ตอนที่ 102 ไมตรีจิต

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 102 ไมตรีจิต
เห็นไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ต่งซื่อจึงลูบมือบุตรสาวอย่างสงสาร หากท่านปู่ ท่านพ่อและน้องชายของบุตรสาวยังมีชีวิตอยู่ บุตรสาวคงไม่ต้องดิ้นรนทำเพื่อตระกูลทั้งๆ ที่เป็นเพียงสตรีเช่นนี้หรอก

ไป๋ชิงเหยียนยิ้มพลางบีบมือของต่งซื่อ “ท่านแม่รู้ทุกเรื่อง ข้าปิดบังท่านแม่มิได้เลยเจ้าค่ะ”

“ทว่า พ่อค้าเซียวหรงเหยี่ยนจากแคว้นต้าเว่ยผู้นั้นจะซื้อกิจการร้านค้า และที่ดินของเราทั้งหมดเลยหรือ!” ต่งซื่อคิดว่าบุตรสาวควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “นี่มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลยนะ!”

“นี่คือเรื่องที่ข้าต้องการจะบอกกับท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าให้เฉินชิงเซิงไปบอกกับเซียวหรงเหยี่ยนว่าขอยืมใช้เพียงชื่อของเขาเท่านั้น จวนเจิ้นกั๋วกงจะออกเงินทั้งหมดเอง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะโอนย้ายที่ดิน และกิจการร้านค้าทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกงไปยังที่อื่นได้ เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านแม่เป็นคนจัดการเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางต่งซื่อ “เพียงแต่…มิรู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงของเราสามารถนำเงินจำนวนสี่แสนห้าหมื่นตำลึงออกมาให้ตระกูลบรรพบุรุษทีเดียวเลยได้หรือไม่เจ้าคะ”

ต่งซื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนจึงชะงักฝีเท้าลง นึกถึงเรื่องที่ต่งชิงเยว่น้องชายของนางบอกกับนางเมื่อวาน การที่รถม้าของซิ่นอ๋องพังเป็นฝีมือขององครักษ์ฝีมือดีของเซียวหรงเหยี่ยน วันนี้เซียวหรงเหยี่ยนก็มาเคารพศพที่จวนเจิ้นกั๋วกงแต่เช้า อีกทั้งองครักษ์ข้างกายของเซียวหรงเหยี่ยนยังเป็นคนช่วยชีวิตน้องสะใภ้สี่ที่วิ่งเอาศีรษะไปกระแทกโลงศพเอาไว้

ต่งซื่อกระชับมือที่จับบุตรสาวแน่น “เจ้าเคยพบเซียวหรงเหยี่ยนเป็นการส่วนตัวเช่นนั้นหรือ! ไปมา…หาสู่กันหรือ! เจ้าบอกแม่มาตามตรงนะ!”

ต่งซื่อถามรัวเป็นชุด ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ แม้ในบรรดาบัณฑิต กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์ พ่อค้าจะจัดอยู่ในลำดับสุดท้าย ทว่า แคว้นต้าจิ้นไม่ได้ดูถูกพ่อค้าสักเท่าใด เซียวหรงเหยี่ยนผู้นี้ไม่เพียงแต่รูปงาม รัศมีความเป็นบัณฑิตของเขายังโดดเด่นมากอีกด้วย! บุตรสาวของนางรูปงามเกินคำบรรยาย หรือว่าสองคนนี้ผูกไมตรีจิตต่อกันแล้ว! มิเช่นนั้นไป๋ชิงเหยียนจะมั่นใจได้อย่างใดว่าเซียวหรงเหยี่ยนจะยอมช่วยเหลือจวนเจิ้นกั๋วกง

หากไป๋ชิงเหยียนกับเซียวหรงเหยี่ยนรักใคร่ชอบพอกันจริงๆ เช่นนั้นนางคงต้องวางแผนใหม่ แผนที่นางเตรียมไว้กับต่งเหล่าไท่จวินผู้เป็นมารดาก่อนหน้านี้คงใช้การไม่ได้แล้ว

ความปลอดภัยของบุตรสาวคือสิ่งสำคัญที่สุด ทว่านอกจากปลอดภัยแล้ว การให้บุตรสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ใจของนางปรารถนาก็สำคัญเช่นเดียวกัน

บัดนี้ ตระกูลไป๋มีชาวบ้านคอยหนุนหลังอยู่ ฮ่องเต้ทรงไม่อาจแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้เป็นการชั่วคราว หากบุตรสาวของนางมีใจให้พ่อค้าผู้นี้ นางต้องวางแผนใหม่เดี๋ยวนี้เลย หากทดสอบนิสัยของเซียวหรงเหยี่ยนแล้วผ่านเกณฑ์ นางจึงจะยอมยกบุตรสาวให้แก่เขา

เหตุใดเซียวหรงเหยี่ยนที่สง่างามผู้นั้นจึงเป็นเพียงพ่อค้ากันนะ! หากนางยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับเขาไม่เพียงเป็นการแต่งงานกับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่าเท่านั้น ในสายตาของคนตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆ คงมองว่าตระกูลไป๋ทำตัวเองตกต่ำแน่ๆ!

ตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดจะยอมยกบุตรสาวให้แต่งงานกับพ่อค้ากัน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจวนเจิ้นกั๋วกงซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เจริญรุ่งเรืองมานับร้อยปีเลย

เพียงชั่วขณะเดียวต่งซื่อคิดใคร่ครวญเป็นพันเรื่อง

ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของมารดาจึงกล่าวกับนางอย่างเปิดเผย “วันนี้ข้าไปส่งคนที่ศาลาเจ๋อหลิ่วนอกเมือง บังเอิญพบกับเซียวหรงเหยี่ยนจึงสนทนากันครู่หนึ่งเจ้าค่ะ ทว่า ที่ข้าให้เฉินชิ่งเซิงไปเจรจากับเซียวหรงเหยี่ยนในเรื่องนี้ ข้ามิได้คิดว่าการพบเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งจะทำให้เซียวหรงเหยี่ยนเห็นแก่หน้าข้าจนยอมช่วยเหลือหรอกเจ้าค่ะ”

หญิงสาวประคองมารดาให้เดินต่อไปด้านหน้า อธิบายกับต่งซื่อเสียงแผ่วเบา “ตั้งแต่ที่เซียวหรงเหยี่ยนมาถึงเมืองหลวง ท่านแม่ลองคิดถึงการใช้จ่ายอย่างมากมายในแต่ละครั้งของเขาสิเจ้าคะ เขาต้องการมีชื่อเสียงในเมืองหลวง รวมถึงในแคว้นต้าจิ้น ทำให้ชื่อเสียงพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเว่ยกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในใต้หล้า ให้ทุกคนได้รู้จักบุคคลที่ชื่อว่าเซียวหรงเหยี่ยน!”

“ที่สำคัญบัดนี้จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นที่จับตามองของทุกคนในแคว้น สำหรับเซียวหรงเหยี่ยนแล้ว จะมีสิ่งใดทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วไปกว่าการรับซื้อกิจการร้านค้าและที่ดินทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกงไว้อีกเล่าเจ้าคะ”

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นางวางแผนเรื่องทุกอย่างไว้หมดแล้ว ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวว่าเขาจะเดินทางกลับแคว้นหลังจากผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟของเมืองหลวงในวันที่สิบห้า เพราะเหตุใดเล่า! เพราะเขาต้องการอาศัยช่วงงานเทศกาลโคมไฟที่ผู้คนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่งาน แสดงความร่ำรวยของเขา สร้างชื่อเสียงให้เขากลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า

ทว่าบัดนี้จวนเจิ้นกั๋วกงกำลังจัดพิธีศพ ความหวังนี้คงไม่เป็นจริงแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนจึงหยิบยื่นโอกาสนี้ให้เซียวหรงเหยี่ยน เซียวหรงเหยี่ยนเป็นคนฉลาด ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะแสดงความร่ำรวยต่อหน้าทุกคน และโอกาสที่ทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงติดหนี้บุญคุณเขาหรอก

ต่งซื่อมองดูแววตาแหลมคมของบุตรสาว กุมมือที่เย็นเฉียบของนางพลางเอ่ยถาม “เซียวเซียนเซิงผู้นี้ ดูดีทั้งหน้าตาและนิสัย เจ้ารู้สึกเช่นใดกับเขา…”

หญิงสาวคิดตามคำกล่าวของมารดาไม่ทัน เมื่อคิดได้ก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับความคิดของมารดาดี “ท่านแม่ ท่านคิดไปถึงที่ใดกันเจ้าคะ ข้ารู้ดีว่าตัวข้าเป็นเช่นใด ชาตินี้ข้าตัดสินใจจะอยู่ข้างกายท่านแม่ไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ อีกอย่างตอนนี้จวนเจิ้นกั๋วกงของเรากำลังลำบาก ข้าจะมีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่นได้อย่างใดกันเจ้าคะ”

ไม่รอให้ต่งซื่อเอ่ยขึ้น หญิงสาวรีบกล่าวสำทับ “ท่านแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด พวกเรารอให้พิธีศพของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและน้องชายผ่านพ้นไปก่อนแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่าเจ้าค่ะ”

ต่งซื่อขอบตาร้อนผ่าว พยักหน้าอย่างกล้ำกลืน

“ฮูหยินซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่”

ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงเดินเข้ามาโดยมีบ่าวรับใช้ชายคอยประคอง เมื่อทำความเคารพเสร็จเขาจึงถามอย่างร้อนใจ “ท่านชายสี่ฉีอวิ๋นจากตระกูลบรรพบุรุษเล่าขอรับ จากไปแล้วหรือขอรับ!”

ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงเป็นบ่าวรับใช้เก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์ของจวนเจิ้นกั๋วกง บรรพบุรุษของผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงอยู่กับจวนเจิ้นกั๋วกงมาตั้งแต่รุ่นของท่านเทียด เรียกได้ว่าทำงานรับใช้จวนเจิ้นกั๋วกงมาทุกรุ่น

หลายปีมานี้ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงดูแลเรื่องบัญชีสำคัญภายในจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นหลัก ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงเป็นผู้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวในบัญชีทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเป็นที่เคารพของคนทั้งในจวนเจิ้นกั๋วกงและคนจากตระกูลบรรพบุรุษ

เมื่อครู่ไป๋ฉีอวิ๋นไปหาต่งซื่อด้วยท่าทียโสโอหัง ฉินหมัวมัวจึงลอบส่งคนไปตามผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงให้มาช่วยกู้สถานการณ์ นึกไม่ถึงเลยว่าไป๋ชิงเหยียนมาเพียงครู่เดียวก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงมาช้าไปก้าวหนึ่ง

“เมื่อครู่ท่านแม่ตอบรับคำขอของตระกูลบรรพบุรุษแล้ว พวกเราตัดสินใจขายกิจการ และที่ดินทั้งหมดของจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อรวบรวมเงินให้ครบ ท่านลุงไปจุดธูปเคารพศพท่านปู่และท่านพ่อที่เรือนหน้าแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับผู้เฒ่าด้วยความเคารพ

“ข้าจะไปคุยกับพวกเขาเดี๋ยวนี้ขอรับ!” ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงถือไม้เท้าเดินตัวสั่นเทาไปยังเรือนหน้าอย่างรีบร้อน

“ผู้เฒ่ากู่…” ต่งซื่อเตรียมจะเรียกผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงไว้แต่กลับโดนไป๋ชิงเหยียนจับตัวไว้เสียก่อน หญิงสาวจ้องไปยังแผ่นหลังของผู้เฒ่านิ่ง จากนั้นละสายตาหันกลับมามองต่งซื่อ “ท่านแม่ปล่อยให้ผู้เฒ่ากู่เซียนเซิงไปโวยวายเถิดเจ้าค่ะ มาได้จังหวะพอดี”

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับไป

บริเวณหน้าโถงทำพิธีที่เรือนหน้า ไป๋ฉีอวิ๋นก้มศีรษะแนบพื้นเคารพศพด้วยท่าทีจริงจังท่ามกลางแสงเทียนที่ริบหรี่

เขาคุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งทรงกลมพลางกล่าวขึ้น “ท่านลุง ญาติผู้น้อง แม้พวกท่านจะจากไปแล้ว ทว่าน้องสะใภ้เป็นคนรักษาสัญญา เรื่องที่ท่านลุงรับปากไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะซ่อมแซมหอบรรพชน สุสานบรรพชน รวมถึงสร้างสำนักศึกษา น้องสะใภ้รับปากว่าจะสานต่อให้ขอรับ!”

ไป๋จิ่นจื้อได้ยินเช่นนี้จึงเกรี้ยวกราดขึ้นตามที่ไป๋ชิงเหยียนสั่งเอาไว้

“ว่าอย่างใดนะ! ท่านป้าสะใภ้ใหญ่รับปากแล้วอย่างนั้นหรือ!”