บทที่ 83 ทำไมท่านพ่อถึงทำได้ทุกอย่าง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 83 ทำไมท่านพ่อถึงทำได้ทุกอย่าง?

ในเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า บรรยากาศยามกลางวันย่อมอบอุ่น แม้จะไม่อบอุ่นมากนักทว่าก็เป็นความร้อนที่ถูกส่งมาจากดวงอาทิตย์ เหยาซูเก็บปิ่นปักผมเอาไว้ในตะกร้าเล็ก ๆ ที่หลินเหราซื้อมา พร้อมกับเสื้อผ้าอีกหลายชุดของเขา นางรู้สึกง่วงนอนไม่น้อยเมื่อนั่งอยู่บนเกวียนวัว

หลินเหราหันกลับมามองเป็นครั้งคราว เห็นเหยาซูเหมือนลูกแมวน้อยที่ศีรษะของนางเอนทีละเล็กละน้อย และทุกครั้งที่ล้อเกวียนตกหลุมบ่อนางก็จะสะดุ้งตื่นขึ้น

หัวใจของเขาพลันรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้ว่าเพราะถูกแสงแดดส่องกระทบตลอดเวลาหรือเพราะได้เห็นท่าทางที่สับสนที่นางไม่เคยทำ หลินเหราพยายามขับเกวียนในเส้นทางที่ราบรื่นและเร่งความเร็วเพื่อจะได้กลับถึงบ้านเร็วขึ้น

จนกระทั่งเกวียนเทียมวัวหยุด เหยาซูก็ยังคงง่วงงุนอยู่

“อาซู ถึงบ้านแล้ว”

เสียงทุ้มต่ำราวกับดังมาจากอีกที่หนึ่งซึ่งมีผ้าโปร่งบางกั้นอยู่ทำให้ เหยาซูค่อย ๆ ตื่นขึ้นพลางส่งเสียงในลำคอ ‘หืม?’

หลินเหรายืนอยู่ตรงหน้านาง เขายืนพิงขอบเกวียนทำให้แสงทะลุผ่านร่างของเขาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสีทอง ดูหล่อเหลาอย่างที่ใคร ๆ ต่างจินตนาการ

เหยาซูรู้สึกขบขันในความคิดของตน หญิงสาวส่ายหัว รู้สึกดีขึ้นมาก

หลินเหราที่เห็นว่านางหาวอย่างน่ารักจึงพูดว่า “ส่งของมาให้ข้า แล้วลงมาเถอะ”

เหยาซูกระโดดลงจากเกวียน และพบว่าตอนนี้ทั้งคู่หยุดอยู่ลานหน้าบ้านของตัวเอง “ทำไมถึงกลับมาที่บ้านล่ะ เด็ก ๆ ยังอยู่ที่บ้านแม่ของข้านะ”

หลินเหรารับของจากมือของเหยาซูพลางถามว่า “เจ้าหิวหรือไม่”

ก่อนออกเดินทาง เหยาซูกังวลว่าระหว่างทางจะน่าเบื่อ นางจึงหยิบขนมของขบเคี้ยว เช่น เนื้อสัตว์ทะเลแห้งกับผลไม้แห้งไว้บนเกวียนและกินมันหมดแล้วระหว่างที่นั่งเกวียนกลับมา

นางส่ายหัวก่อนหาวอีกครั้ง “ข้าไม่หิวเพียงแค่ง่วงนอนนิดหน่อย เมื่อคืนซานเป่าไม่รู้เป็นอะไร ข้าต้องตื่นขึ้นมาหลายรอบ…”

หลินเหราเป็นคนความรู้สึกไว เพียงเด็กเคลื่อนไหวเขาจะตื่นทันที เมื่อคืนเขาได้ยินเสียงซานเป่าอยู่หลายครั้ง ส่วนเหยาซูก็ลุกขึ้นมาปลอบเด็กน้อยอยู่นานสองนาน

น้ำเสียงของเขาพลันอ่อนโยนลง “หากไปบ้านพ่อตากับแม่ยาย กว่ากินข้าวเสร็จก็อาจจะนาน เหตุใดไม่กลับบ้านเลย เจ้าจะได้พักผ่อนก่อน”

ศีรษะของเหยาซูมึนงง นางพยักหน้ารับ “ก็ได้…ข้าจะไปนอนก่อน”

นางเดินไปที่ลานบ้านพลางหาวอีกที ทว่าไม่ทันระวังจึงเกือบสะดุดกับธรณีประตู

“ระวัง!”

หลินเหราตาไวมือไว ชายหนุ่มมือยื่นมือไปจับแขนของนางเอาไว้ทันที

เหยาซูตกใจทำให้นางตื่นจากภวังค์ มือของนางจับแขนของหลินเหราและเอนตัวพิงแขนขวาของเขาเอาไว้

“ข้าจำได้ว่าธรณีประตูไม่สูงขนาดนี้…” นางพึมพำ

“อืม” หลินเหราพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แขนของเขายังคงโอบเหยาซูและพานางเดินไปข้างหน้า “เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ตื่นแล้วค่อยมากินข้าวด้วยกัน”

เสียงของชายหนุ่มผู้นั้นดูทุ้มต่ำจนชวนให้หลงใหล เหยาซูรู้สึกราวกับมีใครมาเป่าลมข้างหูของนาง อาการขนลุกแผ่ซ่านออกมาจากใบหูไปจนถึงเอว

นางเพิ่งพบว่าตัวเองพิงแขนของชายหนุ่มอยู่ราวกับว่าสิ่งที่นางพิงเป็นราวบันไดที่แข็งแกร่งมั่นคง

หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ไม่สามารถหลบหนีได้ในขณะนี้

หลินเหราพาเหยาซูไปที่เตียงก่อนจะวางหมอนและผ้าห่มให้นาง จากนั้นเขาก็มองไปที่ดวงตาของเหยาซูพร้อมเอ่ยแผ่วเบา “นอนเถิด”

ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปไม่ได้เปิดหน้าต่าง เตาที่อยู่ในห้องยังคงให้ความร้อนอยู่ แม้แต่อุณหภูมิในอากาศก็ทำให้คนรู้สึกง่วงนอนอย่างบอกไม่ถูก

เหยาซูตอบรับเสียงต่ำ หลังจากที่หลินเหราออกไปนางก็ถอดเสื้อนอกแล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มทันที สมองของนางรู้สึกยุ่งเหยิง ทว่าชั่วพริบตาที่ศีรษะนางสัมผัสหมอน ความคิดทั้งหมดที่คลุมเครือก็แทนที่ด้วยความง่วง จิตสำนึกของนางพลันจมดิ่งสู่ความฝันอันอบอุ่น

เหยาซูหลับสนิทจนกระทั่งมีคนเรียกนาง หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก็พบชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังเรียกชื่อนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“อาซู อาซู”

เมื่อนางเปิดเปลือกตาพลันพบว่าท้องฟ้าในตอนนี้มืดเล็กน้อย

“หืม? นี่ข้านอนไปนานเท่าไรแล้ว?”

หลินเหรากระซิบ “ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าต้องไปรับเด็ก ๆ กลับมา”

เหยาซูตกใจเล็กน้อย นางยกมือขยี้ตา “อะไรนะ ข้านอนนานขนาดนั้นเชียวหรือ…”

มือของหลินเหราเอื้อมมาลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยของเหยาซู ฝ่ามือของเขาช่างอบอุ่นดั่งดวงตะวัน การอยู่ใกล้ชิดกับเขาทำให้นางต้องยับยั้งชั่งใจไม่น้อย

“ไม่เป็นไร พอทันกินข้าวเย็นพอดี”

เหยาซูลุกขึ้นสวมเสื้อตัวกลาง นางรู้สึกไม่ค่อยเคอะเขินเท่าใดที่จะออกมาจากผ้าห่มต่อหน้าหลินเหรา เมื่อได้ยินเขาบอกว่าจะไปรับลูก ๆ นางจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านไปรับลูก ๆ กลับมาเถอะ ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง”

ชายหนุ่มขานรับแผ่วเบา มือแกร่งที่เห็นข้อต่อชัดเจนค่อย ๆ เลื่อนลงมาถึงใบหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาว ทว่ากลับไม่ขยับต่อ เขาชักมือกลับพลางมองเข้าไปในดวงตาของเหยาซู จากนั้นกล่าวว่า “ข้าไปละ”

เหยาซูไม่รู้ตัวว่าหลินเหราออกไปจากห้องเมื่อใด นางยังรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของเขาที่อยู่บริเวณแก้มของนาง จากนั้นรีบดึงมือกลับไปอย่างรวดเร็ว

“นี่ข้าคิดอะไรอยู่นะ…” นางพึมพำก่อนจะออกมาจากผ้าห่มอุ่น ๆ ใส่เสื้อผ้าและตั้งใจจะไปล้างหน้าเพื่อให้ตื่น

เหยาซูค่อย ๆ ตักน้ำที่ลานบ้านเพื่อล้างหน้า เมื่อน้ำเย็น ๆ กระทบแก้มสุดท้ายก็ทำให้จิตใจแจ่มใสขึ้น

พอพลบค่ำควันไฟก็ลอยขึ้นจากทุกหนทุกแห่งในหมู่บ้านตระกูลเหยา เหยาซูนอนตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น ความรู้สึกเหนื่อยล้าของหลายวันมานี้บรรเทาจนหมดเกลี้ยง

นางไม่รู้ว่าจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไร เพราะนางเองตั้งใจทำทุกอย่างด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยมีเวลาผ่อนคลายเต็มที่

บ้านของเหยาซูหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ยามที่พระอาทิตย์ตกจะเห็นว่าพระอาทิตย์ตกตรงภูเขาและท้องฟ้า เป็นภาพอันสวยงามที่ทำให้จิตใจของนางเบิกบานยิ่ง

เรื่องของชายชราขายปิ่นปักผมในวันนี้ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากความฝัน เหยาซูรู้สึกว่าในใจของหลินเหราอาจจะไม่ได้ชอบนางขนาดนั้น ทว่าเขาก็ให้ความสำคัญกับนางเสมอ

เมื่อหลินเหราอุ้มซานเป่าและนำเด็กทั้งสองกลับมาถึงบ้าน เหยาซูก็จุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะพร้อมอาหารร้อน ๆ วางอยู่

อาจื้อจูงมืออาซือวิ่งมาที่โต๊ะแล้วอุทาน “ว้าว คืนนี้มีปลาให้กินด้วย! ท่านแม่สุดยอด!”

เหยาซูยิ้มพลางมองไปที่หลินเหราก่อนพูดกับลูกทั้งสองว่า “อาหารทั้งหมดนี้พ่อของเจ้าเป็นคนทำ”

เมื่อครู่นางล้างหน้าเสร็จก็เดินเข้าครัว ในหัวยังคิดอยู่ว่าคืนนี้จะกินอะไร แต่แล้วนางก็เห็นหม้อนึ่งในเตาปิดฝาอยู่ พอเปิดดูก็เห็นปลานึ่งกับไก่ตุ๋นอีกหนึ่งตัวและผัดผักอีกสองจาน

เด็กทั้งสองมองไปที่หลินเหราด้วยสายตาชื่นชมราวกับพวกเขาจะกล่าวว่า ‘ท่านพ่อยอดเยี่ยมมาก’

เมื่อชายหนุ่มถูกมองด้วยสายตาของเด็ก ๆ พร้อมเพรียงกัน มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาพูดกับอาจื้ออาซือว่า “เอาล่ะรีบไปล้างมือเถอะ แม่ของพวกเจ้าหิวข้าวแล้ว”

เมื่อทั้งครอบครัวเก็บของและนั่งลงบนโต๊ะ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิท ประตูห้องหลักยังคงเปิดอยู่ แสงสีส้มอ่อน ๆ ภายในห้องแผ่กระจายออกไปนอกห้อง ค่อย ๆ ขยายออกไปในความมืด

หลินเหราคิดในใจว่าตอนที่เขาอยู่ในสนามรบ เขาตั้งตารอแสงไฟที่ดูเหมือนจะไม่มีทางสว่างเพราะเขาอีกครั้ง

ทว่าวันนี้แสงที่เขาคาดหวังมีอยู่จริง

เหยาซูคีบเนื้อปลาให้เด็กทั้งสองคนและกำชับว่า “กินช้า ๆ ระวังก้าง”

อาจื้อและอาซือก้มหน้าลงกินไปพลางพูดไปพลาง “ทำไมปลาตัวนี้ถึงไม่มีก้าง…”

เหยาซูเพิ่งค้นพบว่าปลาตัวนี้แตกต่างจากตัวที่ซื้อในตลาดก่อนหน้า

หลินเหราจึงพูดว่า “นี่คือปลากะพง ไม่มีก้างเล็ก ๆ หรอก”

เหยาซูกินเข้าไปหนึ่งคำแล้วเงยหน้าถาม “ท่านซื้อปลากะพงมาจากที่ใด? ไม่มีก้างและรสชาติอร่อยยิ่งนัก”

หลินเหราตกตะลึงก่อนตอบว่า “จับได้ในแม่น้ำ”

คราวนี้ถึงตาเหยาซูตกตะลึงเช่นกัน…จับได้ในแม่น้ำงั้นหรือ? บนภูเขาด้านหลังหมู่บ้านตระกูลเหยามีแม่น้ำอยู่เพียงแห่งเดียว และหลินเหราก็ไปจับปลาบนภูเขาอย่างนั้นหรือ?

นางมองไปที่ไก่ตุ๋นครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่เหมือนกับไก่ที่ซื้อมาทุกวันจึงอดถามไม่ได้ “ไก่ตัวนี้ก็คงไม่ใช่ว่าไปจับมาหรอกใช่ไหม…?”

ในอดีตตอนอยู่ในตระกูลหลิน หลินเหรามักจะไปจับปลาบนภูเขาและล่าสัตว์ในป่าเพื่อขายมันแลกกับเงิน

แต่แม่เฒ่าหวังแทบจะเก็บเงินทุกเหรียญทุกตำลึง เขาจะมีเงินไปซื้อของพวกนี้ได้อย่างไรกัน

หลินเหราพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ มันเป็นไก่ป่าบนภูเขา ข้าใช้หนังยางของอาจื้อจับมัน”

พูดจบหลินเหราก็กระแอมเบา ๆ และพูดกับอาจื้อว่า “ตอนแรกยังเห็นกระต่ายตัวหนึ่งอีกด้วย แต่ตอนที่กำลังจะยิงมันพ่อทำหนังยางของเจ้าพัง…”

อาจื้อไม่เพียงไม่ใส่ใจแต่กลับเอ่ยด้วยความยินดีว่า “พังก็ไม่เป็นไรขอรับ ท่านพ่อทำให้ข้าอีกอันหนึ่งก็ได้! ข้าต้องการหนังยางที่ยิงไกลเป็นพิเศษ!”

หลินเหราพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาเคยชินกับมันแล้ว

อาซือน้อยอ้าปากค้างรีบถามว่า “ท่านพ่อเก่งจัง เหตุใดถึงทำได้ทุกอย่างเลยเจ้าคะ?”

…………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สมเป็นพระเอกขาทองคำของเรื่องมากค่ะ ทำได้สารพัดอย่างเลย ได้ใจลูก ๆ ไปเต็มร้อยแล้ว

ไหหม่า(海馬)