บทที่ 76 เป็นฝีมือของเจ้าหรือไม่
แน่นอนว่าหยวนชิงหลิงไม่อาจรู้ได้ถึงความคิดภายในใจของเขา นางเพียงแค่รู้สึกว่าเขาคงไม่ถึงขนาดมะลายจิตใจที่ดีไป หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาอภิเษกกับฉู่หมิงหยาง นั่นจะทำให้ไม่เกิดเรื่องอันตรายกับเขา แต่เขากลับเต็มใจที่จะไม่ทำร้ายชีวิตของฉู่หมิงหยาง และยอมละทิ้งข้อได้เปรียบนั้นไป
ยังไม่นับว่าเป็นชายมักรัก แต่ยังเป็นชายที่ชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัวอยู่ดี
“ดีกันได้หรือไม่?” หยู่เหวินเห้ามองนางพร้อมคำถาม
น้ำเสียงของเขานั้นไร้ซึ่งอำนาจและการข่มขู่ หยวนชิงหลิงจ้องมองเขา ก็เห็นความจริงใจที่อยู่ในแววตา
นางในตอนนี้ถูกโจมตีจากทั่วทุกสารทิศ แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กันภายในกับหยู่เหวินเห้า นางพยุงหัวตัวเองขึ้น พยายามมองหน้าเขาให้ชัดเจนที่สุด ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น “ดีกันก็ได้ แต่ข้ามีข้อแม้”
“พูดมา!” หยู่เหวินเห้าตอบกลับอย่างทันควัน
“ประการแรก อย่างที่ข้าเคยกล่าวว่าห้ามทำร้ายข้า”
“ยินยอม!”
“ประการที่สอง คือห้ามใช่ข้าเป็นโล่กำบังเรื่องท่านไม่ต้องการอภิเษกพระชายาอีก หากจะต้องมีการเจรจาเรื่องอภิเษกอีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ยินยอม!”
“ประการที่สาม ห้ามมาก้าวก่ายอิสรภาพของข้าเกินไป”
“ประการนี้แน่นอนว่าได้” เขาไม่เคยคิดจะไปก้าวก่ายนางอยู่แล้ว ทั้งก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยอยากจะไปสนใจด้วยซ้ำ
“ประการที่สี่ก็คือหากมีโอกาส อยากจะขอให้ท่านหย่าร้างกับข้าเสีย พวกเราเลิกรากันแต่โดยดีจะดีกว่า” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างจริงใจ
หยู่เหวินเห้าเองพยักหน้ารับ “เจ้าวางใจได้ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเช่นกัน”
“ประการที่ห้า……”
เขาขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าจะจบหรือไม่?หากไม่ ก็อย่าดีกันเลย”
“ประการสุดท้าย” หยวนชิงหลิงจึงรีบพูดทันที “ก็คือเรื่องกล่องยาของข้า ท่านจงอย่าได้กล่าวกับผู้อื่นเด็ดขาด”
หยู่เหวินเห้าขยับเข้าไปใกล้นาง “หากต้องการให้ข้าเก็บความลับนี้เอาไว้ ก็เทียบเท่ากับว่าเป็นการให้ข้าแบกรับความเสี่ยงนี้ด้วย หากเป็นเช่นนี้เจ้าจะต้องบอกกับข้าด้วยว่ากล่องยานี้นั้นมีที่ไปที่มาอย่างไร ใช้ทำสิ่งใด และสาเหตุที่มันสามารถเปลี่ยนขนาดได้อีกด้วย”
หยวนชิงหลิงที่เมื่อสักครู่นี้พอจะลองหาข้ออ้างเอาไว้แล้ว เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้จึงได้ตอบกับทันที
“กล่องยาใบนี้ตัวข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ท่านจำตอนที่ข้าถูกท่านตีเพราะเรื่องของหกเกอเอ๋อได้หรือไม่?ในตอนนั้นข้าได้หมดสติไปแล้วก็ได้ฝัน ซึ่งในความฝันของข้ามีคนๆ หนึ่งเรียกตัวเองว่าหมอผีแล้วบอกว่าต้องการถ่ายทอดวิชาการรักษาให้กับข้า ตอนนั้นข้าคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระสิ้นดี แต่พอข้าฟื้นขึ้นมา ก็มีกล่องยากล่องนี้อยู่ข้างกายเสียแล้ว พอข้าเอื้อมมายกมันขึ้นมา กล่องยาก็หดเล็กลงแล้ว จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกราวกับว่ากำลังฝันอยู่อย่างนั้น”
ในยุคโบราณเช่นนี้ นางเองก็พอจะเคยได้ยินเรื่องหมออัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ ซึ่งก็คือหมอผีในตำนานอันเลื่องลือ แต่เขานั้นไม่ใช่คนเป่ยถัง ทั้งยังตายไปตั้งนานแล้วด้วย ทว่าทั้งห้าประเทศก็ยังมีการสืบทอดเล่าต่อตำนานเรื่องหมอผีนี้อยู่ตลอด
ส่วนหยู่เหวินเห้าที่ได้ฟังนางพูดเช่นนี้ ก็เชื่อไปไม่น้อย เพราะเรื่องของหมอผีนั้นเขาก็เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังรู้อีกว่าหมอผีนั้นมีความชำนาญในการใช้เข็มเป็นอย่างมาก และยังเป็นเข็มชนิดพิเศษอีกด้วย ซึ่งก็คงจะเป็นเข็มแบบเดียวกับเข็มที่อยู่ในกล่องยาของหยวนชิงหลิง
สิ่งที่เขาเชื่อนั้นเน้นตามหลักของความเป็นจริง เพราะเขาเคยสืบมาว่าหยวนชิงหลิงนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาการรักษา และไม่นานมานี้นางก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของนางก็เกิดขึ้นหลังจากเรื่องของหกเกอเอ๋อ
และยิ่งตามด้วยเรื่องที่ว่านางสามารถที่จะหาคำพูดหลอกลวงได้มากมาย แต่เรื่องของหมอผี ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ คิดแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกล่าวชื่นชมผู้อื่น และนางเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปั้นเรื่องขึ้นอีกด้วย
จากการวิเคราะห์แล้ว เป็นเรื่องแท้จริงแน่นอน
เขากล่าวต่อ “ข้างในกล่องยานี้มันว่างเปล่า เป็นเพราะเจ้าใช้ยาด้านในนั้นหมดแล้วงั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “ว่างเปล่า?”
นางจึงรีบเปิดกล่องยาขึ้น ปรากฏว่าด้านในนั้นเต็มไปด้วยยามากมาย “ไม่ใช่เสียหน่อย”
ดวงตาทั้งสองข้างของหยู่เหวินเห้าเกือบแทบจะหลุดออกมา เมื่อสักครู่นี้เขาเห็นกับตาว่าด้านในกล่องยานี้มีแต่ความว่างเปล่า
ผ่านไปสักพัก ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “หยวนชิงหลิงเจ้าเป็นผีล่ะมั้ง?”
ที่จริงแล้วช่วงนี้หยวนชิงหลิงพยายามที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกล่องยานี้ เพราะกล่องยาจะเปลี่ยนตามสถานการณ์หรือความคิดในสมองของนาง หรือจะกล่าวว่าสามารถควบคุมด้วยความคิดได้
และการตายของนางในยุคปัจจุบันนั้น เป็นเพราะการได้รับยาพัฒนาสมองที่ตัวเองเป็นคนทดลองศึกษาอีกด้วย
ซึ่งในระหว่างการทดลองนั้น ได้ทำการฉีดยาให้กับลิงมาก่อน แล้วปรากฏว่าลิงตัวนั้นสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ ซึ่งในตอนที่การทดลองกำลังก้าวหน้าไปอีกขั้น เป็นเพราะเจ้าลิงแอบไปขโมยดื่มไวน์ของท่านประธาน ทำให้เมาจนวิ่งไปโดนรถชนตาย
และนางก็มั่นใจอย่างมากว่าสมองของตัวเองนั้นกำลังได้รับการพัฒนา แต่ทว่าเป็นสาเหตุใดที่ทำให้หลังจากที่สมองมีการพัฒนาแล้วนางถึงได้กลายเป็นวิญญาณล่องลอยทะลุมิติหรือจิตใจที่ล่องลอยนั้น สิ่งนี้ก็ยังต้องมีการสืบค้นต่อไป
และแน่นอนว่าตอนนี้นางไม่มีความสามารถใดที่จะทำการสืบค้นทดลองได้แล้ว เวลาก็มีไม่มากพอ ทั้งยังสถานการณ์ในตอนนี้ก็ค่อนข้างจะซับซ้อนอีกด้วย เพราะความเป็นตายวนอยู่รอบหัว
และด้วยความน่าประหลาดของกล่องยา จึงทำให้ทั้งยุติการต่อเถียงไปชั่วขณะ
ไม่ว่าจะอย่างไร จวนอ๋องฉู่นับว่าเกิดความปรองดองกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังเป็นครั้งแรกด้วยที่พวกเขาทั้งสองได้ร่วมโต๊ะอาหารกัน ในขณะที่ทางฝั่งของพวกเขากำลังรื่นรมย์ แต่ทางฝั่งจวนตระกูลฉู่กำลังเกิดความดุเดือดขึ้น
วันนี้ พระชายาฉีเดินทางกลับบ้านอ๋องฉี ส่วนอ๋องฉีเพราะว่ามีธุระจึงไม่ได้เดินทางไปด้วย ทางด้านโสวฝู่ฉู่ได้เดินทางกลับมาก่อนนานแล้ว จึงสั่งให้คนใช้ไปเรียกตัวพระชายาฉีที่กำลังพูดคุยกับท่านย่าให้ไปเข้าพบยังห้องหนังสือ
ทันทีที่ฉู่หมิงชุ่ยเข้าไปในห้องหนังสือ โสวฝู่ฉู่ก็ถามด้วยความฉงนทันที “เรื่องที่มียาพิษในยาของไท่ซ่างหวงนั้น มันเรื่องอันใดกัน?”
ฉู่หมิงชุ่ยตกใจ “เสด็จปู่ เรื่องนี้หลานจะทราบได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ?” โสวฝู่ฉู่มองด้วยสายตาอันเฉียบแหลม
ฉู่หมิงชุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นอ๋องจี้หรือเปล่าเจ้าคะ?”
“อ๋องจี้ไม่ใช่คนโง่เขลา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้คิดว่าเป็นช่วงที่เขาเหมาะจะลงมือกับไท่ซ่างหวงงั้นหรือไร?” โสวฝู่ฉู่จ้องฉู่หมิงชุ่ย “เจ้ากำลังแอบกระทำบางอย่างลับหลังข้าอยู่ชาหรือไม่?”
ฉู่หมิงชุ่ยส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “สิ่งที่หลานทำทั้งหมด ล้วนทำตามคำสั่งของเสด็จปู่ โดยไม่มีสิ่งใดปิดบังเสด็จปู่เลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของโสวฝู่ฉู่เยือกเย็นอย่างมาก “เช่นนั้นเรื่องของแม่นมสี่มันเป็นเช่นไร? เพราะเหตุใดนางถึงได้รับฟังจากเจ้าแล้วนำไข่มุกหนันของพระชายาฉู่ส่งไปยังทางฮองเฮางั้นหรือ ?”
เป็นเพราะเรื่องนี้ฉู่หมิงชุ่ยเคยถูกฮองเฮาตำหนิมาแล้ว ดังนั้นนางจึงคิดว่าเป็นฮองเฮาที่เป็นผู้แจ้งความเรื่องนี้ จึงเตรียมที่จะหาข้ออ้าง “ครั้งนี้เป็นเพราะหลานประมาทไป เดิมทีมัวแต่หวังอยากจะให้เกิดความบาดหมางระหว่างเสียนเฟยและพระชายาฉู่ กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำให้ท่านน้าจะไปแจ้งให้กับฝ่าบาท”
“ข้าเพียงอยากจะถามเจ้า ว่าเหตุใดถึงได้เป็นแม่นมสี่?” โสวฝู่ฉู่จ้องนางเขม็งด้วยสายตาที่เยือกเย็น
ฉู่หมิงชุ่ยที่ถึงแม้จะต้องเผชิญกับสายตาที่น่าเกรงขามดุจสายฟ้า จนทำให้ใจสั่นแต่นางก็ยังตอบกลับอย่างน้ำไหล “ในตอนที่อยู่ในวัง แม่นมสี่นั้นให้การดูแลข้าเป็นอย่างดี การลงมือครั้งนี้ของหลาน ก็นับว่าเป็นการช่วยจัดการแผนของแม่นมด้วย แต่เสด็จปู่โปรดวางใจได้ เพราะฝ่าบาทนั้นไม่ได้ถือโทษอันใด ท่านน้าเองก็ให้การช่วยเหลือข้า โดยบอกว่าข้าเพียงแค่ต้องการให้พระชายาฉู่และฮองเฮานั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเท่านั้น”
“เมื่อวานนี้ข้าเข้าวัง และฝ่าปาทเป็นกล่าวตักเตือนข้าเอง ให้ข้ากลับมาอบรมสั่งสอนเจ้า เจ้าคิดว่าท่านน้าของเจ้าเป็นคนที่แจ้งกับข้างั้นหรือ ?” โสวฝู่ฉู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง
ฉู่หมิงชุ่ยถึงกับใจสั่น “ฝ่าบาทพิโรธงั้นหรือเจ้าคะ?”
“แม่นมสี่ไม่มีทางที่จะได้ดูแลเจ้าหรอก เจ้าข่มขู่นาง ใช่หรือไม่ใช่?”
ฉู่หมิงชุ่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่จริงๆ เจ้าค่ะ หลานจะกล้าไปข่มขู่คนของพระตำหนักฉินคุนได้อย่างไรกัน?ไม่ว่าหลานจะสะเพร่ามากเพียงใดก็ไม่อาจทำความผิดเช่นนี้ได้หรอกเจ้าค่ะ”
โสวฝู่ฉู่ยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ได้สะเพร่าหรอก เป็นเพราะเจ้ารู้ความสัมพันธ์ของแม่นมสี่กับข้า เจ้าเลยรู้ว่าครั้งนี้นางจะต้องช่วยเจ้าแน่ แม้แต่เรื่องการวางยาใน พระตำหนักฉินคุน ก็เป็นเจ้าที่บงการให้นางทำ”
ฉู่หมิงชุ่ยตกใจอย่างหนัก “ไม่เจ้าค่ะ จะเป็นไปได้อย่างไร?หลานจะทำเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใดเล่า?”
โสวฝู่ฉู่จ้องมองนาง “ทางที่ดีเจ้าควรจะยอมรับมาแต่โดยดี ตำแหน่งของ พระชายาฉี ข้าสามารถที่จะยกเจ้าขึ้นไปได้ ก็สามารถที่จะดึงเจ้าลงมาได้เช่นกัน ทางที่ดีเจ้าอย่ามาท้าทายความอดทนของข้าจะดีกว่า”
ฉู่หมิงชุ่ยยงคงนิ่งสงบ “เสด็จปู่ท่านฟังข้าพูดก่อน……”
“พูดมา!” โสวฝู่ฉู่คำรามออกมาทำให้ฉู่หมิงชุ่ยตกใจจนต้องคุกเข่าลงทันที