บทที่ 120 ระบำดาบ

บทที่ 120 ระบำดาบ

เช้าวันรุ่งขึ้น

แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกของจินหลิง

เกาเหวินป๋อ จวงเหอเฉียงและภรรยากำลังรอผลการตรวจภายใน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะหลายคนเองก็กำลังรออยู่ พวกเขารู้สึกหมดหนทางเพราะผลการตรวจของจวงรุยไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ไม่เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา

ถ้าโจวอี้รักษาจวงรุ่ยได้ ย่อมแสดงว่าหมอภายในรงพยาบาลนี้ไร้ความสามารถ แต่หากโจวอี้ ล้มเหลวในการรักษา จวงรุ่ยก็คงไม่มีทางรอดแล้วเช่นกัน

ประตูวอร์ดถูกเคาะและหมอหนุ่มในเสื้อกาวน์สีขาวก็เข้ามา

“ผลที่ออกมาล่ะ?” จวงเหอเฉียงเป็นคนแรกที่รีบไปหาหมอหนุ่ม

“ผลคือ” แพทย์หนุ่มคนนั้นทั้งแสดงความชื่นชมและถอนหายใจ “หมอโจวนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ! พวกเราไม่สามารถรักษาจวงรุ่ยได้ แต่เขากลับรักษาได้ ผลการตรวจพบว่าร่างกายส่วนล่างบอบช้ำอย่างรุนแรง อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่หายดีแล้ว และจะไม่กระทบต่อเรื่องเพศของเขาในอนาคต”

“ดีจริง ๆ!” จวงเหอเฉียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

เกาเหวินป๋อและแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะบางคนเผยสีหน้ามืดมนเล็กน้อยหลังจากฟังหมอหนุ่มคนนั้นเอ่ยรายงานผล

เป็นเรื่องที่ดีที่รักษาให้หายขาด แต่เมื่อหมอจากโรงพยาบาลอื่นมารักษาคนไข้ที่พวกเขารักษาไม่ได้ พวกเขาจะตื่นเต้นดีใจเพื่ออะไร?

คุณจะดีใจไปเพื่ออะไร?

แพทย์หนุ่มที่เพิ่งรายงานผลนั้นเห็นสายตาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่มองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบที่คอ

เขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า? ก็ไม่นะ! หมอโจวรักษาได้จริง ๆ นี่นา

จู่ ๆ ความคิดของหมอหนุ่มก็ชะงัก เขาเริ่มตระหนักถึงปัญหาและเหตุผลที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมองมาที่ตัวเองเช่นนี้

ดูเหมือนเขาจะพูดผิด! แม้แต่อารมณ์ที่แสดงออกมาก็ผิด

ในขณะที่ทางด้านจวงเหอเฉียงนั้นอ่านรายงานการตรวจสอบอย่างจริงจัง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่เกาเหวินป๋อ “รองผู้อำนวยการเกา ผมขอบคุณมากนะครับ ในอนาคตถ้ามีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกมาได้เลยนะครับ”

“ได้เลย!” เกาเหวินป๋อพยักหน้า

เก้าโมงเช้า

โจวอี้มาที่โรงน้ำชาชาปาซานอีกครั้ง

เมื่อเห็นซีชิงอิ่งที่รออยู่ที่ห้องโถง โจวอี้ก็ยิ้มและถามออกมาว่า “วันนี้มีแขกไม่มากเหรอ?”

“คุณเป็นคนแรก” ซีชิงอิ่งตอบ

“ดูเหมือนว่านักดื่มชาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แล้ว” โจวอี้ยิ้ม

“น่าจะใช่! แต่ก็ดีแล้ว ฉันยินดีต้อนรับผู้ที่ชื่นชอบชาในโรงน้ำชาของฉันเท่านั้น”

โจวอี้เข้าใจ เขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่เพราะซีชิงอิ่ง เหตุผลที่เขาเต็มใจมาที่นี่ก็เพราะที่นี่มีชาดี ๆ ประการที่สอง ซีชิงอิ่งมีบุคลิกที่ดีและใจเย็นแม้เขาจะทำตัวตลก ๆ ก็ตาม และประการที่สาม เขามีเวลาว่างมากเกินไป การมาฆ่าเวลาที่นี่ก็ไม่เลวนัก

ซีชิงอิ่งพาโจวอี้ไปที่สำนักงานบนชั้นสามอีกครั้งและนำกู่เจิงออกมา

เพราะพื้นห้องปูด้วยพรม โจวอี้จึงถอดรองเท้าแล้วค่อยเดินไปนั่งที่บนโซฟา เขาเห็นซีชิงอิ่งทำทุกอย่างเหมือนเมื่อวานนี้ เธอหยิบชาต้าหงเผาออกมาและชงชาด้วยน้ำเดือด

โจวอี้ชื่นชมรูปร่างที่เพรียวบางของซีชิงอิ่ง เขายิ้มมุมปากก่อนที่จะเบนสายตามามองกระดาษกองหนึ่ง

นี่คือ… โน้ตเพลง?

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงความประหลาดใจ

“ฉันแต่งเพลงตอนที่ว่าง ๆ น่ะ” ซีชิงอิ่งวางกาน้ำชาแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม

“น่าทึ่งมาก! ไม่คิดว่าคุณจะแต่งเพลงนี้ได้ด้วยตัวเอง” โจวอี้อ่านดูก็รู้ว่าเป็นเพลงที่เพราะมาก

“ฉันเรียนจบจากวิทยาลัยดนตรี ถ้าฉันแต่งเพลงไม่ได้ก็คงแย่แล้วล่ะ” ซีชิงอิ่งยิ้ม

“คุณเรียนที่วิทยาลัยดนตรี? แต่ทำไมคุณถึงเปิดโรงน้ำชา คุณไม่ไปเอาดีทางด้านดนตรีล่ะ”

“ร่างกายของฉันไม่เหมาะกับการทำมาหากินในวงการบันเทิง แม้ฉันจะชอบดนตรีแต่ฉันไม่ได้อยากทำอาชีพนั้น” เมื่อซีชิงอิ่งพูดจบ เธอก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วดึงลิ้นชักก่อนจะหยิบสมุดโน้ตออกมายื่นให้โจวอี้และพูดว่า “นี่คือเพลงของฉันทั้งหมด คุณต้องการฟังไหม”

“แน่นอน!” โจวอี้ยิ้มและพยักหน้า

ซีชิงอิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเครื่องเล่นเพลง

เมโลดี้ที่สวยงามนั้นเป็นทำนองของกู่ฉิน

“ในโลกที่เต็มไปด้วยหิมะ หญ้าสีเขียวก้มลง

ในสายลมหนาวนั้น มันร้องไห้ออกมาเหมือนรอยยิ้ม

เกิดมาไม่ถึงร้อยดอก

วิญญาณควรเร่ร่อนไปที่ไหนหลังความตาย

……

พระเจ้า ขอเพลงหน่อยเถิด

เพื่อปลอบประโลมจิตใจและบอกเล่า……”

โจวอี้ฟังอย่างเงียบ ๆ เขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เสียงร้องของซีชิงอิ่งนั้นไพเราะและชัดเจน ราวกับลอยอยู่ใต้ทะเลสาบ มันเต็มไปด้วยความหนาวเย็นและปั่นป่วน

เพลงนี้ซึ่งดูเหมือนจะขับขานถึงชะตากรรมของหญ้า เหมาะมากที่จะบรรยายถึงเธอ

ฉันรักโลกใบนี้ แต่ชีวิตของฉันอยู่ได้ไม่นาน

ฉันอยากจากไปอย่างสงบ แต่ฉันไม่เต็มใจที่จะเสื่อมสลายไป

เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุด โจวอี้ก็ลืมตาขึ้นทันที เขามองไปยังซีชิงอิ่งที่สงบนิ่ง และถามอย่างช้า ๆ ว่า “เพลงนี้ชื่อโชคชะตาหรือเปล่า?”

“ใช่ เพลงและชื่อเพลงอยู่หลังหนังสือเนื้อเพลง” ซีชิงอิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ฟังแล้วเพราะมาก ทำนองไพเราะ และเนื้อเพลงก็เหมาะสมในเชิงเปรียบเทียบ ถ้าคุณเข้าสู่วงการบันเทิง แค่เพลงนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้คุณดังได้แล้ว” โจวอี้พูดอย่างจริงจัง

“ฉันไม่สนใจวงการบันเทิง” ซีชิงอิ่งส่ายหัว

“แล้วสิ่งที่คุณสนใจมีอะไรบ้าง?” โจวอี้ถาม

“แต่งเพลง ดื่มชา กินอาหารอร่อย ๆ ฝึกดาบ…” เธอยิ้มอย่างอ่อนหวาน

“ฝึกดาบ?” โจวอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ใช่ ฉันรำดาบมานานแล้ว ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันรำดาบได้ดีมาก”

“งั้นขอเชิญหญิงงามแสดงให้ผมดูหน่อยเถิด” โจวอี้เดินเข้ามาหาซีชิงอิ่งพร้อมกับกอดอก

ซีชิงอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปหยิบดาบยาวที่เต็มไปด้วยอัญมณีออกมา ก่อนจะยืนอยู่กลางห้องทำงานอันกว้างขวาง

“เริ่มต้นการแสดงได้เลยครับ” โจวอี้ยิ้ม

“ตื่นเต้นจังเลย ถ้าฉันรำไม่ดีก็อย่าว่ากันเลยนะ” ซีชิงอิ่งพูดจบก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วส่ายดาบของเธอก่อนจะเต้นรำด้วยท่าทางที่งดงาม การร่ายรำดาบของเธอนั้นงดงามราวกับเมฆที่พลิ้วไหว

ใบหน้าของโจวอี้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“กาลครั้งหนึ่ง มีสาวสวยคนหนึ่งชื่อกงซุน

ผู้มาเยือนรู้สึกหดหู่ใจราวกับว่าภูเขา สวรรค์ และโลก อยู่ห่างไกลจากกันเป็นเวลานาน

เขาเหมือนโฮ่วอี้ที่มีพระอาทิตย์ตกและเหมือนจักรพรรดิที่ล่องลอยราวกับมังกร

ราวกับสายฟ้าที่เกิดขึ้นจากความโกรธ ราวกับสายน้ำและท้องทะเลที่รวมกันเป็นแสงสว่าง

ริมฝีปากสีแดงเข้มนั้นอ้างว้าง และดอกไม้พลันส่งกลิ่นหอมในยามค่ำคืน”

แววตาของโจวอี้เต็มไปด้วยความสับสน เมื่อมองไปที่การรำดาบอันงดงาม บทกวีโบราณก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา

การรำดาบนี้มัน… ระบำดาบกงซุน!