ตอนที่ 101 การปฏิเสธของคุณชายซิ่วถิง (5)

หวนคืนชะตาแค้น

แต่เป็นไปได้หรือตระกูลกู้ที่มีอายุหลายร้อยปี ตระกูลนักปราชญ์ที่สืบต่อกันมา จวนที่พวกนางเติบโตขึ้นมาตั้งแต่เล็กจะหายสาบสูญและไร้ร่องรอยเช่นนี้

มู่ชิงอีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อมองดูความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่บนใบหน้าของกู้ซิ่วถิง ในที่สุดนางก็ไม่สามารถเอ่ยปากได้ ทำได้เพียงก้มศีรษะลงและเงียบไป

กู้ซิ่วถิงมองดูหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวต่อหน้าเขาด้วยความสงสาร ลักษณะนางนั้นดูราวกับมีอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปี การนั่งเงียบๆ ก้มศีรษะลงก็เหมือนกับเด็กที่โดดเดี่ยวและไร้ทางไป แต่กู้ซิ่วถิงก็รู้ว่านางไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อไป เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นฉลาดกว่าเด็กหญิงเด็กชายส่วนใหญ่มาก บางทีชะตาได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าให้นางได้รับสิ่งที่พึงพอใจแต่ก็จะเจ็บปวดยิ่งกว่าเพราะแท้จริงแล้วพวกเขาล้วนเป็นคนที่มีชะตาคล้ายกัน

ชิงอี เจ้ากับหรงจิ่นพบกันได้อย่างไร กู้ซิ่วถิงถามขึ้นเสียงเบา

มู่ชิงอีไม่ได้ปิดบังและเล่าเรื่องที่ได้รู้จักกับหรงจิ่นอีกครั้ง กู้ซิ่วถิงรู้สึกเสมอว่าหรงจิ่นอันตรายเกินไปแต่เขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าหรงจิ่นนั้นได้ช่วยเหลือน้องหญิงของเขาจริงๆ แต่ว่า…ถ้าหากคนๆ หนึ่งช่วยเหลือผู้อื่นโดยไร้เหตุผลก็ยากที่คนอย่างเขาจะเชื่ออย่างแท้จริง ถึงแม้จะรู้ว่าในใจของน้องหญิงนั้นคงรู้ดีอยู่แล้ว กู้ซิ่วถิงก็ยังคงเอ่ยเตือนว่า คนๆ นี้…ลึกซึ้งคาดเดาได้ยาก ชิงอีต้องระมัดระวังเอาไว้

มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากล่าวขึ้น พี่ใหญ่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือเจ้าคะ

องค์ชายหรงจิ่นวันๆ สวมใบหน้าอันหล่อเหลาไร้พิษสงเดินเตร่ไปเรื่อย ถ้าหากเขาอยากให้รู้ เขาก็จะแสดงออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

กู้ซิ่วถิงยิ้มอย่างแผ่วเบาเอ่ยขึ้นว่า ชีวิตขององค์ชายเก้าในแคว้นเย่ว์คงจะไม่ง่ายดายนัก คาดไม่ถึงว่าเขายังสามารถไปมาได้อย่างอิสระในเมืองหลวงของแคว้นหวาและจวนซู่เฉิงโหว อีกทั้งยังสามารถสำรองกำลังคนเพื่อช่วยเหลือเจ้าได้อีก เห็นได้ว่าเขามีแผนการบางอย่างและเจตจำนงค์อันแน่วแน่ ข้าเพียงกังวลว่าเจ้าจะไม่สามารถจ่ายคืนให้เขาได้ในภายภาคหน้า

มู่ชิงอียิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า พวกเราตกลงกันแล้วว่าข้าจะจ่ายเท่าที่ข้าสามารถจ่ายได้เท่านั้น หากมากกว่านี้…ข้าไม่สามารถจ่ายได้จริงๆ ก็จะปัดหนี้สินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสามารถช่วยพี่ใหญ่ได้ แม้ว่าจะพูดเช่นนี้แต่ในใจของมู่ชิงอีก็เริ่มสงสัยแล้วว่าหรงจิ่นจะทวงค่าตอบแทนเท่าใด และรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือกับคนแบบหรงจิ่น

น่ารำคาญเสียจริง เขาทำตัวก่อกวนได้ราวกับหนอนที่เกาะติดไปได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว

หลังจากได้ยินคำพูดของมู่ชิงอี สายตาของกู้ซิ่วถิงก็ดูอบอุ่นและมีความสงสารเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แม้แต่ในตอนที่เขาสิ้นหวังที่สุดเขาไม่เคยคิดเลยว่าน้องหญิงที่ขี้อายน่ารักอ่อนหวานจะเป็นผู้ที่ช่วยเขาได้ในตอนท้าย

ร่างกายของกู้ซิ่วถิงยังคงอ่อนแออยู่มาก หลังจากพูดคุยกับมู่ชิงอีไปสักพักเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า มู่ชิงอีเองก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ นางหยิบผ้าห่มผืนบางจากด้านข้างมาห่มให้เขาพร้อมกับลุกขึ้นกล่าวคำอำลา

เกอเอ๋อร์… เสียงเบาๆ และอ่อนโยนของกู้ซิ่วถิงดังมาจากด้านหลัง

ร่างกายของมู่ชิงอีพลันแข็งทื่อ นางหันกลับไปมองกู้ซิ่วถิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พี่ใหญ่…คิดถึงพี่หญิงหรือเจ้าคะ กู้ซิ่วถิงยกมือขึ้นเพื่อปิดตาและถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า ใช่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเห็นเจ้า…ก็นึกถึงเกอเอ๋อร์ขึ้นมา

มู่ชิงอีรู้สึกตื้นตันราวกับน้ำตาจะรินไหล ผ่านไปเพียงครู่เดียวน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา นางเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องคิดแล้วเจ้าค่ะ พี่หญิง…ต้องไม่อยากให้ท่านเศร้าใจเพราะนางอีกเป็นแน่

กู้ซิ่วถิงหลุบสายตาลง แน่นอนว่าเขาไม่ได้เห็นสีหน้าของนาง มู่ชิงอีพยักหน้าอย่างเงียบๆ นางรู้สึกว่าตนไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา พี่ใหญ่พักผ่อนนะเจ้าคะ ข้าจะมาใหม่ในอีกสองวัน หลังจากพูดจบนางก็หันหลังกลับและรีบเดินออกไปข้างนอก เกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้ตัวเองจะวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ใหญ่และรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา แต่นางทำไม่ได้…นางไม่กล้าบอกกับพี่ใหญ่ ไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน เพียงแต่ว่า…นางไม่กล้า…

พี่ใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของอวิ๋นเกอ…

หลังออกจากจวนฉินแล้ว มู่ชิงอีก็ตรงไปยังศาลาชิงอาน เมื่อเข้าไปในห้องปีกบนชั้นสอง เฝิงจื่อสุ่ยก็เข้ามาโค้งคำนับมู่ชิงอีแล้วกล่าวว่า ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับคุณหนู

มู่ชิงอีจับมือพยุงเฝิงจื่อสุ่ยและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า เหตุใดท่านเฝิงจึงต้องสุภาพเช่นนี้ เชิญนั่งลงก่อน มู่ชิงอีรู้ว่าจนถึงตอนนี้เฝิงจื่อสุ่ยก็นับว่ายอมรับตนเป็นเจ้านายอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าหากมู่ชิงอีเป็นเพียงแค่หญิงสาวในเรือนที่ฉลาดกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อยเฝิงจื่อสุ่ยจะไม่มีวันภักดีต่อนางอย่างแท้จริง เดิมทีมู่ชิงอีไม่ได้สนใจว่าเฝิงจื่อสุ่ยจะภักดีต่อนางหรือไม่ขอเพียงเขาจงรักภักดีต่อตระกูลกู้ ท้ายที่สุดอนาคตของตระกูลกู้ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่แต่ในตอนนี้พี่ใหญ่แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเขาไม่เต็มใจที่จะดูแลตระกูลกู้ ถึงแม้ว่าจะทำให้มู่ชิงอีผิดหวังแต่ว่ามู่ชิงอีก็ไม่เต็มใจที่จะบังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะทำ

เช่นนั้น อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะต้องมีนางเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกอย่างที่ตระกูลกู้เหลือทิ้งไว้ เฝิงจื่อสุ่ยเอ่ยขอบคุณและนั่งลงพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความห่วงใย คุณหนู อาการบาดเจ็บของคุณชายใหญ่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ

มู่ชิงอีกล่าวขึ้นเสียงเบา นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาท่านเฝิง พี่ใหญ่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเกรงว่าจะต้องได้รับการพักฟื้นไม่น้อยเลย หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งปีครึ่งเขาอาจจะดีขึ้นแต่ว่าพี่ใหญ่ไม่ยินยอมที่จะยอมรับทุกอย่างที่กู้เซียงทิ้งเอาไว้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

เฝิงจื่อสุ่ยเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น คุณหนูเอ่ยกับคุณชายใหญ่ว่าจะคืนทรัพย์สินของตระกูลกู้ให้กับเขา?

มู่ชิงอีกล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรหรอกหรือ เดิมทีก็เป็นสิ่งที่กู้เซียงทิ้งไว้ให้กับลูกหลานของตระกูลกู้ไม่ใช่หรือ

เฝิงจื่อสุ่ยส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า ผิดแล้วขอรับคุณหนู นี่เป็นสิ่งที่กู้เซียงทิ้งเอาไว้แต่อาจจะไม่ได้ทิ้งไว้ให้กับลูกหลานของตระกูลกู้ สำหรับเหตุผลที่คุณชายใหญ่ไม่ยินยอมที่จะรับช่วงต่อ ข้าน้อยเองก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง

มู่ชิงอีพลันนิ่งงัน นางไม่ได้ต้องการเป็นทายาทของตระกูลกู้ ในตอนแรกที่นางมาพบเฝิงจื่อสุ่ยเพื่อให้เขายอมรับนาง ไม่เช่นนั้นไม่ว่านางจะฉลาดสักเพียงใดหรือเป็นเรื่องบังเอิญมากเท่าใด เฝิงจื่อสุ่ยเองก็สามารถปฎิเสธนางได้ แต่นางก็ยังไม่เข้าใจความคิดของพี่ใหญ่

เมื่อเห็นท่าทางที่งุนงงของมู่ชิงอี เฝิงจื่อสุ่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า คุณหนู ถ้าหากคุณหนูใหญ่ยังมีชีวิตอยู่และคุณชายใหญ่ไม่อยู่แล้ว ท่านคิดว่าคุณหนูใหญ่จะยอมรับทั้งหมดนี้หรือไม่

แน่นอน!

มู่ชิงอีตอบในใจอย่างไม่ลังเล

คนๆ หนึ่งที่ขาดอำนาจ มีเฝิงจื่อสุ่ยคอยให้ความช่วยเหลือจึงทำสิ่งใดก็สะดวกมากขึ้น

แต่ในเมื่อเฝิงจื่อสุ่ยถามเช่นนี้…มู่ชิงอีจึงเลิกคิ้วและครุ่นคิดอยู่นาน

ถ้าหากนางยังเป็นกู้อวิ๋นเกอ นางจะปิดบังชื่อเสียงเรียงนามกระทำการอย่างลับๆ หรือยืมชื่อผู้อื่นอย่างที่นางทำอยู่ตอนนี้ และนาง…ชื่อกู้อวิ๋นเกอนี้จะไม่ได้ปรากฏขึ้นมาอีก ตระกูลกู้…ตระกูลกู้ซึ่งเป็นตระกูลนักปราชญ์แห่งยุคจะมีบุตรสาวที่ตกลงสู่ความเสื่อมโทรมได้อย่างไร!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของนางก็พลันซีดขาว

พี่ใหญ่…ใช่แล้ว หากนางคิดได้เช่นนั้น พี่ใหญ่ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาโดยนักปราชญ์ตั้งแต่ยังเยาว์คงจะให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากกว่านาง แล้วพี่ใหญ่จะคิดอย่างไร นางไม่สนใจความยากลำบากที่พี่ใหญ่เคยผ่านมาเช่นเดียวกับที่พี่ใหญ่จะไม่มีวันปฏิเสธน้องสาวของตนเพียงเพราะนางถูกส่งไปที่หอคณิกานางโลม แต่ว่า…นางจะลืมประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองไปได้อย่างไร ถ้าหากแม้แต่ตัวนางเองยังทิ้งมันไปไม่ได้แล้วพี่ใหญ่จะลืมได้อย่างไรกัน ตอนนี้นางหลุดพ้นแล้ว เปลวไฟได้แผดเผาร่างกายที่นางคิดว่าเป็นการดูถูกตระกูลกู้ เช่นนั้นแล้วพี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่จะรู้สึกอย่างไรเล่า

ตอนต่อไป