หรงอี้รับขวดยามาจากเด็กหนุ่ม เผลอแตะโดนมือเขาไปเล็กน้อย มันเย็นเฉียบ ไม่เหมือนกับอุณหภูมิปกติของมนุษย์
เขาสะดุ้งไปเล็กน้อยแต่ไม่คิดอะไรมาก
หลังเหลียนฉ่าวเจี๋ยกลืนยาลงไป อาการก็ทรงตัว ใบหน้าที่เขียวม่วงของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อย
ผู้อาวุโสจินเห็นเช่นนั้นแล้วก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อ ผุดลุกขึ้นจ้องใบหน้างดงามของเด็กหนุ่ม “คุณชายท่านนี้ได้ยามาจากที่ใดกัน? ให้ผลมหัศจรรย์นัก!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสจินคงคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คนจะโชคดีได้ยาล้ำค่ามา ด้วยเด็กหนุ่มยังดูเด็กนัก เขาจึงไม่อาจคิดเป็นอื่นไปได้
ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มน่ามองหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “แม้จะยังโง่เขลานัก แต่ข้าก็เป็นนักปรุงยาเช่นกัน”
ผู้อาวุโสจินเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน ชะงักค้างไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็คุมสติกลับมาได้ “ช่างเป็นคุณชายอายุน้อยหากแต่อนาคตไกลเสียนี่กระไร! คุณชายได้รับการสั่งสอนมาจากที่ใดกัน? ยานี่คงจะเป็นฝีมืออาจารย์คุณชายเป็นแน่!”
เขาดูอยากฟังคำตอบนัก ด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น
แต่เคราะห์ร้ายที่ต้องผิดหวังไป
“ข้าไร้สำนักไร้ตระกูล แต่สนใจการแพทย์ตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงพอรู้เรื่องบ้าง” ชิงอวี่เอ่ยอย่างถ่อมตน
“เช่นนั้น….. คุณชายสนใจจะเข้าสำนักละอองหมอกบ้างหรือไม่?”
พูดจบแล้ว ไม่เพียงผู้อาวุโสเหยียนชะงักไป กระทั่งหรงอี้ยังดูตกตะลึงไปเช่นกัน
ในหมู่ผู้อาวุโสทั้งสิบสองแห่งสำนักละอองหมอก อาจกล่าวได้ว่าผู้อาวุโสจินเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายที่สุด มาตรฐานสูงที่สุด กระทั่งบุตรชายตนเองที่ยังเก่งกาจไม่พอจะไม่ได้รับความสนใจจากเขา ทั่วทั้งสำนักมีเพียง 5 อันดับแรกที่พอจะได้เห็นด้านเป็นมิตรจากเขาบ้าง
ไม่ใช่เพราะเขาเย่อหยิ่งเกินควร ผู้อาวุโสจินไม่ได้เป็นเพียงนักปรุงยาเท่านั้น แต่ยังมีป้ายยอมรับในฐานะนักปรุงยาฝีมือโดดเด่นจากสมาคมนักปรุงยาในแดนธาราขาวอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ทำตนหยิ่งผยองได้ และแม้หรงอี้จะปะทะคารมกับชายชราอยู่ตลอด แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็นับถือผู้อาวุโสท่านนี้ไม่น้อย
เด็กหนุ่มที่ทำให้ผู้อาวุโสเห็นครั้งแรกแล้วสนใจได้นับว่าเห็นได้ไม่บ่อย
การเชื้อเชิญสายฟ้าแลบทำเอาชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วน้ำเสียงยามเอ่ยตอบเจือแววขัน “ตอบผู้อาวุโสตามตรง เดิมทีข้าสนใจสำนักละอองหมอกมาก แต่หลังจากที่ได้เห็นแล้ว มาตรฐานของสำนักละอองหมอก… ดูเหมือนจะต่างกับสิ่งที่ข้าได้ยินมานัก”
คำพูดคำจามีไหวพริบ แต่ก็เผยเจตนาอย่างชัดเจน
ผู้อาวุโสจินหัวเราะเสียงดัง “แน่นอนว่ามาตรฐานของสำนักละอองหมอกย่อมมีมากกว่าที่เจ้าเห็น บอกเจ้าตามตรง ศิษย์ฝีมือดีสำนักละอองหมอกล้วนบำเพ็ญตนอยู่นอกสำนัก ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการประลองครั้งนี้จึงเป็นการกวาดล้างศิษย์อ่อนแอ และอีกสิ่งหนึ่งคือเจ้าได้เห็นแล้ว เพื่อเป็นการรับมือกับแปดปีศาจแดนสีเลือดที่มาพร้อมกับจุดประสงค์ชั่วร้าย”
ชิงอวี่นัยน์ตาส่องประกายวาบ จากนั้นจึงเอ่ยถามจี้จุด “หมายความว่าอันดับของศิษย์ฝีมือทั้งหลายนี้….. จัดตามใจพวกท่านเลยกระนั้นหรือ?”
“จะว่าเช่นนั้นไม่ได้ แต่ศิษย์ของเรามีไม่น้อยที่มีนิสัยแปลกประหลาดพิสดาร ไม่สนใจเรื่องอันดับนัก ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่เข้าร่วมการประลอง นอกจาก 5 อันดับแรกที่สมอันดับแล้ว อันดับอื่น ๆ จึงไม่นับว่าอะไรมากนัก”
ผู้อาวุโสเหยียนที่ดูอ่อนโยนสง่างามเองก็เข้ามาร่วมคุยด้วยพร้อมเสียงหัวเราะ สายตาเหลือบมองไปยังหรงอี้ หนึ่งในศิษย์ที่ ‘มีนิสัยแปลกประหลาดพิสดาร’ อย่างอดไม่ได้
หรงอี้ “…..”
ชิงอวี่พยักหน้าเข้าใจ เป็นเช่นที่ชิงเป่ยกล่าวไว้ การประลองของสำนักละอองหมอกเป็นเพียงการทำเพื่อคัดเลือกออกเท่านั้น
พวกนางยืนคุยกันสนุกสนาน ในขณะที่เหล่าศิษย์ที่อยู่อีกด้านสังหารค้างคาวดูดเลือดจนใกล้จะกระอักเลือดเต็มที ทว่าจำนวนค้างคาวกลับดูไม่ลดลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังโจมตีดุร้ายกว่าเดิม กระทั่งศิษย์ใน 20 อันดับแรกยังเริ่มมีร่องรอยความเหนื่อยล้าปรากฏ
เยี่ยนหนิงลั่วถูกค้างคาวข่วนเข้ายามไม่ทันระวัง เคราะห์ดีที่ปลายกรงเล็บมันไร้พิษใด ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจจินตนาการถึงผลที่อาจเกิดได้
แปดปีศาจแดนสีเลือดที่ซ่อนกายอยู่ในความมืด มองดูความโกลาหลและภาพที่คนหลายคนล้มลงด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว มองเหล่าศิษย์ที่พบเภทภัยด้วยความสนุกสนาน นัยน์ตาชายตางูพลันส่องประกาย งูสีสันต่าง ๆ พลันปรากฏขึ้นรอบกายเขา จากนั้นกระโจนเข้าสู่กลางความโกลาหลนั้น หวังจะทำให้ศิษย์ทั้งหลายต้องทรมานกว่าเก่า
“อ๊าก งู!”
“ระวังด้วย! งูพวกนั้นมีพิษ!”
ก่อนพวกเขาจะมาที่ป่าโคลนสาบสูญ ด้วยกลัวว่าจะพบทั้งหนูและงู บางคนจึงพกกำมะถันมาด้วย เมื่อเห็นงูจึงขว้างกำมะถันเข้าใส่ งูนั้นกลัวกำมะถันที่สุด เมื่อถูกจะตายในที่สุด
แต่เขาใสซื่อเกินไป งูเหล่านั้นไม่เพียงไม่ตาย แต่เมื่อถูกกำมะถันก็ดูยิ่งกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิม
ตาสามเหลี่ยมของมันพลันมีแสงสีแดงเรืองออกมา กระโจนกัดข้อเท้าคนผู้นั้น พิษหลั่งเข้าสายเลือดทันที ร่างของเขาเริ่มกระตุกไปมารุนแรง ที่ปากมีฟองออกมา ก่อนจะล้มลงและหยุดหายใจไปในที่สุด
“หึ พวกโง่” ชายตางูหัวเราะเย้ย “เด็ก ๆ ของข้ากินกำมะถันมาตั้งแต่เด็ก ชอบกำมะถันที่สุด”
งูเป็นสัตว์เลือดเย็นและดุร้าย คนเห็นมันจึงกลัวโดยไร้เหตุผล เมื่อเห็นงูนับพันตัวจึงทำอะไรไม่ถูก กลัวกว่าตอนที่เห็นค้างคาวดูดเลือดเป็นฝูงเสียอีก เป็นตอนนั้นเองที่เสียงไพเราะของขลุ่ยพลันดังมาจากที่ไกล บ้างเรียบเรื่อยบ้างเร่าร้อน แฝงพลังกดดันมหาศาลไว้ภายใน เจอไอสังหารเยียบเย็น
ค้างคาวดูดเลือดและงูพิษที่ดูดุร้ายพลันชะงักค้างไปในพลัน อีกทั้งยังหยุดการฆ่าสังหารแล้วไหวตัวไปตามจังหวะขลุ่ย หลงใหลไปกับท่วงทำนอง ไม่อาจหลุดออกจากบ่วงเพลงได้
“อะไรกัน?” ใบหน้าชายตางูทะมึนลง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
พวกมันไม่อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป!
เสียงขลุ่ยยังดำเนินต่อไป เรียบเรื่อยไม่รีบร้อน เป็นโทนเสียงมีเสน่ห์ที่ไหลเข้าจับกุมใจคนคล้ายกับลำธารในยามวสันต์ ชโลมจิตใจให้ผ่อนคลาย ใช้ได้ผลกับทั้งค้างคาวและงู ลวงให้พวกมันต้องมนต์
“เป็นการโจมตีด้วยเสียงที่ทรงพลังนัก” ชิงอวี่พลันเอ่ย “ค้างคาวและงูเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประสาทสัมผัสการรับเสียงว่องไว หากคิดจะควบคุมพวกมัน ใช้เสียงย่อมดีที่สุด”
หรงอี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางผู้อาวุโสเหยียน “พวกเขากลับมากันแล้วหรือ?”
ผู้อาวุโสเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แดนมุกหยกไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เสียงในการโจมตีไม่มาก อาจจะเป็นเช่นนั้น”
หลังจากน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูบรรเลงไปสักระยะ เสียงขลุ่ยก็เปลี่ยนจังหวะ กลายเป็นเร่งเร็วบีบคั้น เต็มไปด้วยความมืดมิดและความผิดบาป ได้ยินแล้วพลันรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว คนที่มีพลังป้องกันต่ำยกมือขึ้นกุมหัวแล้วร้องโหยหวนออกมาทันที หลายคนกระแทกหัวลงพื้น ไม่รับรู้อันใดแม้หยาดโลหิตจะไหลชุ่มหน้า เพียงอยากกำจัดความเจ็บปวดที่ได้รับออกไปเท่านั้น ขจัดแรงบีบคั้นที่ฉีกกระชากจากภายในใจ
ค้างคาวดูดเลือดนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรีดร้องลั่น คลื่นเสียงทรงพลังทำลายแก้วหูคนโดยรอบ ในขณะที่งูหลากสีพากันส่งเสียงฝ่อ ๆ ออกมาไม่หยุด ก่อนที่พริบตาต่อมาจะเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น
“ตูม ตูม ตูม!”
“ตูม ตูม ตูม!”
เสียงระเบิดเคล้าโลหิตและชิ้นเนื้อก็กระเซ็นไปทั่ว เกิดเป็นเสียงบรรเลงไพเราะคลอเสียงขลุ่ย
ศิษย์ที่โชคดีหน่อยรอดชีวิตมาได้ก็พลันชะงักค้างไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เด็ก ๆ ของข้า!” ชายตางูร้องขึ้นด้วยความโกรธ นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ทำท่าราวกับจะกระโดดออกไปจัดการเองเสียอย่างนั้น
ชายหน้าลายแมงป่องที่ยืนอยู่ข้างหลังดึงเขาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายเสียการควบคุมไป
ภาพตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
ศิษย์หลายร้อยคนต่อสู้มานานกว่าหนึ่งชั่วยามไม่เห็นผลแพ้ชนะ! เหตุใดหลังจากได้ยินเสียงขลุ่ยแล้วพวกมันจึงพากันตายหมดเลยเสียเล่า? อีกทั้งยังเกิดขึ้นโดยไร้สัญญาณเตือน พวกมันไม่อาจต้านรับได้เลย!
หรือจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากที่ใดมาช่วยหรือ?
ชิงอวี่เองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ใช้ขลุ่ยเช่นกัน เสียงนั้นคล้ายกับมาจากที่ไกล ๆ สามารถใช้เสียงจัดการศัตรูได้จากที่ไกลเช่นนั้นเลยหรือ? เป็นพลังที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ในขณะที่ทุกคนพากันตื่นตะลึงอยู่นั่นเอง ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ ค่อย ๆ เผยตัวตนต่อสายตาผู้คน
เงาร่างนั้นค่อย ๆ เยื้องย่างเดินบนซากศพค้างคาวและงูทั้งหลาย สวมขุดคลุมยาวสีเขียว ไม่เปรอะโลหิตแม้สักหยด
คนผู้นั้นสวมหมวกไม้ไผ่กว้าง ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเป็นจอมยุทธ์ที่กล้าหาญแห่งยุทธภพ เห็นชัดจากที่ไกล พริบตากลับเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกย่างก้าวเคลื่อนไหวได้ระยะไกล มือข้างหนึ่งอยู่ด้านหลัง อีกข้างถือขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวไว้ข้างเอว ท่าทางสง่างามสูงส่ง เป็นคุณชายรูปงามที่มีรูปโฉมสะท้านใต้หล้า
ทุกคนพยายามคาดเดาตัวตนของเขา กระทั่งผู้อาวุโสหลาย ๆ คนยังไม่มั่นใจว่าเขาเป็นใครกันแน่
ฉับพลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธขุ่นเคืองใจ “ลั่วหลานจือ? ไหนเจ้าว่าเจ้าไม่มีเวลากลับมาอย่างไรเล่า!? เจ้ากล้าหลอกลวงนายท่านผู้นี้หรือ?!”
ทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความสับสน
“ลั่วหลานจือคือใครกัน?”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“มีปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านไหนมีชื่อนี้หรือไม่?”
“หากจำไม่ผิด อันดับที่ 3 แห่งสำนักละอองหมอกของเรา ท่าจะชื่อลั่วหลานจือ…..”
“เช่นนั้นอีกคนที่เอ่ยขึ้นก็…..”
ยามชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินเสียงนั้นก็ชะงักฝีเท้า ยกมือขึ้นจับหมวกไม้ไผ่บนหัวยกออก ใบหน้างามจนตื่นตะลึงพลันเผย เสียงร้องตกใจพลันดังขึ้น
ใบหน้าของเขานั้นสมกับท่าทางสูงสง่ายิ่งนัก คล้ายกับหยกชั้นดีเนื้อเนียนมือ เครื่องหน้าทั้งหลายหล่อเหลา นัยน์ตาอ่อนโยนสงบเงียบ มีไฝรูปหยดน้ำน่ามองประดับอยู่ที่หางตาขวา งดงามจนแทบลืมหายใจ ริมฝีปากสีชมพูบางเผยอออกเล็กน้อย ประดับไปด้วยรอยยิ้มหนึ่ง
“ไม่ยุติธรรมเลย….. คนที่มีฝีมือถึงขนาดนั้น เหตุใดจึงมีใบหน้างดงามปานนั้นได้อีก!?” ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ร้องครวญขึ้นมา
ฝูงชนแหวกทาง เผยให้เห็นคนที่ตะโกนเสียงขึ้นเมื่อครู่
เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิททั้งตัว คิ้วคมดั่งดาบ เข้มแข็งหล่อเหลา มือขวายังจับดาบเล่มใหญ่ที่ดูเก่าแก่ไว้ไม่ห่างกาย
มีคนไม่น้อยที่สังเกตเห็นเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยเขาปล่อยกลิ่นอายกดดันออกมามากเกินไปจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นัก ตอนนี้ได้เห็นเขาเปิดปากพูด หลาย ๆ เสียงจึงดังระงมขึ้น เขารู้จักกับลั่วหลานจือหรือ?
“หากข้าไม่มา เกรงว่าแม้ศิษย์สำนักละอองหมอกสิ้นชีพหมดแล้ว เจ้าก็คงยังไม่ลงมือ” ลั่วหลานจือเอ่ยแผ่วเบา เจือแววไร้กำลังอยู่เล็กน้อย
พูดจบเขาก็ก้าวมาถึงที่ “ผู้อาวุโสทั้งหลาย นานแล้วไม่ได้พบกัน เรื่องในสำนักเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้อาวุโสโม่ผู้มีเคราขาวพลันลูบเคราตนแล้วถอนใจยาว “เจ้าเด็กนี่ เจ้าหายไปนานเกินกว่าจะเอ่ยคำว่า “นานแล้วไม่ได้พบกัน” แล้วกระมัง! พวกเจ้าไม่กลับสำนักนับปี! ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าลืมกลับไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโสโม่กล่าวเกินไปแล้ว” ลั่วหลานจือตอบพร้อมเสียงหัวเราะ พลันลากสายตาไปมองด้านหลังชายชรา “หลีม่อ ไม่มาทำความเคารพผู้อาวุโสหน่อยหรือ?”
ทันใดนั้นทุกสายตาก็ตวัดไปมองทางชายหนุ่มชุดดำทันที
หลีม่อ? ซู่หลีม่อ??
เจ้าบ้าที่เอาชนะคนสามร้อยคนได้ในรวดเดียวน่ะหรือ?!
เขามาถึงก่อน อีกทั้งในสำนักตกอยู่ในความโกลาหลเช่นนี้ แต่ทำไมเขากลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยแต่แรก