บทที่ 150 โอกาสในสงคราม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 150 โอกาสในสงคราม

“อาวุธเวทอยู่ชั้นสาม ผู้อาวุโสเชิญ!”

ได้ยินว่าสวี่ชิงจะซื้ออาวุธเวท เด็กสาวที่เคยดูแลต้อนรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของสำนักมามากมายก็รู้ทันทีว่าคนอายุรุ่นเดียวกันที่หน้าตาดีสุดๆ ข้างหน้าคนนี้จะต้องเป็นระดับสร้างฐานแน่นอน

ทำให้ใจของสาวน้อยสั่นไหว คำเรียกก็เปลี่ยนไป ดวงตายิ่งเป็นประกายวาววับ นำทางด้วยความเคารพนอบน้อม

ในขณะเดียวกัน ในอาคารแห่งนี้นางก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้น ไม่ได้ให้สวี่ชิงเดินนำหน้าไปก่อน แต่เป็นฝ่ายกระตือรือร้นก้าวขึ้นมานำทางอยู่ข้างหน้า

การกระทำนี้ไม่ได้เป็นการเสียมารยาท อีกทั้งจากการเดินขึ้นบันได ร่างของนางก็เผยเส้นโค้งเว้าออกมาให้เห็นอย่างไม่ได้ตั้งใจในขณะเดิน ก้นงามงอนนั่นยิ่งเห็นชัดเป็นพิเศษ มันทำให้เสื้อคลุมยาวนูนขึ้น วาดเค้าโครงทรงลูกท้อขึ้นมา

ในขณะที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน หางม้าทั้งสองที่แกว่งไปมายังเพิ่มความใสซื่อบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

น่าเสียดายที่สวี่ชิงเมินไป

ดังนั้นหลังจากที่ขึ้นมาชั้นสาม ในใจของเด็กสาวก็ห่อเหี่ยวเล็กน้อย นางสัมผัสความคิดอกุศลจากสวี่ชิงไม่ได้เลย แต่นางก็จัดการกับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่นำสวี่ชิงเข้ามาในห้องหนึ่งแล้วก็ถามถึงความต้องการอาวุธเวทอย่างเคารพนอบน้อม

“ประเภทโจมตี ราคาไม่เกินสามแสนหินวิญญาณ!” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

เด็กสาวได้ยินก็พยักหน้า ถอยออกไป ไม่นานนัก ยามที่นางกลับมาก็ประคองถาดไว้ใบหนึ่ง บนนั้นมีของวางอยู่สามชิ้น

เป็นกระบี่เล็กสีฟ้าเล่มหนึ่งมียันต์แผ่นหนึ่งติดเอาไว้ ผนึกระลอกคลื่นพลังของกระบี่เล่มนี้เอาไว้เก้าส่วน แผ่ออกมาเพียงหนึ่งส่วนให้คนได้สัมผัส

ชิ้นที่สองเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง มีไข่มุกสีดำขนาดเท่าเล็บมือห้าเม็ดติดอยู่ มียันต์ผนึกเอาไว้เช่นกัน

ชิ้นสุดท้ายเป็นกระดิ่งลูกเล็กสีแดงลูกหนึ่ง

“กระบี่คีรียะเยือกนี้แฝงด้วยพลังทะเลต้องห้าม ระหว่างขั้นตอนตีขึ้นเคยอยู่ใต้ทะเลมาสามปี ทำให้ความเย็นของมันน่าตกใจ ใช้พลังเวทขับเคลื่อนสามารถสลายความเย็นออกไปได้ อีกทั้งเชี่ยวชาญด้านความเร็ว คมกริบเป็นอย่างยิ่ง”

“มุกห้าพิฆาต มุกทุกเม็ดล้วนผนึกพลังธาตุทองพิฆาตเอาไว้ เมื่อสลายมันจะเปลี่ยนเป็นอัสนีลงทัณฑ์ สังหารทุกสิ่ง นอกจากผลาญพลังจนหมดสลายไป ไม่เช่นนั้นจะไม่เลิกรา วิธีใช้คือในขณะเดียวกับที่ผสานพลังเวทเข้าไปก็ให้สลักชื่อของศัตรูลงไปบนนั้น”

“สุดท้ายคือกระดิ่งวิญญาณคนเป็น เมื่อสั่นกระดิ่งจะทำให้วิญญาณของศัตรูสะเทือนหยุดอยู่กับที่ แต่ไม่มีผลกับสิ่งแปลกประหลาด มีผลต่อผู้บำเพ็ญที่มีกายเนื้อเท่านั้น อีกทั้งอาวุธชิ้นนี้มีข้อเสียคือเมื่อสำแดงขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ก็เป็นผู้บำเพ็ญกายเนื้อเช่นกัน ดังนั้นก็จะได้รับอิทธิพลเช่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นอาวุธเวทประเภทวิญญาณที่หาได้ยาก ดังนั้นราคาจึงสูงกว่า”

“กระบี่คีรียะเยือกสองแสนเจ็ดหมื่นก้อนหินวิญญาณ มุกห้าพิฆาตสามแสนก้อนหินวิญญาณ กระดิ่งวิญญาณเป็นสามแสนสามหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส จากนั้นก็มองสวี่ชิง

สายตาสวี่ชิงกวาดไปบนของทั้งสามชิ้นนี้ ภายนอกดูเหมือนปกติ แต่ข้างในกลับสะท้อนใจถึงความแพงของอาวุธเวท แต่เขารู้ว่าตัวเองก่อนที่จะเปิดสภาวะแสงนภาได้ อาวุธเวทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะ…เขารู้สึกว่าในเมื่อสงครามจะเกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องเตรียมตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นหากข่าวแพร่ออกไป น่ากลัวว่าจะยิ่งแพงขึ้นอีก

อาวุธเวทสามชิ้นนี้ความจริงแล้วเขาชอบหมด แต่หากซื้อทั้งสามชิ้นเขาก็ไม่มีปัญญา

เขายังต้องซื้อแผ่นหยก ยังต้องซื้อสมุนไพรพิษอีกเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นหลังจากดูแต่ละชิ้นแล้ว สุดท้ายสวี่ชิงก็กัดฟันซื้อกระดิ่งวิญญาณเป็นมา ของชิ้นนี้แม้จะมีข้อเสีย แต่สวี่ชิงมีวิธีแก้ไข

เขาเตรียมมัดมันไว้กับเหล็กแหลมสีดำ ให้บรรพจารย์สำนักวัชระไปฆ่าศัตรูในระยะไกล และบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไม่ใช่วิญญาณมีเลือดเนื้อ แต่เป็นวิญญาณอาวุธ ไม่ได้รับอิทธิพล

“เอาชิ้นนี้” สวี่ชิงถือกระดิ่งวิญญาณเป็นเอาไว้ เอ่ยเนิบนาบ

เด็กสาวตื่นเต้นเล็กน้อย จะอย่างไรการขายอาวุธเวทเป็นธุรกรรมมูลค่าสูง ดังนั้นหลังจากที่ทำการแลกเปลี่ยนให้สวี่ชิงอย่างนอบน้อมแล้ว ก็พาเขาไปยังชั้นสองเพื่อหาแผ่นหยกตามความต้องการของเขา ที่นี่สวี่ชิงซื้อแผ่นหยกเพิ่มการป้องกันสามชิ้นและแผ่นหยกประเภทโจมตีอีกหนึ่งชิ้น ก็จ่ายไปอีกหนึ่งแสนสองหมื่นหินวิญญาณ

ตอนเดินออกมาจากร้านแห่งนี้ สวี่ชิงลูบๆ คลำๆ กระเป๋าของตัวเองแล้วลอบถอนหายใจ

ในตอนที่เป็นระดับรวมปราณเขาคิดว่าทรัพยากรที่ระดับรวมปราณต้องใช้แพงมาก ตอนเป็นระดับสร้างฐานเขาคิดว่าระดับรวมปราณยังดี ลูกกลอนสร้างฐานถึงจะเป็นสิ่งที่แพงที่สุด แต่ตอนนี้เขานึกย้อนอดีต รู้สึกว่าของพวกนั้นไม่นับเป็นอะไรเลย

แผ่นหยกและอาวุธเวธระดับสร้างฐานถึงจะเป็นของที่แพงที่สุด

‘แล้วเรือเวทต้องยกระดับก็ต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมหาศาลเหมือนกัน…’

สวี่ชิงส่ายหน้า ตอนนี้ซื้ออาวุธเวทเสร็จก็สะกดความปวดใจลงไป เตรียมไปหาสมุนไพรที่เมืองหลักเขตชำระวิญญาณของยอดเขาที่สอง อย่างไรเสียความหลากหลายของสมุนไพรในเขตท่าเรือเทียบกับเขตชำระวิญญาณไม่ได้เลย

ในขณะเดียวกันเขาก็อยากไปดูว่ามีแมงดาพรายปรารถนาและหอยโบราณขายหรือไม่ นี่เกี่ยวพันกับความต้องการสำหรับการออกทะเลเพื่อดึงดูดอสูรทะเลทะลวงช่องเวท

แต่ในตอนที่สวี่ชิงอยู่ระหว่างทางไปเขตชำระวิญญาณของยอดเขาที่สอง ป้ายฐานะของเขาก็สั่น สวี่ชิงเอาออกมาดู เป็นจางซานที่สื่อเสียงหาเขา

“สวี่ชิงกลับมาแล้วหรือ”

“กลับมาเมื่อวาน” สวี่ชิงตอบ

“เจ้าอยู่ที่ใดหรือ มาหาข้าที่นี่สักหน่อยได้หรือไม่ หรือให้ข้าไปหาเจ้า ข้ามีเรื่องใหญ่อยากจะหารือด้วย”

“ข้าเตรียมไปดูสมุนไพรที่เขตชำระวิญญาณสักหน่อย” สวี่ชิงค่อนข้างสงสัยว่าจางซานจะมาหาตนด้วยเรื่องอะไร ในขณะเดียวกันก็นึกถึงบันทึกที่นายกองมาหาหลายครั้งที่กลางถ้ำของตน

“ได้ เขตชำระวิญญาณมีร้านสมุนไพรชื่อร้านร้อยพันสมุนไพร พวกเราเจอกันที่นั่น”

สื่อเสียงเสร็จสิ้น

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เดินไปทางเขตชำระวิญญาณยอดเขาที่สอง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หาร้านร้อยพันสมุนไพรที่จางซานบอกเจอ ร้านนี้ใหญ่มาก นับเป็นร้านดังในเขตที่สอง

สวี่ชิงมองเห็นจางซานนอกร้านร้อยพันสมุนไพรมาแต่ไกล

เขานั่งอยู่บนบันไดข้างๆ พลางสูบกล้องสูบ ชุดนักพรตสีเทาทั้งร่างไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาเอาเสียเลย หลังจากที่เห็นสวี่ชิงใบหน้าจางซานก็เผยรอยยิ้มออกมา ลุกขึ้นปัดฝุ่นบนก้น แล้วก้าวเดินมาอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์น้องสวี่ ช่วงสามสี่วันนี้นายกองไปหาเจ้าหรือไม่” หลังจากเข้าใกล้ จางซานก็ดึงสวี่ชิงมายังมุมหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำ

“หลังจากที่ข้ากลับมาก็ยังไม่เจอนายกองเลย” สวี่ชิงมองจางซานอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้านั่นช่วงนี้เที่ยวยืมเงินไปทั่วเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เกือบเอาสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของข้าไปจำนอง บอกกับข้าว่าเขาจะซื้อวิธีปลอมตัวเป็นเผ่าอื่น หากสำเร็จอย่างน้อยจะได้กำไรร้อยเท่า ข้าคิดแล้วเขาน่าจะไปหาเจ้าเหมือนกัน”

“ศิษย์น้องสวี่ สิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของเจ้ายังอยู่ใช่หรือไม่” จางซานมองสวี่ชิงด้วยใบหน้าคาดหวัง

“ยังอยู่” สวี่ชิงพยักหน้า

“เยี่ยมไปเลย!” จางซานหัวเราะร่า เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สวี่ชิง เจ้ามอบสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของเจ้าให้ข้าเถอะ นายกองทางนั้นข้าอุตส่าห์โน้มน้าวได้ เขาถึงไม่เอาสิทธิ์ของตัวเองออกไปจำนำ หากเป็นแบบนี้เมื่อรวมกับสิทธิ์ของเจ้า พวกเราก็จะลงมือทำการณ์ใหญ่กัน

“ข้าได้ข่าวที่แม่นยำว่าสำนักจะเปิดสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร เรื่องนี้ความจริงหลายๆ คนก็เดาได้ แต่ว่าข่าวเช่นนี้ แต่ละคนมีความคิดมุมที่ต่างกัน นี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

“บางคนได้ยินคำว่าสงครามสิ่งที่คิดคืออยากเอาตัวรอด สิ่งที่บางคนคิดคือจะสร้างคุณูปการอย่างไร บางคนก็เครียดตื่นตระหนกหวาดกลัว แล้วก็มีบางคนที่คิดถึงเรื่องรวย แต่กลัวไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร

“พวกเขาอย่างมากสุดก็แค่กักตุนทรัพยากรก็เท่านั้น แต่ข้าไม่เหมือนพวกเขา” จางซานพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็แสดงความภาคภูมิใจออกมา

“สวี่ชิง ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเมื่อสงครามเริ่มขึ้นก็จะเป็นโอกาสรวย ตอนนี้อย่าไปคิดกว้านซื้อทรัพยากร ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งยังจะถูกเกลียดด้วย

“พวกเราไม่หาเงินกับคนสำนักเดียวกัน พวกเราหาเงินกับสำนัก!

“ครั้งนี้ทำสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร สำนักจะต้องดำเนินการใหญ่แน่นอน ถึงตอนนั้นจะต้องใช้ท่าเรือทั้งหมดเพื่อให้บริการในการทำสงคราม ไม่ว่าจะวางอาวุธเวทหรือปล่อยเรือรบ หรือความต้องการในการเดินทางของลูกศิษย์ทุกยอดเขา ท่าเรือจะเป็นสถานที่สำคัญ

“ส่วนท่าเรือของยอดเขาที่เจ็ดมีจำนวนจำกัด ดังนั้นตอนนี้หากพวกเราบุกเบิกท่าเรือสามแห่งอีกทั้งยังเชื่อมด้วยกัน อ่าวที่ใหญ่ขนาดนี้สำนักจะต้องเลือกใช้เป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน

“และมาใช้ก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นพวกเราขอแค่สร้างมันขึ้นง่ายๆ ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นก็ได้แล้ว ออกแบบให้มีท่าจอดเรือให้มากหน่อย ข้าคำนวณแล้ว โดยพื้นฐานถ้าสงครามครั้งนี้รบกันสามเดือนพวกเราก็จะได้ทุนคืน หากรบหนึ่งปีพวกเราจะได้กำไรอย่างน้อยสี่เท่า!

“และเวลาที่ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันมีแต่จะยิ่งนาน โอกาสนี้ร้อยปีก็ยากจะได้พบ ต้องทำนะ”

ได้ยินคำพูดของจางซาน สวี่ชิงดวงตาเบิกโพลง มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ในใจมีความนับถือผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เขารู้สึกว่าความเฉียบคมว่องไวในการหาเงินของจางซานอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป

สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง ในใจจางซานก็เบิกบานนัก หัวเราะร่าขึ้นมา

“สวี่ชิงเจ้าไม่ต้องออกหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียวเหมือนกับนายกอง แค่เอาสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือมาให้ข้าก็พอ การลงทุนในช่วงแรกข้าออกเอง ถึงตอนนั้นผลประโยชน์ทั้งหมดเจ้ากับนายกองคนละสองส่วนครึ่ง ข้าเอาห้าส่วนตกลงหรือไม่”

“อีกทั้งหลังจากที่สงครามสิ้นสุดท่าเรือก็จะยังคงดำเนินการต่อไป แบบนี้ผลการเก็บเกี่ยวก็จะเป็นระยะยาว” จางซานมองสวี่ชิง รอคำตอบรับของเขา

สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นป้ายแผ่นหนึ่งให้จางซาน ป้ายนี้ก็คือป้ายสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือ

จางซานเมื่อรับมาแล้วสีหน้าก็ฉายความฮึกเหิมออกมา เหมือนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

“หลังจากนี้หนึ่งปีข้ามีความมั่นใจว่าอย่างน้อยๆ เจ้าจะมีหินวิญญาณหลายล้านก้อนเลย!” จางซานหัวเราะฮ่าๆ เอาแผ่นหยกออกมา เริ่มติดต่อเส้นสายของเขาวางแผนเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือให้สวี่ชิงแล้วเอ่ยลาจากไป

มองจางซานเดินจากไปจนลับตา ในใจสวี่ชิงรู้สึกสะท้อนใจนัก เขารู้สึกว่าจางซานเป็นอัจฉริยะเลิศล้ำจริงๆ ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ด้านหลอมอาวุธเท่านั้น ความเร็วในการบำเพ็ญก็เหมือนจะไม่ช้า อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสดมกลิ่นในการหาเงินที่น่าตื่นตะลึง

“หวังว่าหนึ่งปีหลังจากนี้จะได้ส่วนแบ่งที่มากขนาดนั้นจริงๆ” นึกถึงหินวิญญาณหลายล้านก้อนที่จางซานบอกว่าตนจะได้รับส่วนแบ่งในหลังจากนี้หนึ่งปี หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย

มูลค่าของผลประโยชน์ที่จางซานว่ามามหาศาลนัก นี่ดึงดูดสวี่ชิงที่ตอนนี้กระเป๋าว่างโล่งได้อย่างเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่งสวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก เดินเข้าไปในร้านร้อยพันสมุนไพร

หลังจากนั้นสองก้านธูป สวี่ชิงที่ซื้อสมุนไพรพิษทุกอย่างแล้วก็เดินออกมา แม้เขาจะจ่ายหินวิญญาณไปไม่น้อยที่ร้านนี้ แต่ในใจของเขาก็ค่อนข้างจะพอใจ เนื่องจากสมุนไพรพิษที่นี่มีจำนวนมากมายจริงๆ กระทั่งว่าเหนือกว่าสมุนไพรหยาง

สวี่ชิงรู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นลักษณะของร้านสมุนไพรปกติที่ควรจะเป็น

ในเมื่อสมุนไพรส่วนมากสุดท้ายแล้วก็ล้วนมีพิษทั้งนั้น

เขาซื้อสมุนไพรพิษที่อดีตเคยเห็นแค่ในตำราที่ปรมาจารย์ไป่ทิ้งเอาไว้ให้เท่านั้นได้มากมายจากที่นี่ ตอนนี้คิดว่าจะกลับไปลองหลอมยาพิษใหม่เสียหน่อย

ในใจของเขาเสียดายแค่ว่าที่นี่ไม่มีแมงดาพรายปรารถนาเหมือนกัน แต่ผู้ดูแลบอกว่าสั่งจองโดยจ่ายเงินเต็มจำนวนได้ ประมาณหนึ่งเดือนก็มารับได้ สวี่ชิงจึงตกลง

‘จะต้องหลอมยาพิษที่ทำให้ระดับสร้างฐานตายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับเผ่าสิงซากสมุทร!’

สวี่ชิงผุดลุกขึ้น มุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำยอดเขาที่เจ็ด 艾琳小說

เวลาไหลไป สวี่ชิงหลอมยาพิษและฝึกบำเพ็ญในถ้ำ เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ข่าวหนึ่งแพร่ไปในสำนักอย่างรวดเร็ว สร้างความสนใจให้กับทุกคน กระทั่งว่าบรรยากาศทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีความกดดันจากการแพร่ไปของข่าวนี้

“เผ่าสิงซากสมุทรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเหมือนจะเปิดสงครามเต็มรูปแบบ!”