ตอนที่ 112 ฝนห่าใหญ่รั้งแขกไว้

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 112 ฝนห่าใหญ่รั้งแขกไว้

อวี้จิ่นวางสองมือลงบนเข่า ดูนอบน้อมและจริงใจมาก

ที่จริงเขาก็อยากจะวางตัวให้ดูดีและจริงใจมาก ทว่าภายนอกมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น จะให้แสร้งทำก็ยากเกินไป

“ครอบครัวของข้าถือว่าเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่ข้ามีพี่น้องเยอะ ข้าเป็นคนที่เจ็ด จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจมากเท่าไหร่” อวี้จิ่นยิ้มออกมาอย่างไร้ความกังวล “ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ในอนาคตจะมีชีวิตดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่ตัวเองเป็นหลัก และแน่นอนว่าการได้รับการดูแลเอาใส่ใจจากท่านพ่อกับท่านแม่จึงน้อยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ถือว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย”

เจียงจั้นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ไม่ได้รับความสนใจจากพ่อกับแม่ นี่เป็นข้อดี!

เขาได้รับความสนใจจากท่านพ่อมากเกินไป โตป่านนี้แล้วยังจะถูกจ้องจับตาดู พูดไม่เข้าหูก็ถูกตี

“ดังนั้นพี่อวี๋ชีก็เลยออกมาอยู่เมืองหลวงด้วยตัวเอง?”

อวี้จิ่นตกใจเล็กน้อย แล้วถือโอกาสใช้ประโยชน์จากมันเสียเลย “ใช่ ข้าวางแผนจะลงหลักปักฐานที่เมืองหลวง หลังจากแต่งงานมีภรรยาแล้วจะได้ไม่ต้องไปอยู่ร่วมกับท่านพ่อและท่านแม่”

แค่ก แค่ก ถ้าหากหลังจากพระราชบุตรอภิเษกสมรสแล้วก็ต้องอยู่ในพระราชวัง ถึงกระนั้นคงเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คงจะพูดจนปากเปียกปากแฉะน้ำลายท่วมวังแน่

เจียงจั้นตาเป็นประกาย

น้องสี่เป็นคนเย็นชา เอาใจคนไม่เป็น ถ้าออกเรือนไปแล้วไม่ได้อยู่กับแม่ของสามีก็คงจะดีมาก

“น้องเจียงเอ้อร์ เจ้ายังมีอะไรอยากจะถามอีกหรือไม่”

เจียงจั้นกระแอมเสียงในคอ “เมื่อครู่ข้าก็แค่คุยเรื่อยเปื่อยเฉยๆ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยนะ”

ยิ่งถามมาก มันก็จะยิ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาสนใจ…

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม น้องสี่ยังเด็ก” เจียงจั้นทำหน้าบึ้งพลางลุกขึ้นยืน “ขอตัวไปนอนล่ะ”

หลังจากกลับห้อง เจียงจั้นก็เอาแต่นอนมองเพดานพร้อมกับถอนหายใจออกมา

หงุดหงิดเสียจริง เมื่อคิดว่าในอนาคตน้องสี่จะต้องออกเรือนไปกับชายแปลกหน้าในใจก็รู้สึกสับสน แต่พอคิดว่านางจะแต่งกับพี่อวี๋ชีก็ยิ่งอยากจะเตะพี่อวี๋ชีสักสองสามที

เป็นพี่ชายนี่มันน่ารำคาญจริงเลย!

ในขณะเดียวกันเจียงซื่อก็ยังไม่หลับ

นางนอนพลิกตัวไปมาถึงเที่ยงคืนจนเมื่อย นางร้อนใจรอไม่ไหวอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เพื่อที่จะได้ไปหาแม่นางหลี่

เบาะแสศพหญิงสาวในจวนฉังซิงโหว มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะอยู่ที่แม่นางหลี่

เมื่อได้ยินเสียงพลิกตัวไปมาของเจียงซื่อ อาหมานที่นอนอยู่บนเตียงที่ค่อนข้างเตี้ยใกล้ปากประตูจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ”

พูดจบ เสียงฟ้าร้องอันน่าสะเทือนขวัญก็ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตามมาด้วยแสงสว่างวาบตัดผ่านกลางท้องฟ้า มันสาดแสงสว่างจ้าเข้ามาทางหน้าต่าง

เพียงชั่วพริบตาเดียว ราวกับสั่นสะท้านไปทั้งผืนปฐพี น่าสะพรึงกลัวนัก

อาหมานตกใจ รีบพลิกตัวลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งพรวดพราดมาอยู่ข้างกายเจียงซื่อโดยไม่สนใจใส่รองเท้าก่อน นางเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล “คุณหนูเป็นอะไรไหมเจ้าคะ”

เจียงซื่อลุกขึ้นมานั่ง สีหน้าเรียบเฉย “ไม่เป็นไร”

“หืม คุณหนูไม่กลัวเสียงฟ้าร้องแล้วหรือ”

เจียงซื่อลุกออกจากเตียงพลางสวมรองเท้าแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง จากนั้นยื่นมือออกไปผลักเปิดหน้าต่างออก เอ่ยขึ้นเสียงเบา ”ไม่กลัวแล้ว”

นางกลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้อาหมานกับอาเฉี่ยวรู้ดี เพียงแต่ว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมายก็หายกลัวไปตั้งนานแล้ว

เสียงฟ้าร้องไม่น่ากลัวเท่ากับใจคนหรอก

ลมพัดโชยเข้ามา ผมยาวสลวยและชุดกระโปรงยาวต่างปลิวโบกสะบัด

ท้องฟ้าสูงไกลโพ้นถูกปกคลุมไปด้วยเมฆทมิฬ สายฟ้าฟาดสว่างวาบเป็นสาย ภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้านี้ทำให้มองเห็นบรรยากาศทุกอย่างข้างนอกหน้าต่างได้เต็มตา

ไม่นานเม็ดฝนก็ตกลงมา

มันเริ่มตกทีละเม็ดทีละเม็ด ไม่ได้บอบบางเหมือนฝนฤดูใบไม้ผลิ มันเป็นฝนฤดูร้อนที่ตกรุนแรงเป็นพิเศษเสียมากกว่า เม็ดฝนตกลงราวกับเมล็ดถั่วอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกลงมาเป็นสาย

เสียงฟ้าร้องอันเขย่าขวัญดังขึ้นอีกครั้ง ฝนตกหนักขึ้นอีก ด้านนอกหน้าต่างพร่ามัวจนเห็นอะไรไม่ชัด มีเพียงแต่เสียงฝนตกที่ดังราวกับเสียงกองทัพทหารและม้าเป็นจำนวนมาก หลายคนต่างตกใจตื่นจากความฝัน

นี่คือฝนห่าใหญ่ที่แท้จริง

ภายใต้แรงลมที่พัดกระหน่ำ น้ำฝนสาดกระเซ็นผ่านหน้าต่างเข้ามา

อาหมานรีบปิดหน้าต่างลง

“คุณหนูระวังจะไม่สบายเอา กลับไปนอนเถอะนะเจ้าคะ”

เจียงซื่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ แม้จะปิดหน้าต่างลงแล้ว สายตายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม

อาหมานเห็นจึงรีบไปจุดไฟ ในห้องสว่างขึ้นทันตาเห็น

“ฝนมาเร็วจริงๆ” นันย์ตาเจียงซื่อแฝงไปด้วยความสุข ทว่าไม่มีใครสังเกตห็น

อาหมานเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวนางไว้ พลางรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย “คุณหนู ฝนตกหนักขนาดนี้ พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางกันได้ไหมเจ้าคะ”

เจียงซื่อชำเลืองมองอาหมานครู่หนึ่งแล้วยิ้มพูดขึ้น “รีบอะไรเล่า”

อาหมานเบิกตาโพลง “มีคนตายนะเจ้าคะ แม้จะไขคดีได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าฆาตกรจะเป็นพระผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดของวัดหลิงอู้ ช่างน่าเอือมระอาเสียจริง”

พอพูดถึงตรงนี้อาหมานก็เบ้ปากออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “ในเมื่อเรื่องในวัดหลิงอู้ปีนั้นเป็นเรื่องโกหก แสดงว่าการไปจุดธูปบูชาก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ แล้ววัดโทรมๆ แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร เพราะในเมืองหลวงล้วนมีอยู่ทุกที่”

พอเห็นเจียงซื่อเพียงแค่ยิ้มออกมา สาวรับใช้จึงกะพริบตาปริบๆ “คุณหนู บ่าวพูดผิดหรือเจ้าคะ”

“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล” เมื่อได้ยินเสียงลมและฝนจากข้างนอกดังกระหึ่ม เจียงซื่อก็อารมณ์ดี “นอนเถอะ”

นางเดินนำไปที่เตียง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนลง

ฝนตกแล้ว แถมตกหนักกว่าที่คิดไว้เสียอีก ในที่สุดนางก็นอนหลับได้อย่างสบายใจ

อาหมานเห็นเจียงซื่อนอนลงก็รีบดับเทียบ แล้วขึ้นเตียงอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีเสียง

ฝนห่าใหญ่สาดกระทบหน้าต่างเข้ามาตามอำเภอใจ ลมโหมพัดกระหน่ำต้นไม้ใบหญ้าเสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง ทว่าไม่นานภายในห้องกลับมีเสียงลมหายใจของเจ้านายและสาวรับใช้ดังขึ้น

สิ่งแรกที่เจียงซื่อทำเมื่อลืมตาก็คือเงี่ยหูฟัง

นางต้องการให้ฝนตกครั้งนี้รั้งแม่นางหลี่ที่อาศัยอยู่ในวัดหลิงอู้ไว้ เช่นนี้จะได้สะดวกขึ้นเยอะเลย

โชคดีที่เป็นดั่งใจหวัง เสียงฝนตกห่าใหญ่ยังคงดังอยู่ข้างนอก ในที่สุดเจียงซื่อก็วางใจได้

เรื่องอาบน้ำแต่งตัวแต่งหน้าไม่จำเป็นต้องพูดให้ละเอียด เจียงซื่อเพิ่งจะเดินออกมา ก็เห็นที่ระเบียงมีคนยืนกอดอกอยู่

เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว คนผู้นั้นหันมาพลางส่งยิ้มบางๆ ให้เจียงซื่อ

ใบหน้าอันหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ รอยยิ้มที่สุภาพ เป็นอวี้จิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย

เจียงซื่อยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ไม่รู้ว่าเจียงจั้นโผล่พรวดมาจากไหน เขาเข้ามาบังหน้าอวี้จิ่นพอดี ขัดขวางสายตาของทั้งคู่

เจียงซื่อตกใจเล็กน้อย แล้วหันมองสายฝน

วันนี้พี่รองเป็นอะไรไป หรือว่าไปวิ่งฝ่าฝนอย่างบ้าระห่ำมา

อวี้จิ่นยังคงสีหน้าเดิมไว้

เลือกไม่ผิดจริงๆ ที่เมื่อคืนตัดสินใจสารภาพกับเจียงจั้น ตอนนั้นเจียงจั้นไม่ได้ต่อยเขาสักสองสามหมัด แสดงว่าค่อนข้างพอใจกับสามีในอนาคตของน้องสาวอย่างเขาพอควร ส่วนการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้ หึ หึ มันก็แค่ยื้อเวลาไว้ก่อนเท่านั้น เขาเจอมาเยอะแล้ว

เจียงจั้นถลึงตาใส่อวี้จิ่นเพื่อเป็นการเตือน จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปหาเจียงซื่อ “น้องสี่ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่”

“พอใช้ได้ พี่รองล่ะ?”

“อืม ข้าก็พอได้” แววตาเจียงจั้นเป็นประกาย ใต้ตาที่ดำคล้ำทำให้เขาดูคล้ายคนที่ออกไปบางที่ในตอนกลางคืนแล้วไม่กลับเรือน

เจียงซื่อขมวดคิ้ว “ข้าว่าพี่รองดูเหมือนจะนอนไม่พอนะ…”

เจียงจั้นรีบเปลี่ยนเรื่อง “พวกเรารีบไปกินข้าวเถอะ ท้องร้องโครกครากแล้ว ฝนนี่น่ารำคาญเสียจริง ตกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ยังไม่หยุด ดูเหมือนเราจะเดินทางไม่ได้ไปซักพัก”

กินข้าวเสร็จ ทางด้านผู้บัญชาการส่งคนมาเชิญพวกเขาไปดื่มน้ำชา อวี้จิ่นกับเจียงจั้นรู้สึกดีต่อผู้บัญชาการที่เป็นคนฉลาดทันคนสามารถมองทะลุปัญหาเล็กๆ ได้ทั้งหมด วันที่ฝนตกแบบนี้จะว่าว่างก็ว่าง จึงไม่ปฏิเสธ

ทว่าเจียงซื่อกลับหาข้ออ้างไม่ไป รอจนทั้งสองเดินออกไปแล้ว ก็มาถึงหน้าประตูห้องแม่นางหลี่แล้วเคาะเบาๆ

“ผู้ใดกัน” เสียงแม่นางหลี่ดังลอดออกมาจากภายในห้อง ยากที่จะซ่อนความแหบพร่าและความตึงเครียดในน้ำเสียงไว้ได้

“ข้าเป็นน้องสาวของเจี่ยงเอ้อร์” เจียงซื่อตอบออกไปตามตรง

นางไม่ใช่คนที่ถนัดหาข้ออ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยิ่งพูดน้อย บางทีอีกฝ่ายอาจจะยิ่งสงสัย

ผ่านไปไม่นาน เสียงประตูเปิดออกก็ดังขึ้นจริงๆ