“หากลูกน้องเจ้ายังไม่โผล่หัวมาอีก ข้าจะเอาหัวสุนัขเจ้าแทน! ” เผชิญกับคำข่มขู่และขุมพลังอำมหิตสุดแกร่งกร้าว ฉินจิ่วเกอเป็นต้องหดตัวลีบเล็ก

“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” ฉินจิ่วเกอตั้งข้อสันนิษฐานหลายหลากประการ อาทิเช่นบรรพตสละฟ้าถูกคนฆ่ายกครัว หรือไม่ก็พากันตกลงหลุมถ่ายกันยกก๊วน

ขณะจะเอ่ยวาจา พลันรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง คล้ายมีผีมาเป่าลมเย็นใส่ “หากเจ้ากล้าเล่นลิ้นตบตาข้าโดยบอกว่าวิธีการเปิดไม่ถูกต้องอยู่อีกละก็ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดมือเจ้าทิ้งมันตรงนี้เลย”

“แม่หญิงสงบจิตสงบใจลงก่อนเถิด ข้ารับรองว่าข้ามีวิธี”

ฉินจิ่วเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครา ไอพลังที่ควบอยู่ในตันเถียนเคลื่อนสู่แกนกลางไม่หยุดยั้ง รีดเค้นจนหลิงไถว่างเปล่า แล้วตวาดออกมาว่า “เจ้าข้าเอ๊ย ไฟไหม้ใหญ่แล้ว! ”

ด้านนอก สี่ประมุขขุนเขาและหลงเฟิงกำลังนั่งถกปัญหาเต๋ากันอย่างออกรส หัวข้อธรรมอันว่าลี้ลับยิ่งลี้ลับ สรรพสิ่งล้วนคือประตูอะไรเทือกนั้น

ฉับพลันได้ยินเสียงไก่กาสุนัขเตลิดมาจากในสวน แถมยังเห่าแบบต่อเนื่องไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ลำบากให้พวกมันต้องยกมือปิดหู ขี้คร้านเกินกว่าจะไปใส่ใจ

จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนร่ำร้องว่าไฟไหม้ น้ำเสียงระคายหูแบบนี้ เป็นประมุขน้อยไม่ผิดแน่

เหล่าประมุขก็ไม่สะทกสะท้าน ไหนๆ ไฟมันก็ไหม้ขึ้นมาแล้ว อย่าได้ไปรบกวนค่ำคืนหวานชื่น นกยวนยางเคียงหมอนร่วมเตียงจะดีกว่า จึงทำเป็นไม่ได้ยินอะไร

ฉินจิ่วเกอใกล้ร่ำไห้เต็มทน เหตุไฉนตนถึงได้เจอเรื่องหมางเมินไร้แยแสเช่นนี้อยู่ร่ำไปเลยเล่า

ทุกครั้งที่มันผจญเหตุร้อนรนต้องการคนช่วยชีวิต พอถึงจุดวิกฤติ กลับไม่เห็นแม้แต่ครึ่งเงา หรือตัวมันจะน่ารังเกียจถึงเพียงนั้น?

โฮฮ วิถีฟ้าไร้ใจ ไท่ซ่างไร้แยแส กลับคืนสู่ดั้งเดิม สูญเสียไท่หยาง

เดิมทีนึกว่าตัวเองได้เปลี่ยนเป็นสุภาพชนผู้สง่างามแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะต้องกลับมาชั่วร้ายอีกครั้ง ฉินจิ่วเกอหมดหวังในโลกใบนี้แล้ว หัวใจเหมือนตายทั้งเป็น

“แม่หญิงอย่าได้รีบร้อนไป” ฉินจิ่วเกอสบถสาบานต่อฟ้าเสียงสะอื้น “ให้ข้าลองดูอีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ ข้าฉินจิ่วเกอยินดีบั่นศีรษะตัวเองมาเป็นกระโถนปัสสาวะให้แก่ท่านเลย”

พบเห็นสีหน้าของแม่นางคล้ายจะไม่ถูกต้อง ชั้นหนังบนใบหน้าแตกกะเทาะ ฉินจิ่วเกอจึงเอ่ยด้วยน้ำใจเผื่อแผ่ “คำนึงถึงฐานะท่าน บนกระโถนจะให้ทำเป็นลวดลายบุปผาประดับเอาไว้ก็ยังได้ เพียงแต่ท่านจะเอาดอกบัวหรือดอกกุหลาบดีล่ะ? ”

“เลิกพูดมากได้แล้ว! ” คมกระบี่ตัดสาบเสื้อตรงลำคอจนขาดวิ่น ผิวกระบี่เย็นเฉียบไปถึงขั้วดวงใจกดนาบลงกับลำคอ

ขับเคลื่อนไอพลังอีกรอบ จากนั้นเพ่งสมาธิทั้งหมด “รีบมา! ตะวันแจ้งทิวทัศน์งาม ไม่คาดกลับมีสาวงามเจ็ดแปดสิบนางมาวิ่งเปลือยกายล้อแสงเล่นลม โลกทุกวันนี้มันเป็นอะไรไปหมดแล้ว ไร้จรรยาไม่อายฟ้าจริงๆ ไอหยา มาช้าไม่ได้ดูแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

“ไหน ไหน! ” สี่ประมุขที่เพิ่งสุมหัวถกปัญหาความสงบสุขของโลกอยู่หมาดๆ ไม่ทันไรกลับเคลื่อนร่างวูบวาบมาปรากฏอยู่ตรงสวนด้านหลังแล้ว

ไร้จรรยาไม่อายฟ้า ไร้จรรยาไม่อายฟ้า อยู่ไหนน้อ อยู่ไหนกันน้อ?

สาวงามนั้นไม่เห็น จะเห็นก็แต่ประมุขน้อยกำลังยืนสิ้นหวังอยู่กลางลมหนาว ด้านหลังมีปีศาจหน้าเหลือง ผิวกายทั่วร่างแตกระแหงแหว่งวิ่น

พบเห็นคนคุ้นหน้า ฉินจิ่วเกอน้ำตาไหลอาบแก้ม กัดฟันกล้ำกลืนความอัปยศกล่าว “ทุกท่าน ข้าเฝ้ารอคอยคอยรอทุกเช้าค่ำวันคืน คิดพูดสามคำต่อหน้าท่านว่า พิทักษ์ประมุขด้วย!”

“นางมารร้าย รีบปล่อยตัวประมุขน้อยของพวกเราเดี๋ยวนี้! ” สี่ประมุขร้อนรนแล้ว นัยน์ตาแสบร้อน ผีเหลืองข้างหลังนั่น คงจะไม่ใช่ว่าที่ฮูหยินที่พวกมันหัวเสไปลักพาตัวมาหรอกกระมัง

จบกัน มีทางเดียวคือต้องฆ่าปาดคอเจ้าเด็กนี่เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นในอนาคตพวกมันย่อมต้องล้างคอรอถูกเชือดแล้ว

“พวกเจ้าจงพาข้ากลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฆ่ามันซะ! ” ติงหลันเอ่ยเสียงเหี้ยม พยายามรักษาความสุขุมยามประจันหน้ากับชนชั้นกลั่นดวงธาตุไว้สุดฤทธิ์

สี่ประมุขเริ่มมีโทสะขึ้นบ้างแล้ว พลังกลั่นดวงธาตุพวยพุ่งออกรอบทิศ ชาวเมืองไปจนถึงแมลงเล็กแมลงจ้อยที่กำลังหลับใหลพลันต้องสะดุ้งตื่นจากฝัน เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

“ปล่อยตัวประมุขน้อยซะเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะเอาดวงวิญญาณเจ้ามากลั่นเกลา ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดอีกเลยตลอดกาล! ”

“อย่าให้ข้าต้องหัวร่อหน่อยเลย ข้าเป็นถึงศิษย์สายตรงหุบเขาเพลิงราชัน พวกเจ้าพาตัวข้ามาแบบนี้ ข้ายังไม่ทันคิดบัญชีกับพวกเจ้าเลยด้วยซ้ำ! ”

ที่พาดขวางอยู่บนลำคอของฉินจิ่วเกอก็คือศาสตราบรรพกาลที่คุณภาพไม่ต่ำทรามเล่มหนึ่ง

อำนาจของศาสตราบรรพกาล คิดทำลายพิสุทธิ์ไพศาลสักคนย่อมเหลือแหล่ สี่ประมุขจึงไม่กล้ายั่วยุแก้ปัญหาด้วยกำลัง

ฉินจิ่วเกอพยายามประคองขาที่อ่อนยวบเป็นแป้งหมี่ไว้ “ท่านย่าเจ้าเอย มีอะไรค่อยพูดค่อยจาเถอะ ความหุนหันคือมารร้าย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า พวกมันย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

“ฮึ่ม ประมุขพรรคหุบเขาเพลิงราชันก็คือบิดาข้า พวกเจ้าดักอุ้มข้า ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่! ”

“อะไรนะ! บิดา? ” ฉินจิ่วเกอแหกปากเสียงหลง สีหน้าแววตาแตกตื่นพรึงเพริด

“ใครเป็นบิดาเจ้า! ” ติงหลันกระทืบเท้าฮึ่มฮั่มด้วยโทสะ

ฉินจิ่วเกอตอนนี้อยากไปหาที่ที่ไม่มีคนแล้วไปคุกเข่าหลั่งน้ำตาเสียหลายวัน

มารดามันเถอะ แค่คิดว่าไปล่วงเกินสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ก็หายนะพอแล้ว

ใครจะไปนึก บิดาของท่านย่าผู้นี้กลับเป็นประมุขพรรคหุบเขาเพลิงราชัน

มิน่าบนตัวนางถึงได้มีพลังดิบเถื่อนอันทรงพลังถึงปานนั้น ในเมื่อบิดาเป็นถึงพยัคฆ์ แล้วบุตรีจะเป็นสุนัขกาไก่ได้อย่างไร!

หลงเฟิงไม่ได้เผยตัว แต่ใช้ประโยชน์จากพลังยุทธ์ของกลั่นดวงธาตุหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติ

ฉวยโอกาสที่สี่ประมุขดึงความสนใจอยู่ หลงเฟิงก็ลอบเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างหลังติงหลัน จากนั้นลงมือด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด

แคร่ก!

ไอวิญญาณข้นเหลวที่จุพลังมหาวิถีดวงธาตุทองคำเอาไว้พลันระเบิดออกในพริบตา ส่งแรงอัดกระแทกเข้าใส่ศาสตราบรรพกาลที่พาดอยู่บนลำคอของฉินจิ่วเกอจนหักสะบั้น

หลังขจัดอาวุธร้ายหมายชีวิตออกไปจนพ้นทางดีแล้ว สี่ประมุขก็บงการอสนีวายุ เพียงพริบตาก็มาปรากฏอยู่ข้างตัวฉินจิ่วเกอ

ส่วนหลงเฟิงก็จับกุมตัวติงหลันได้อย่างราบรื่น

เพียงเสี้ยวพริบตา สถานการณ์ก็กลับตาลปัตร

หุบเขาเพลิงราชันคือสี่พรรคใหญ่ที่มีมรดกร่วมแสนปี นับแต่มหาสงครามปลายบรรพกาลมานั้น บัลลังก์สี่พรรคใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าสั่นคลอน

ลักพาตัวศิษย์สายตรงหุบเขาเพลิงราชันก็ถือว่าก่อความผิดมหันต์แล้ว

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่า ผู้บังเกิดเกล้าของแม่ยอดขมูขีนางนี้ก็คือประมุขพรรค ประมุขขุนเขาตอนนี้หากจะบอกว่าไม่มีเจตนาเข่นฆ่าก็นับว่าโกหก

ประมุขหลิวผงกหัวเป็นเชิงสั่งให้หลงเฟิงฆ่าปิดปากพยาน

“หยุดมือ! ” ฉินจิ่วเกอที่ยามนี้เป็นดาวล้อมเดือนรีบเอ่ยห้ามการกระทำของหลงเฟิงเสียงแหลม

หลงเฟิงชะงักงัน ฝ่ามืออยู่ห่างติงหลันไปแค่คืบเดียว จับจ้องฉินจิ่วเกอด้วยแววตาเฉยเมย

ติงหลันปิดตาคู่งาม จากนั้นก็ต้องลืมขึ้นมาใหม่ นางไม่อยากจะเชื่อว่ายอดฝีมือกลั่นดวงธาตุพวกนี้จะยอมรับคนสารเลวนี่เป็นนาย

ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ถือครองพลังวิเศษ สังขารเป็นภาชนะของมหาวิถีดวงธาตุทองคำ

แม้แต่บิดาของนางยังต้องไว้หน้าอาวุโสภายในพรรคเหล่านั้นอยู่หลายส่วน แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงได้เชื่องเชื่อต่อเด็กชั้นพิสุทธิ์ไพศาลคนนี้เหลือเกิน

ประมุขหยางกลัวว่าจะเกิดเหตุเหนือคาดกับฉินจิ่วเกออีกครั้ง จึงรีบเข้ามาขวางอยู่ด้านหน้า “ประมุขน้อย สตรีนางนี้เอาไว้ไม่ได้ ยังคงฆ่านางจะดีกว่า หากท่านยังติดลม เอาไว้เที่ยวหน้าพวกเราค่อยฉุดคร่ามาอีกหลายๆ นาง”

ได้ฟังดังนี้ ฉินจิ่วเกอแทบเป็นลมล้มพับ ยังดีที่อีกสามประมุขเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน “ติดลมบ้านเจ้าสิ! เจ้าเรียกว่านี่สวยแล้วหรือ? ”

เนื้อตัวมีแต่โคลน ใบหน้าเลอะเทอะมอมแมม อาภรณ์ขาดวิ่นปุปะ หากบอกว่าเป็นผีพรายน้ำก็ยังมีคนเชื่อ

ตอนอยู่ในห้องแสงไฟหรุบหรู่ ฉินจิ่วเกอแทบหัวใจวายตาย บ่งบอกได้ว่าน่าพรั่นพรึงถึงปานไหน

“เจ้าคนปากพล่อย แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ แล้วตาสุนัขเจ้าถูกคนเหยียบจนใช้การไม่ได้หรืออย่างไร ถึงได้มองไม่เห็นความงามล่มเมืองของท่านน้าคนนี้”

สี่ประมุขเงียบเป็นเป่าสาก ดูจากสารรูปนางยามนี้แล้ว พวกมันไม่กล้าตอบคำ

ตอนนี้ฉินจิ่วเกอเองก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ต้องบอกว่าประมุขขุนเขาทั้งหลายหน่อนี้ช่างจงรักภักดีต่อตนเองเสียจริง แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นคนเปิดกว้างพร้อมพูดคุยถกปัญหา

เรื่องประเภทนี้ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำต้องผ่านการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายอย่างที่จะขาดไปไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้เป็นยามเที่ยวหอคณิกาก็ไม่เว้น

เอะอะก็ใช้วิธีฉุดฮูหยินตามแบบฉบับกองโจรมันทั้งอย่างนั้น วิธีพรรค์นี้น่ะ ภายหน้าภายหลังไว้หาที่ห่างไกลผู้ครองอำนาจฟ้าสวรรค์สักแห่งแล้วค่อยว่ากัน

ใช้สายตาเรืองอำนาจกวาดกราดรอบหนึ่ง จากนั้นเอามือไพล่หลัง สูดลมหายใจเข้าสั้นๆ “ใครเป็นตัวต้นคิดแผนการอุบาทว์นี้ เดินออกมาซะดีๆ ”

ประมุขโหวเป็นคนจำพวกเลือกที่รัก มักที่ชัง รักพี่รักน้อง รักประมุขน้อย แต่รักมากกว่าคือตัวเอง

ดังนั้นมันจึงสวมบทเป็นพยานป้ายสี ชี้นิ้วไปทางประมุขหยางแล้วพูดว่า “มันเป็นตัวต้นคิด”

ไอ้งูพิษ!

ประมุขหยางเดือดจนแทบคลั่ง ชี้นิ้วกลับไปทางประมุขโหว “ยังจะไม่ใช่เจ้าที่บอกว่าประมุขน้อยป่วยเป็นไข้ใจ มองอะไรก็เป็นสีชมพู”

“แต่คนที่เสนอแผนดักอุ้มไม่ใช่ข้า! ” ประมุขโหวเต้นผาง

“เป็นมัน!”

ประมุขหยางชี้นิ้วไปที่ประมุขหลิว “เป็นความคิดมัน แผนดักอุ้มมันก็เป็นตัวต้นคิด”

“เลอะเทอะใหญ่แล้ว เห็นกันอยู่ว่าคนต้นคิดให้ไปดักอุ้มก็คือหลงเฟิง” ประมุขจูผู้มองผ่านตื้นลึกหนาบางทุกอย่างเอ่ยออกมาประโยคเดียว สยบรังสีฆ่าฟันแตกหักของสี่ประมุขสละฟ้าได้อย่างชะงัด ขณะเดียวกันก็รักษาเรือน้อยแห่งมิตรภาพลำนี้เอาไว้ภายในม้วนเดียว

สามคนที่เหลือพลันส่งเสียงฮือฮาออกมาพร้อมกัน จริงด้วย ตัวต้นคิดก็คือหลงเฟิงไม่ใช่หรือ แล้วไฉนพวกมันถึงต้องร้อนตัวแทนด้วยเล่า

สี่คนแปดมือผนึกออกเป็นกวนอิมพันมือ ชี้ไปทางหลงเฟิงเป็นนิ้วเดียว “ประมุขน้อย เป็นฝีมือมันล้วนๆ ”

นับรวมฉินจิ่วเกอ ดวงตาสิบคู่พลันถลึงใส่หลงเฟิงผู้ที่การสื่อสารเข้าขั้นเลวร้ายจนไม่ทราบควรทำอย่างไรต่อไปดี

คำครหาเปลี่ยนถูกเป็นผิด เปลี่ยนผิดเป็นถูก ใช่แล้ว นี่เป็นฝีมือของหลงเฟิง แม้แต่ติงหลันก็ยังผงกศีรษะเห็นพ้อง ต้องโทษเขาอันนั้น ง่ายต่อการจดจำเกินไป

ฉินจิ่วเกอเดือดปุดๆ ถลกแขนเสื้อขึ้นสูง กระชับเข็มขัดให้แน่น บิดคอซ้ายทีขวาที “ไม่เลวๆ ข้าก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเจ้า ยืมมีดสังหารคน คิดล้มบัลลังก์ข้าใช่ไม่ใช่? ”

“เหอะเหอะ” มือสะอาดไม่จำเป็นต้องแก้ตัว หลงเฟิงถอยกายไปด้านข้าง แววตานิ่งประดุจเดิม

ฉินจิ่วเกออ่านออก ความหมายของมันก็คือ ยังไงเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน

ต่อปากต่อคำได้ แต่หากคิดลงไม้ลงมือ ข้าจะเอาเขาพิฆาตบนหัวนี่ขวิดเจ้าให้ตายคาที่

ฉินจิ่วเกออยู่มาจนอายุปูนนี้ ข้ามภพมาก็สองรอบ มันเข้าใจเป็นอย่างดี ชายชาตรีไม่กลัวขายหน้าตำตา

สามารถจดหนี้แค้นไว้ก่อน รอจนศิษย์น้องรองของข้าตื่นขึ้นมา ค่อยสั่งสอนเจ้าลูกวัวนี่ให้หนำใจ

“ประมุขน้อย ไม่อาจปล่อยนางไป” สี่ประมุขขุนเขาห้ามปรามมิให้ติงหลันกลับไป พิสุทธิ์ไพศาลต่อให้มีสารพัดวิธีการ แต่ต่อหน้ากลั่นดวงธาตุย่อมไม่อาจทำอย่างไรได้

ตรงข้อนี้ ฉินจิ่วเกอรับทราบบทเรียนด้วยตนเอง ขนาดเทียนหมิงเสียในสภาพบาดเจ็บสาหัส พลังฝีมือลดลงเหลือเพียงกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง ยังสามารถสังหารมันได้ตามใจชอบ

ฉินจิ่วเกอส่ายศีรษะ มันไม่คิดฆ่าคนบริสุทธิ์ ทั้งเรื่องนี้ก็มิใช่มันเป็นตัวการ มันย่อมไม่คิดสังหารคนเป็นมารร้าย เรื่องของเรื่องคือลูกน้องของมันล้วนหวังดีต่อประมุข ตนเองก็สะดวกในการว่ากล่าวกระไร เพียงแต่เจ้าหลงเฟิงนี่ รสนิยมประหลาดเลวร้ายจนเกินไปหน่อย คิดว่าคงวางแผนให้ข้าตกใจตาย

ตลอดทั้งร่างของติงหลันปกคลุมด้วยหญ้าแห้งดินโคลนเหลือง ชโลมไปถึงบนศีรษะ หากคิดไปแสดงเป็นผีจริงๆ กลับไม่ต้องแต่งหน้าเพิ่มเลยแม้แต่น้อย

“แม่นาง เรื่องนี้ท่านก็ได้ยินแล้ว ข้าไม่ต่างจากนอนเฉยๆ ถูกกระสุนตกใส่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า” ฉินจิ่วเกอผายมืออธิบาย

ติงหลันขุ่นเคือง แค่นเสียงเหอะหะ ไม่กล่าววาจา

“เป็นเจ้าเด็กนั่นที่จับท่านมา ข้าช่วยระบายโทสะแก่ท่าน” ฉินจิ่วเกอได้ข้ออ้าง สะบัดเอวแยกเท้า ตระเตรียมเตะใส่หลงเฟิงสักที

หมุนกายหลบหลีก ฉินจิ่วเกอเพียงเตะถูกอากาศธาตุ

หลงเฟิงยกแขนกอดอก ประกายนัยน์ตายังนิ่งสงัดไร้ระลอก หางตาแฝงอาลัย ราวกับกวีท่านหนึ่ง

“แค่กแค่ก” ฉินจิ่วเกอที่เตะไม่ถูกผู้ใต้บังคับบัญชาวางหน้าไม่ถูก “สิบล้าน อา สิบล้าน เจ้ามันไม่มีนัยน์ตาหรือไง ข้าจะขายเจ้าไปเป็นแรงงานทำไร่ไถนา?”

หลงเฟิงเปลี่ยนท่าทีจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ นุ่มนวลอบอุ่นประดุจหยก สีหน้าอ่อนโยนราวสายธาร ทอดสายตามองมาด้วยความรักเอ็นดูสุดซึ้ง

ฉินจิ่วเกอเตะใส่อีกฝ่ายไปหลายเท้า เผชิญกับร่างแกร่งประดุจเหล็กกล้าของกลั่นดวงธาตุ ฉินจิ่วเกอกระดูกแทบหักไป

ชายหนุ่มยืนเขย่งเท้า อดกลั้นความเจ็บปวด ไอ้หมอนี่มันจงใจนี่หว่า

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับแม่นางท่านนี้”

“ประมุขน้อย เหลือไว้สักคนดีหรือไม่ ท่านสู้นางไม่ได้” ประมุขหลิวกระตุ้นเตือนด้วยเจตนาดี เพียงแต่เสียงดังไปหน่อย

“ไสหัวไป!” ฉินจิ่วเกอตวาดลั่น สองตาดั่งแสงอัคคี “ให้เวลาสามอึดใจ ถ้ายังไม่ไป ข้าจะให้มันไปยืนเก็บค่าเข้าส้วม”

ฟิ้วฟิ้ว!

เงาร่างคนทั้งสี่แยกย้ายไปสี่ทิศแปดทาง ไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง

หลงเฟิงยังคงยืนหยัดอยู่กับที่ ปฏิกิริยาเชื่องช้าไปบ้าง ฉินจิ่วเกอยกเท้าเตะออกหนึ่งที ก็หลบลี้หายไปเช่นกัน

“แค่กแค่ก แม่นาง สำหรับเรื่องนี้ ข้าขออภัยแทนพวกมันด้วย”

จนปัญญา ใครใช้ให้มันเป็นสุภาพบุรุษผู้ถือความดีราววารีไหลกันเล่า