิดว่าทำได้ เช่นนั้นพวกเราก็มาเจรจาพูดคุยกัน แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม ข้าก็จะทำเสมือนออกมาเดินเล่นครั้งหนึ่ง ไม่คุ้มค่าที่ข้าจะฝืนบังคับใคร!”

หลิวจ้งนิ่งเงียบ

ตลอดทางเดินที่ผ่านมาของเขา ไม่รู้ว่าพานพบเรื่องราวมามากมายเพียงใด เขาไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจมาก่อน

ก่อนหงายไพ่ เขาสืบเรื่องของเฉินลั่วมาอย่างละเอียด ย่อมรู้ว่าสถานการณ์ของเฉินลั่วเป็นอย่างไร ขาดแคลนอะไร ให้เขาฝากชีวิตไว้ได้หรือไม่ เมื่อได้พบเฉินลั่ว ควรสร้างความประทับใจให้เฉินลั่วอย่างไร เขาไม่ได้เข้าเรียนและไม่มียศตำแหน่ง จะทำอย่างไรให้ไม่ถูกผู้อื่นใช้งานในราคาถูก

เรื่องพวกนี้เขาตรึกตรองมาแล้วหลายต่อหลายรอบถึงขั้นเคยชั่งน้ำหนักแล้วด้วยซ้ำ ถึงได้ไปพบหวังซี

แรกเริ่มเขาอยากกระตุ้นความสนใจของเฉินลั่ว คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วเองก็คิดเหมือนเขา เจาะเข้าประเด็นประกาศความคิดของตนอย่างตรงไปตรงมา ทำให้กลเม็ดเล็กน้อยของเขามลายหายไปจนเกือบหมด

เดิมหลิวจ้งคิดว่าเฉินลั่วมีทุกอย่างพร้อมสรรพขนาดนั้นกลับตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ดูทีก็คงเป็นเพียงคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดผู้หนึ่งเท่านั้น ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าวของเขาในเวลานี้แล้วกลับอดนับถือเขาเพิ่มขึ้นไม่ได้

สายตาที่เขามองเฉินลั่วย่อมเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาด้วย

เฉินลั่วกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร

เขาคิดเช่นนี้จริงๆ

เนื่องจากเขาอยากจูงใจหลิงจ้ง แน่นอนว่าก็ต้องไปสืบเรื่องของเขามาอย่างละเอียดแล้วเช่นกัน

หลิวจ้งอยากสร้างตัวที่จิงเฉิง ทว่าไม่อาจเข้าร่วมการสอบขุนนางได้ หลิวซื่อหลางรับประโยชน์จากหลิวจื่อยงแต่กลับไม่สนใจความยากลำบากหลายสิบปีนี้ของตระกูลหลิว ปฏิเสธหนี้บุญคุณที่ติดค้างโดยสิ้นเชิง แม้นหลิวจ้งรู้ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อถูกคนที่ให้ความหวังปฏิเสธและปฏิบัติด้วยอย่างฉาบฉวยขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายยังคงระงับความโกรธไม่ได้อยู่ดี จึงย้ายออกมา

อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่ใช่คนนิสัยเช่นนี้ เฉินลั่วก็คงไม่นับถือเขา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอยากให้ใต้เท้าเฉินแนะนำอาหลีเข้ากองทัพ มีที่หยัดยืนมั่นคงอยู่ในกองทัพ” หลิวจ้งหรี่ดวงตา เสนอเงื่อนไขอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

หวังซีพูดไม่ออก

อาหลียังไม่เต็มห้าขวบด้วยซ้ำ! เสนอเงื่อนไขเช่นนี้ตั้งแต่ตอนนี้ เหมาะสมแล้วหรือ

หากอาหลีเรียนหนังสือได้ดีมากเล่า?

เมื่อความคิดนี้วาบผ่าน นางก็นึกถึงใบหน้าที่แตกต่างของอาหลีขึ้นมา

การเป็นขุนนางก็ต้องดูเรื่องรูปลักษณ์ด้วย น่าเกลียดเกินไป ย่อมไม่ได้รับเลือก ก็เหมือนจงขุย ที่ไม่ได้เป็นขุนนางก็มิใช่เพราะหน้าตาน่าเกลียดเกินไปหรอกหรือ

การให้อาหลีไปกองทัพ ถือเป็นทางออกที่ดีแล้ว

หวังซีมองหลิวจ้ง คิดว่าเขาต้องคิดมาอย่างดีแล้วเป็นแน่

นางมองไปที่เฉินลั่วอีกครั้ง

เฉินลั่วพยักหน้าอย่างสบายๆ กล่าวว่า “ได้!”

หลิวจ้งโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

เขาย่อมรู้ว่าการพูดเรื่องพวกนี้ในเวลานี้ยังเร็วเกินไป แต่เขายังไม่ได้แต่งงาน เมื่อก่อนผู้อาวุโสในบ้านเคยหมั้นหมายให้เขาครั้งหนึ่งแต่ก็ถูกอีกฝ่ายหาข้ออ้างมาถอนหมั้น เขาไม่ค่อยมีความหวังกับเรื่องแต่งงานของตัวเองแล้ว ทว่าหลานชายผู้เฉลียวฉลาด อ่านอะไรผ่านตาก็ไม่ลืมอย่างอาหลีผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ตรงหน้าเขามาตลอด แทนที่จะขออนาคตให้บุตรชายหญิงที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มิสู้ขอให้อาหลีดีกว่า

ส่วนเฉินลั่วจะรักษาคำมั่นสัญญาหรือไม่ เมื่อพวกเขาทำสำเร็จ สำหรับเฉินลั่วแล้วนี่ก็เป็นแค่เรื่องง่ายดายประหนึ่งกระดิกนิ้วเท่านั้น แต่ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ เขามั่นใจว่าหลังจากได้ผูกสัมพันธ์กับเฉินลั่วย่อมทิ้งทางหนีไว้ให้อาหลีได้อย่างแน่นอน

เมื่อสิ่งที่ปรารถนาดูมีอนาคตแล้ว เขาจึงไม่กังวลเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นอีก

จะเป็นล่อหรือเป็นม้า ก็ต้องลากออกไปเดินดู เจ้าของถึงจะรู้ว่าควรจะให้อาหารเจ้ามากน้อยเท่าไร

หลิวจ้งเข้าใจหลักการนี้อยู่แล้ว

เขาลุกขึ้นยืน หันไปคำนับเฉินลั่วอย่างสงบ กล่าวว่า “นายท่านมีอะไรสั่งการ ข้าพร้อมรับผิดชอบงานได้ทุกเมื่อ”

เฉินลั่วถึงได้มองหลิวจ้งด้วยสีหน้าเคร่งครั้งหนึ่ง คิดว่าหากในภายภาคหน้าเขายังมีอำนาจมหาศาลเช่นนี้อยู่ ต่อให้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรไปบ้าง การเก็บไว้ข้างกายก็เป็นสิ่งที่พอจะทนได้

เขาพูดถึงบ้านที่สะพานศิลาขาวขึ้นมา “สองวันนี้เจ้าก็พาหลานชายของเจ้าย้ายเข้าไปอยู่เถอะ! ข้ามีเรื่องให้เจ้าจัดการอยู่บ้างจริงๆ”

ผู้ใดจะรู้ว่าหลิวจ้งกลับเหยียดยิ้มกว้าง หันไปประสานมือให้หวังซีพลางกล่าว “คุณหนูหวัง อากาศร้อนแผดเผา ก่อนหน้านี้ตอนพักอยู่ในเมืองอาหลีเคยเป็นลมแดดมาก่อน ไม่ทราบว่าขอรบกวนคุณหนูหวังช่วยรับดูแลอาหลีสักสองสามวันได้หรือไม่ รอข้าจัดการเรื่องที่สะพานศิลาขาวเสร็จแล้วจะมารับตัวอาหลีไป”

ผู้อื่นกลัวญาติกลายเป็นตัวประกัน เขาช่างดี ส่งคนมาอยู่ในมือนาง

หวังซีรู้สึกว่าหลิวจ้งผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก แต่ก็มองความเจ้าเล่ห์ของหลิวจ้งออกเช่นกัน

ต้องรู้ว่า อาหลีกินของดี สวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าของพวกนางไปไม่น้อย

แต่หวังซีก็ไม่คิดจะตามใจเขา ได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้! แต่ญาติผู้พี่ของข้าเป็นคนดูแลอาหลีมาโดยตลอด เจ้าส่งอาหลีไปอยู่กับพวกข้า ข้าไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ต้องไปบอกญาติผู้พี่ของข้าสักคำ สุดท้ายแล้วต่อให้เด็กน้อยจะเชื่อฟังเพียงใดก็มีเวลาที่งอแงและดื้อรั้น ปล่อยมือไม่ได้ ต้องจับตาดูอยู่ตลอด ถือเป็นงานหนักอย่างหนึ่ง”

หลิวจ้งตะลึงงัน ไม่รู้ตะลึงเพราะคำกล่าวอ้างของหวังซีหรือเพราะคนที่ดูแลอาหลีคือฉังเคอกันแน่ แต่เขาไม่เปลี่ยนใจ โค้งคำนับให้หวังซีครั้งหนึ่ง ยังคงฝากอาหลีไว้กับหวังซี

คนเป็นอาแท้ๆ ยังไม่กังวล หวังซีจึงยิ่งไม่กังวลแล้ว

นางรับปากอย่างยิ้มแย้ม ออกจากเรือนรับรองแขกหลังเขาของวัดอวิ๋นจวีมาพร้อมกับเฉินลั่ว

เฉินลั่วมองปลายยอดเขาเขียวขจีเต็มสายตาตรงหน้า เห็นคนตัดไม้สวมงอบเดินผ่านกลางเขา เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าอยากไปเดินเล่นด้วยกันหรือไม่”

“ได้เลย!” หวังซีตอบตกลงโดยไม่คิด

ช่วงเวลานี้ของปีก่อนๆ นางล้วนไปอยู่กลางเขากับท่านปู่และท่านย่า ไม่ตกปลาก็เดินเขา เก็บสมุนไพร หรือทำของอร่อยๆ กิน

หน้าร้อนของปีนี้ไม่ว่าที่ไหนก็น่าเบื่อ

แม้นวัดอวิ๋จวีสู้สถานที่หลบร้อนปกติของพวกนางไม่ได้ แต่ดีร้ายก็ยังตั้งอยู่บนภูเขา ได้สูดอากาศเย็นๆ มองยอดเขาเขียวขจี ทำให้สบายตาได้ช่วงหนึ่ง

เฉินลั่วกลับไม่ค่อยได้มีเวลาว่างเช่นนี้นัก

นับตั้งแต่เขาจำความได้ เวลานี้ของทุกปีหากมิใช่ไปหลบร้อนที่ภูเขาตะวันตกเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ก็ทำหน้าที่คุ้มกันฮ่องเต้เสด็จไปหลบร้อนที่ภูเขาตะวันตก เพียงแต่ว่าการไปเป็นเพื่อนเป็นเหตุการณ์ก่อนเขาอายุสิบสี่ ส่วนการไปคุ้มกันเป็นเหตุการณ์หลังเขาอายุสิบสี่ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง เขาล้วนตึงเครียดตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนยังไม่รู้ความจึงจำไม่ได้ แต่หลังจากจำได้แล้วจึงรู้ว่าฮ่องเต้คือราชาแห่งใต้ฟ้า ในหนึ่งพิโรธ ทำให้มีศพเกลื่อนผืนดินไกลถึงหนึ่งพันลี้ ทำให้นางกำนัลและขันทีที่เล่นกับเขาทุกวันเสียชีวิตอย่างไร้ที่ฝังศพได้ ภายหลังมีสิ่งอยากวิงวอน จึงขอความรักดุจรักของบิดามารดาจากเสด็จลุง ขออำนาจของเสด็จลุงไปขจัดความเหน็ดเหนื่อยในชีวิต

เมื่อมีสิ่งที่อยากร้องขอ จะไม่กลัวได้อย่างไร!

และเป็นหน้าร้อนนี้เองที่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ทรงงดเว้นการเสด็จไปภูเขาตะวันตก ในที่สุดเขาก็ได้หยุดพักหายใจ ได้ทำตามที่ใจปรารถนาสักครั้งหนึ่ง

ส่วนไปไหนนั้น เขารู้สึกว่าที่ไหนก็ดีทั้งนั้น

เขามองจุดแดงขนาดเล็กบนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล เผยความห้าวหาญของผู้ที่กล้าวิจารณ์ทุกอย่างออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไป พวกเราไปเดินเขากัน!”

เฉินลั่วหันกลับมามองหวังซี

สีหน้าสบายใจและความยินดีที่เอ่อออกจากหัวใจนั่น ทำให้ดวงหน้าของเขาเปล่งประกายสุกใสประหนึ่งดวงตะวัน

หวังซีกลืนน้ำลาย ในใจต่อสู้กันวุ่นวาย

จุดสีแดงบนยอดเขาจุดนั้น หากมิใช่ชายคาวัดก็คงเป็นศาลาที่ไหนสักแห่ง

ภาพภูเขาที่มองเห็นก็เป็นเช่นนี้ มองแล้วเหมือนอยู่ตรงหน้า แต่ความจริงอยู่ไกลแสนไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ทำให้คนเดินเขาขาขาดได้

แค่มองก็รู้ว่าเฉินลั่วดีใจมาก ทั้งยังหาผู้ช่วยที่ถูกใจได้หนึ่งคนโดยบังเอิญอีก ตามหลักควรจะเฉลิมฉลองแสดงความยินดี ไม่ว่าอย่างไรนางก็ควรเออออให้การสนับสนุนความคิดเขาสักครั้งหนึ่ง แต่ให้นางไปเดินเขาระยะทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้โดยไม่เตรียมตัวเลยนั้น…ต่อให้เฉินลั่วมีหน้าตาตรงกับที่นางชอบทุกอย่าง ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายราวเพชรนิลจินดา นางก็ต้องตรึกตรองสักครู่หนึ่งก่อน

หวังซีลังเลเล็กน้อย

ท่ามกลางความเงียบระหว่างที่นางยังไม่ทันได้ตอบเขานั้น สีหน้าของเฉินลั่วก็หม่นหมองลง เงียบขรึมไร้ชีวิตชีวาลงอย่างช้าๆ

“เจ้าไม่อยากไปหรือ” เขาถามเสียงเรียบ ดูเหมือนไม่ใส่ใจนัก

แต่คนฉลาดมีไหวพริบอย่างหวังซีกลับสัมผัสได้ว่าลึกๆ แล้วเขาไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นความไม่พอใจประเภทที่แสร้งทำเป็นใจกว้าง แต่จดจำทุกอย่างเอาไว้ในใจประเภทนั้นอีกด้วย

คงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกกระมัง

ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนอบอุ่นมากมิใช่หรือ

หรือนางดูผิดไป?

หวังซีไม่แน่ใจการตัดสินของตัวเอง จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

บางคนเวลาที่ยิ่งใส่ใจก็ยิ่งไม่อยากให้คนอื่นมองออก

เฉินลั่วในเวลานี้ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้น