บทที่ 109.2 หลานตัวน้อย (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

“เจ้า…เจ้า…” เซวียหนิงเซียงถูกเขาด่าจนหน้าบึ้งตึง

คนรอบด้านเริ่มชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว

สภาพสังคมตอนนี้ ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นบัณฑิตยังสูงส่งกว่าทุกสิ่งอีกด้วย แม่ม่ายนางหนึ่งปะทะกับบัณฑิตมีวิชาความรู้ ไม่มีใครเชื่อเซวียหนิงเซียงเลยสักคน

บัณฑิตเอ่ยอย่างเคียดแค้นชิงชังยิ่งว่า “ที่ข้าใจดีไม่ฟ้องทางการ ประการแรก เพราะเห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรี ประการที่สอง ก็เพราะพวกข้าสองคนต้องรีบไปสอบขุนนางระดับมณฑล ไม่มีเวลามาทะเลาะกับเจ้า!”

“เกินไปแล้ว เหตุใดกระทั่งบัณฑิตที่รีบไปสอบนางก็ยังใส่ร้ายเอาได้ มีมโนธรรมบ้างหรือไม่”

“นั่นน่ะสิ คนเขาอดหลับอดนอนอ่านหนังสือมาสิบปี ก็เพื่อถูกนางใส่ร้ายน่ะหรือ”

“เจ้าดูท่าทางนางสิ ไม่ใช่ของดีเด่อะไรเลย!”

คนที่ผ่านไปมาต่างชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์เซวียหนิงเซียง เซวียหนิงเซียงได้รับความไม่เป็นธรรมจนน้ำตาคลอเบ้า นางไม่ได้ใส่ร้ายพวกเขา เงินนางหายจริงๆ…

โก่วหวาที่เดิมทีหลับไปแล้ว ยามนี้ก็ตกใจตื่นขึ้นเช่นกัน

เห็นมารดาตัวเองถูกคนมารุมล้อมไว้ตรงกลาง เขากลัวจนร้องไห้ออกมายกใหญ่

เจ้าสำนักหลีเพิ่งออกมาจากร้านขนม กำลังจะไปโรงหมอในเมือง ได้ยินเสียงร้องไห้ราวกับใจขาดปอดฉีก

เสียงนี้ค่อนข้างคุ้นหูนัก เจ้าสำนักหลีหยุดชะงักก่อนจะสาวเท้าเดินไปหา

เซวียหนิงเซียงยามนี้ถูกฝูงชนรุมด่าว่า ไม่มีใครเชื่อคำพูดนางกันสักคน

เจ้าสำนักหลีจำนางได้ทันที เพื่อบ้านของศิษย์รัก! จากนั้นก็จำโก่วหวาได้ เจ้าเด็กจ้ำม่ำที่เรียกเขาว่าพ่อ

เจ้าสำนักหลีเดินเข้าไปในฝูงชน เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ต่อให้ไม่ได้สวมเครื่องแบบอาจารย์ แต่กลิ่นอายของผู้มีวิชาความรู้อันสูงส่งตลอดร่างนั่นก็ยังคงยับยั้งสถานการณ์ได้ในทันทีอยู่ดี

“เกิดอะไรขึ้นรึ” เขาถาม

เซวียหนิงเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นตั้งนานแล้ว

บัณฑิตคนนั้นบอกว่า “สตรีออกเรือนนางนี้ใส่ร้ายข้า!”

เจ้าสำนักหลีถามต่อว่า “นางใส่ร้ายอะไรเจ้า”

บัณฑิตคนนั้นตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นางบอกว่าข้าขโมยเงินนาง!”

เจ้าสำนักหลีถามอีกว่า “แล้วเจ้าได้ขโมยหรือไม่”

บัณฑิตคนนั้นเดือดดาลขึ้นทันที “เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ แน่นอนว่าข้าไม่ได้ขโมยสิ! ก็บอกอยู่ว่านางใส่ร้ายข้า เจ้าไม่ได้ยินรึ”

ป้าคนหนึ่งที่ดูความคึกคักอยู่เอ่ยขึ้นว่า “นั่นสิ พวกเขาสองคนเป็นบัณฑิตที่จะรีบไปสอบที่เมืองของมณฑล โชคร้ายเสียจริง ดันมาโดนสตรีออกเรือนแล้วนางนี้ใส่ร้ายเข้า”

เจ้าสำนักหลีพินิจมองทั้งสองคนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง “พวกเจ้ามาจากสำนักใด”

บัณฑิตยืดอกขึ้นบอกว่า “พวกเราเป็นบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเทียนเซียง!”

เจ้าสำนักหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ พวกเจ้าชื่ออะไรล่ะ อยู่ห้องไหน”

“เจ้ามายุ่งอะไรด้วย” บัณฑิตคนนั้นย้อนถามอย่างรำคาญ

เจ้าสำนักหลียิ้มจางๆ “ข้าเป็นเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ข้าจำไม่ได้ว่าเคยรับนักเรียนอย่างพวกเจ้าสองคนมาก่อน”

บัณฑิตกับสหายสีหน้าพลันเปลี่ยน

ชาวบ้านรอบด้านต่างตกอกตกใจ

เจ้าสำนักหลีเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้านข้างอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “รบกวนน้องชายไปฟ้องทางการ บอกว่าที่นี่มีคนแอบอ้างเป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนเซียงมาเที่ยวหลอกต้มตุ๋น รังแกเด็กและสตรี”

ที่สองคนนั้นตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างรุนแรงละล้าละลังไม่ไปฟ้องทางการ เพราะพอเขาไปฟ้องทางการ ใครจริงใครเท็จได้เปิดโปงออกมาหมดแน่! เด็กหนุ่มมีประโยคหนึ่งลอยอยู่เต็มหัวว่า เจ้าสำนักหลีพูดคุยกับข้า! เจ้าสำนักหลีพูดคุยกับข้า!

“รบกวนน้องชายด้วย” เจ้าสำนักหลีเอ่ยอย่างนุ่มนวล

เด็กหนุ่มขานรับอย่างเคร่งขรึม แล้ววิ่งลิ่วๆ ไปทางศาลาว่าการ

นี่มันอุทกภัยพุ่งใส่วัดหลงหวัง ชัดๆ บัณฑิตกับสหายเห็นท่าไม่ดีจึงสาวเท้าเผ่นทันที

เจ้าสำนักหลีเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “รบกวนชายชาตรีทั้งสองท่านขวางพวกเขาไว้ด้วย”

คำพูดของเขาไร้ซึ่งแววสั่งการบัญชาแม้แต่น้อย ทว่าทำคนเชื่อฟังและศรัทธาอย่างแปลกประหลาด

ชายฉกรรจ์สองนายที่มาดูความคึกคักจับตัวสองคนนั้นไว้

“งะ…เงินข้า” เซวียหนิงเซียงร้องไห้

เจ้าสำนักหลีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินไปหา แล้วมองหาเงินของเซวียหนิงเซียงจากตัวของสองคนนั้น

เห็นเงินที่หายไปได้กลับคืนมา เซวียหนิงเซียงก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งขึ้นมาอีกระลอก ผลสุดท้ายจึงสะอึกขึ้น “ขอบ..เอิ๊ก!…ขอบคุณมาก…เอิ๊ก!”

“พ่อ!” โก่วหวาเห็นเจ้าสำนักหลีเข้า

เซวียหนิงเซียงตกใจจนหายสะอึกเลย

เด็กคนนี้นี่ เรียกพ่อไปทั่วอีกแล้ว!

เจ้าสำนักหลีเป็นชายที่ความรู้สะสมจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเองซ้ำยังเป็นผู้ใหญ่ ย่อมไม่โกรธเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่แล้ว เขาเคยถามอาจารย์ในสำนักที่มีประสบการณ์มาแล้ว เด็กที่เพิ่งหัดพูด เห็นสตรีก็จะเรียกแม่ เห็นบุรุษก็จะเรียกพ่อ ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

“พ่อ” โก่วหวาจะให้เขาอุ้ม

เซวียหนิงเซียงกระอักกระอ่วนจนแทบจะหารูถนนมุดลงไปอยู่รอมร่อ

“เจ้าบาดเจ็บ” เจ้าสำนักหลีเห็นแผลขนาดหนึ่งชุ่น บนข้อมือนางกำลังมีเลือดไหลหยดติ๋งๆ

เมื่อครู่มัวแต่สนใจจะเอาเงินคืน ไม่ได้สังเกตเห็นข้อมือตัวเองที่โดนเครื่องประดับของอีกฝ่ายบาดเอา

เจ้าสำนักหลีเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ส่งลูกมาให้ข้าดีกว่า โรงหมออยู่ใกล้ๆ นี้ ข้าจะพาเจ้าไปทำแผลเอง”

เจ้าสำนักหลีลนลานใช้แขนเสื้อกดข้อมือนางไว้ “มะ…ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ แผลแค่เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เจ้าสำนักหลีเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ต้องดูอยู่ดีนั่นแหละ อากาศร้อนขึ้นแล้ว จะติดเชื้อง่าย”

เจ้าสำนักหลีครุ่นคิด “ข้าไปเอง”

“ข้าจะไปโรงหมออยู่พอดี ถือโอกาสไปด้วยกันเลย” เจ้าสำนักหลีเอ่ยพลางอุ้มโก่วหวาที่ยื่นมือมาหาเขาไม่หยุด

โก่วหวามีพ่อแล้ว ก็ไม่เอาแม่ทันที มือน้อยป้อมๆ โอบรอบคอของเจ้าสำนักหลี ซุกหน้าไว้ในอกเขาอย่างออดอ้อน

เซวียหนิงเซียงอับอายยิ่งนัก

ทั้งสองคนเดินตามกันไปที่โรงหมอ

เจ้าสำนักหลีมาส่งมารดามาโรงหมอ สาเหตุคือตอนที่บ่าวรับใช้กวาดลานบ้านอยู่ พบว่ามารดากินลูกหม่อนไปได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็สลบลงไปบนเก้าอี้หวาย

หลีเหล่าฮูหยินอายุมากแล้ว เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอันตรายมาก เจ้าสำนักหลีรอให้เชิญหมอมาที่บ้านไม่ไหว จึงส่งนางมาที่โรงหมอทันที

ผลสุดท้ายหลังจากหาหมอแล้วหมอบอกว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก เหล่าฮูหยินแค่หลับไปเท่านั้น”

เจ้าสำนักหลีในตอนนั้น “…”

เขาเป็นห่วงว่าเหล่าฮูหยินตื่นมาแล้วจะหิว จึงรีบไปซื้อขนมกุ้ยฮวาที่คนเฒ่าคนแก่ชอบกินที่ร้านขนมใกล้ๆ นั้น

หลังจากเข้าโรงหมอมา เจ้าสำนักหลีก็หาหมอคนหนึ่งมาดูแผลให้เซวียหนิงเซียง โก่วหวาถูกเซวียหนิงเซียงกดไว้บนเก้าอี้

เจ้าสำนักหลีเอาขนมกุ้ยฮวาให้โก่วหวา

โก่วหวากินคำใหญ่เคี้ยวหงับๆ แก้มตุ่ย

เขากินไปเรื่อยๆ พอเงยหน้าขึ้นพบว่าพ่อหายไปแล้ว

เขาจึงปีนลงจากเก้าอี้ เดินเตาะแตะไปหาพ่อ ผลสุดท้ายก็ตามเข้าห้องปีกข้างไป

หลีเหล่าฮูหยินค่อยๆ ได้สติขึ้น พอนางลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าหนูน้อยคนหนึ่ง

เจ้าหนูน้อยอ้วนจ้ำม่ำ ทั้งอ้วนท้วมทั้งน่ารัก

หลีเหล่าฮูหยินกวักมือเรียกเจ้าหนูน้อย

โก่วหวาขี้กลัว ตกใจจนถอยหลังไปเรื่อยๆ ยามนี้เจ้าสำนักหลีเดินออกมาจากหลังประตูกั้นห้องพอดี โก่วหวาน้อยวิ่งดุ๊กๆ ไปกอดขาเขาเอาไว้ทันที “พ่อ…พ่อ…”

พ่ออย่างนั้นรึ

หลีเหล่าฮูหยินมองลูกชายแล้วมองเจ้าหนูน้อย ดวงตาชราสีขาวขุ่นพลันเป็นประกายทันที

พระโพธิสัตว์สำแดงฤทธิ์แล้ว!

นางมีหลานชายตัวน้อยแล้ว!