เฟิ่งชิงหัวแบะปาก บ่นพึมพำ : “ทองและหยกอยู่นอก ดอกฝ้ายที่เน่าอยู่ใน”
“เจ้ากำลังพูดบ้าอะไรอีก” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงยกขึ้น แววตาล้ำลึก
เฟิ่งชิงหัวคลี่ยิ้ม : “ท่านอ๋องกล่าวนั้นเป็นจริง จริง ๆ แล้วข้ากำลังพูดเรื่องบ้าอยู่”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองเฟิ่งชิงหัว : “เข้ามา”
เฟิ่งชิงหัวมองความแตกต่างข้างในและข้างนอกฉากกั้น ข้างนอกเป็นพื้นวัสดุไม้ ข้างในฉากกั้นกลับเป็นผ้าห่มขนสัตว์หนา ๆ ปกคลุมพื้นทั้งหมด มองไปปราดเดียวเป็นแผ่นสีขาวโพลน
เช่นนี้ทั้งชั้น ในใจรู้สึกฟุ่มเฟือยยิ่งนัก แต่ก็ยังถอดรองเท้าและเหยียบอย่างมีความสุข
เฟิ่งชิงหัวเดินไปนั่งข้างจ้านเป่ยเซียว จ้องเขาตาไม่กะพริบ
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว : “เกิดอันใดขึ้นจึงมองข้าเช่นนี้ ?”
เฟิ่งชิงหัวร้องเสียงต่ำอย่างเย็นชา : “เจ้าบังคับข้ามาที่นี่ทำไม ?”
“บังคับ ? พวกเขาบังคับเจ้า ?” จ้านเป่ยเซียวคิ้วขมวด
ท่าทางนั้น บอกไม่ถูกว่ายั่วเย้าหรือเดือดดาล
เฟิ่งชิงหัวขี้เกียจที่จะวิเคราะห์ โบกมือไปมา : “เรื่องไร้สาระนั้นไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพูดมาเถอะ เจ้าเรียกข้ามาจะทำอะไร ?”
“แน่นอนว่าปราบปราม ในกฎของบ้านบอกอย่างชัดเจนว่าไม่มีสาเหตุไม่สามารถออกจากจวน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะปลอมตัวเป็นหลิวหยิ่ง หนานกงเยว่ลั่ว ข้าปล่อยเจ้ามากเกินไปหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัว สายตาจริงจัง หากเป็นคนปกติ ในเวลานี้คงจะโดนมองจนวิญญาณสั่นเทิ้ม แต่เฟิ่งชิงหัวกลับจ้องมองตอบ ถึงขั้นหัวเราะเบา ๆ
“ท่านอ๋อง อย่าแสดงเลย หากเจ้าต้องการเรียกข้ามาปราบ เหตุใดยังตั้งใจต้มชารอข้าที่นี่” เฟิ่งชิงหัวพูดไป ก็หยิบถ้วยชาข้างหน้า เคารพจ้านเป่ยเซียวไกลลิบ จากนั้นก็ดื่มอย่างสง่างาม กล่าวชม : “ศิลปะชาของท่านอ๋องช่างดีจริง”
จ้านเป่ยเซียวดึงสายตากลับ จากนั้น ชำเลืองมองนางอีกครั้ง กล่าวอย่างจืดจาง : “ช่างประจบสอพอ”
“ไม่รื่นหูยิ่ง” เฟิ่งชิงหัวไม่ยอมน้อยหน้า
จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นไปทางเฟิ่งชิงหัวกระตุกนิ้วมือ
เฟิ่งชิงหัวเอียงตัวเล็กน้อย และได้ยินจ้านเป่ยเซียวกล่าวถามเสียงเบา : “คิดดีแล้วหรือยัง ?”
เฟิ่งชิงหัว : “!”
เฟิ่งชิงหัวจ้องมองจ้านเป่ยเซียวอย่างตกใจ ตาแทบจะถลนออกมา ยังไงก็คิดไม่ถึง จ้านเป่ยเซียวปูเรื่องมายาวเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเพื่อถามนางประโยคนี้
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวคิดถึงจ้านเป่ยเซียวตอนเริ่มแรกสุดเล็กน้อย
เขาแต่เดิม เย็นชา ขรึม แปลกแยก ดูถูกคนอื่น สามารถใช้สายตาแสดงออกไม่ต้องพูดสักคำ
แจ่เขาในตอนนี้ ไม่เพียงแต่การกระทำจะแปลกประหลาด แต่ยังกลายเป็นเครื่องทบทวนของแม่ย่าอีกด้วย
โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งพูดประโยคนั้นจบ ตาแป๋วสั่นไหวเล็กน้อย นำมาซึ่งประกายทำให้คนฉงนนิดหน่อย
เฟิ่งชิงหัวไม่อยากยอมรับ หัวใจของนางเพิ่งเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
“จ้านเป่ยเซียว เจ้ายั่วยุพอหรือยัง” หลังของเฟิ่งชิงหัวเหยียดตรง ดวงตาจ้องมองเขา
กลับเห็นจ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเบาหวิว : “ดูแล้วคงจะยังคิดไม่ตก ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”
ระหว่างพูด จ้านเป่ยเซียวก็ยกมือขึ้น กุมแขนของนาง เฟิ่งชิงหัวรู้สึกวิงเวียน ตนเองก็ตกลงสู้อ้อมอกของจ้านเป่ยเซียวแล้ว
จ้านเป่ยเซียวยิ้มต่ำ ดวงตาที่ลึกซึ้งใกล้ชิดแก้มของนาง เปิดปากกล่าว : “ถึงอย่างไรก็เป็นคนของข้า หนีไม่รอด”
เฟิ่งชิงหัวตบหน้าอกของจ้านเป่ยเซียวด้วยมือข้างที่ว่าง แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสกับร่างกายของเขาก็โดยมือที่ทรงพลังของเขาจับเอาไว้
ตอนนี้ ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้กันมาก ลมหายใจออกของชายหนุ่มแทบจะรดแก้มของเฟิ่งชิงหัว
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวจริงจัง ใช้แรงดิ้นรน กลับพบว่ามือทั้งสองข้างดิ้นไม่หลุด
ศิลปะการต่อสู้ของคนนี้อยู่เหนือเขามาเสมอ แต่ไม่ถึงกับทำให้นางหมดหนทางจะสู้กลับ
นี่มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว ศิลปะการต่อสู้ของคนคนนี้ ชำนาญขึ้นอีก
แต่ทว่า มันไม่สมเหตุสมผลเลย : “พิษของเจ้ายังไม่กำจัดหมด เหตุใดเจ้าถึงสามารถใช้แรงภายในได้ ?”
จ้านเป่ยเซียวยิ้ม : “อยากรู้ ? จูบข้าสิ แล้วข้าจะบอกเจ้า”
นิสัยของจ้านเป่ยเซียวเดิมทีก็ทำตามอำเภอใจ ผู้หญิงตรงหน้า ตอนแรกก็เป็นความคิดแปลกประหลาดกะทันหันของเขา แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ทำให้เขากระสับกระส่ายอยู่เสมอ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจะต้องระงับความคิดในใจ กล่าวโดยสรุป เขาจะไม่ให้นางหนีรอดไปได้ง่าย ๆ
เขาไม่ช้าก็เร็วก็เป็นคนของเขา ในเมื่อเป็น เช่นนั้นความรู้สึกในใจ เหตุใดจะต้องปิดบัง
ดังนั้นคำพูดจึงเปิดเผยมากขึ้น
เฟิ่งชิงหัวถลึงตาใส่เขา : “ข้าว่าเจ้าเสียสติไปแล้ว ! ปล่อยข้า !”
“เจ้าเป็นห่วงข้ามากรึ ?” เสียงชายหนุ่มหนักแน่น ใกล้เข้ามาเล็กน้อย ระหว่างสองคนเหลือเพียงหน้ากากสีขาวที่กั้นไว้
“ข้าเป็นห่วงบ้านเตี่ยเจ้าสิ !”
คำว่าสิของเฟิ่งชิงหัวยังพูดไม่ขาดคำ ริมฝีปากก็ถูกกดไว้
จู่ ๆ สมองของเฟิ่งชิงหัวก็มีเสียงหึ่ง ระเบิดออก เสียงรอบด้านได้ยินไม่ชัดเจน ประสาทสัมผัสทั้งหมดรวมอยู่ที่จุดที่สองคนแนบชิดกัน ความร้อนเพียงเล็กน้อยทำให้มือและเท้าของนางอ่อนแรง