บทที่ 135 เอาไว้ให้ท่านพ่อใช้ในยามแก่เฒ่า

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 135 เอาไว้ให้ท่านพ่อใช้ในยามแก่เฒ่า

บทที่ 135 เอาไว้ให้ท่านพ่อใช้ในยามแก่เฒ่า

อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีฐานะหรือภูมิหลังอันใด รังแกระรานได้เพียงแต่ผู้ที่อ่อนแอกว่า ทว่ากับผู้ดูแลเหลาอาหารใหญ่โตไม่อาจต่อกรได้

อีกทั้งการที่สามารถเปิดร้านอาหารพื้นที่ใหญ่โตเพียงนี้ได้ในเมืองหลวง แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเหลาอาหารเจินซิว

หลังคนเหล่านั้นจากไปแล้ว คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกเรียกชื่อเองก็พากันจากไปเช่นกัน

แม้จะผิดหวังที่ต้องสูญเสียงานที่ทำเงินเช่นนี้ไป แต่ที่บ้านของพวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหามากมาย ดังนั้นเลยไม่ได้ถึงกับสิ้นหวังแต่อย่างใด

ยกเว้นครอบครัวหนึ่งที่มีพี่น้องสามคน

เด็กทั้งสามสวมใส่เสื้อผ้าเก่าที่ซักจนสีซีด พากันคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าผู้ดูแลร้าน

“ท่านผู้ดูแลร้านได้โปรดรับของพวกข้าไปด้วยเถิด พวกข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับกุ้งก้ามแดง ท่านจะจ่ายน้อยกว่าให้พวกข้าก็ไม่เป็นอันใด”

พี่คนโตในเหล่าพี่น้องอายุเพียงสิบสองปี เด็กสุดเป็นแม่นางน้อยอายุเจ็ดปี

ใบหน้าของพวกเขาซูบเซียว ร่างกายผ่ายผอมไม่ต่างอะไรจากขอท่านเหล่านั้น มีเพียงแค่เสื้อผ้าบนร่างที่ดูสะอาดกว่า ทว่าก็ถูกซักจนมีรอยซีดขาวเต็มไปหมด

เด็กคนโตสุดร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง

โจวเหยียนและเสี่ยวเป่าไม่สามารถทนดูได้ต่อไป

ผู้ดูแลร้านเข้าไปพยุงทั้งสามให้ลุกขึ้นมา ทว่าเด็กทั้งสามต่างยืนกรานไม่ยอมลุก ครอบครัวของพวกเขาเดิมทีก็ค่อนข้างขัดสนอยู่แล้ว แรงงานเพียงคนเดียวในครอบครัวก็ได้รับบาดเจ็บตอนไปขนย้ายสินค้าที่ท่าเรือจนเป็นอัมพาตติดเตียง ผู้เป็นแม่จำต้องไปรับจ้างซักผ้าทุกวันจนมือบวม เหนื่อยล้าจนล้มป่วยลง

ไม่มีแม้แต่อาหารเหลืออยู่ในบ้านแล้ว ทว่าเมื่อพวกเขากำลังจะอดตาย ก็มีข่าวเรื่องการรับซื้อกุ้งก้ามแดงของเหลาอาหารเจินซิวแพร่ออกมา ทั้งสามพี่น้องจึงรีบออกไปจับกุ้งก้ามแดงทันที

เงินที่ได้รับมาทุกวันไม่เพียงแต่ต้องใช้ซื้อเสบียงอาหาร ทว่ายังต้องซื้อยาให้ท่านพ่อท่านแม่ด้วย ดังนั้นมันย่อมไม่เพียงพอ

หากตอนนี้พวกเขาต้องสูญเสียงานนี้ไป เช่นนั้นพวกเขาก็ทำได้แต่เฝ้ารอความตาย

กล่าวตามตรงแล้ว พวกเขาที่มีญาติสนิทชิดใกล้จำเป็นต้องกินยา ลำบากเสียยิ่งกว่าขอทานเหล่านั้นเสียอีก

ผู้ดูแลร้านเอ่ยออกมา “ที่ไม่รับกุ้งก้ามแดงของพวกเจ้า ก็เพราะเหลาอาหารเจินซิวมีงานอย่างอื่นให้พวกเจ้าทำ”

แน่นอนว่าผู้ดูแลร้านเองก็รู้สถานการณ์ของสามพี่น้อง ดังนั้นจึงมอบหมายงานอื่นให้พวกเขาเป็นพิเศษ

“พวกเจ้าทั้งสามมาที่นี่ทุกวันเพื่อล้างทำความสะอาดกุ้งก้ามแดง วันหนึ่งได้ค่าจ้างสิบห้าอีแปะดีหรือไม่?”

หนึ่งวันสิบห้าอีแปะ พวกเขามีกันสามคนพี่น้องก็เท่ากับสี่สิบห้าอีแปะ!

หากให้พวกเขาทั้งสามคนไปช่วยกันจับกุ้งก้ามแดง วันหนึ่งอย่างมากก็ได้สามสิบชั่งเท่านั้น

อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังมีเด็กผู้หญิงให้ต้องดูแล อีกทั้งความลึกของทะเลสาบก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แทนที่จะไปจับกุ้งก้ามแดง สู้ทำงานประจำที่นี่ดูจะดีกว่ามาก

พี่ชายทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขายิ้มออกมาทั้งน้ำตา พาน้องสาวคุกเข่าก้มคารวะผู้ดูแลร้าน

“ขอบพระคุณท่านมาก ท่านคือผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกข้าเลย!”

ด้านเสี่ยวเป่าและโจวเหยียนที่อยู่บนชั้นสองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว โจวเหยียนถึงกับสะเทือนใจจนน้ำตาไหลริน

“ฮือออ…พวกเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก”

เจี่ยเจินส่งเสียงหัวเราะเหอ ๆ ออกมา “บนโลกใบนี้มีคนที่น่าสงสารอยู่มากมาย”

เสี่ยวเป่าเองก็น้ำตาไหล นางสูดจมูกขณะดึงแขนเสื้อของเจี่ยเจิน “อาจารย์ ท่านช่วยพวกเขาได้หรือไม่ ท่านให้ยาพวกเขา แล้วเสี่ยวเป่าจะให้เมล็ดทานตะวันทองคำกับท่าน”

เจี่ยเจินดีดนิ้วบนหน้าผากของนางด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “มาตอนนี้กลับรู้จักเรียกอาจารย์ ใจอ่อนง่ายเช่นนี้ ไม่สมกับเป็นผู้สืบทอดหมอปีศาจของข้าเสียเลย เจ้าต้องใจดำเอาไว้บ้างจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก เข้าใจหรือไม่!”

เสี่ยวเป่าส่งเสียงอ้อออกมาหนึ่งคำ แต่ไม่รู้ว่าฟังเข้าใจบ้างหรือเปล่า นางยังคงมองมาที่เขาตาแป๋ว

“เสี่ยวเป่ามีท้องพระคลังน้อย!”

เจี่ยเจิน “…”

ทั้งหมดที่เขาพูดไป เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเจ้าเด็กนี่หมดเลยสินะ

ขณะมองเสี่ยวเป่าที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งวันนี้เขายังอารมณ์ดีและเด็กทั้งสามก็ไม่ได้ขัดหูขัดตาอันใด ดังนั้นเจี่ยเจินจึงเดินวางมาด พาเสี่ยวเป่ากับโจวเหยียนไปยังบ้านของเด็กทั้งสามคนนั้น

ตอนนี้เขาตัดสินใจรับเสี่ยวเป่าเป็นศิษย์แล้ว เมื่อเขาไปดูคนป่วยย่อมต้องพาเด็กน้อยไปด้วย

ใช่แล้ว พวกเขาไปที่นั่นในฐานะหมอ

เมื่อได้ตรวจดูอาการบิดามารดาของเด็กทั้งสาม เขาก็อธิบายรายละเอียดเรื่องอาการและวิธีรับมือทั้งหมดให้กับเสี่ยวเป่าและโจวเหยียนฟัง

แม้ตอนนี้ลูกศิษย์ของตนจะเด็กจนอาจจะไม่เข้าใจคำพูดบางอย่าง แต่อย่างน้อยก็ได้จดจำไว้

หลังจากนั้น เจี่ยเจินก็ฝังเข็มจ่ายยาให้กับทั้งสองคน ก่อนจะจากไปโดยไม่รับเหรียญทองแดงมาสักเหรียญ ท่ามกลางเสียงขอบคุณที่ดังแว่วมาจากผู้ปกครองทั้งสอง

“ท้องพระคลังน้อยของเจ้าข้าเองก็ไม่ต้องการ กลับไปอ่านตำราที่ข้ามอบให้เสีย ข้าจะลองทดสอบเจ้าดูในภายหลัง”

หมอปีศาจเฉกเช่นเขาเหมือนคนขาดแคลนเงินอย่างนั้นหรือ?!

เมื่อคิดถึงตำราเล่มหนาที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบในการทำยาต่าง ๆ แล้ว เสี่ยวเป่าก็อมแก้มป่องขึ้นมา มีแค่พืชสมุนไพรก็แล้วไปเถิด ทว่ายังมีพวกหินแร่ กระดูกสัตว์ และแมลงอีกจำนวนมากด้วย

“เอาล่ะ เสี่ยวเป่าสู้ ๆ!”

โจวเหยียนที่เดินขนาบข้างทั้งสองคนด้วยขาสั้น ๆ เอ่ยถามว่า “สู้ ๆ หมายความว่าอย่างไร?”

“หมายความว่าพยายามเข้า”

โจวเหยียนเอ่ย “เช่นนั้นข้าเองก็จะสู้ ๆ ท่านปู่ก็ต้องการให้ข้าท่องเรื่องสมุนไพรได้”

เด็กน้อยสองหน่อหน้านิ่วคิ้วขมวด มองกันเองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนร่วมชะตากรรม

นามฉายาหมอปีศาจของเจี่ยเจินไม่ได้มีเพียงไว้ประดับ

หลังจากฝังเข็มจ่ายยาให้กับบิดามารดาของเด็กทั้งสามแล้ว พวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเจ็บปวดนั้นบรรเทาลง ยิ่งหลังจากกินยาที่ถูกมอบให้ ผู้เป็นมารดาของเด็กทั้งสามก็หายจากโรคร้ายได้ภายในวันเดียว

เมื่อเด็กทั้งสามคนกลับมาจากเหลาอาหารเจินซิว ก็ได้รู้ว่ามีหมอมารักษาบิดามารดาโดยไม่เรียกเอาเงิน พวกเขาพลันแย้มยิ้มอย่างมีความหวังและความสุขเป็นครั้งแรก ตั้งแต่หลังจากบิดาประสบอุบัติเหตุ

ธุรกิจของเหลาอาหารเจินซิวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง เสี่ยวเป่าสามารถทำเงินได้มากมายในทุกเดือน เหรียญทองแดงกองโตเหล่านั้นถูกหนานกงหลีแลกเปลี่ยนเป็นแท่งเงินหรือทองเล็ก ๆ น่ารักก่อนส่งเข้าไปยังพระราชวัง

เด็กน้อยซ่อนแท่งทองเหล่านั้นต่อหน้าท่านพ่อทุกวัน จากนั้นก็ถามท่านพ่อตลอดว่ามีเงินให้เพิ่มหรือไม่

หนานกงสือเยวียนหยิบทองก้อนเล็กเท่าเม็ดถั่วที่ออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ มอบให้เสี่ยวเป่า

แววตาของเจ้าก้อนแป้งเปล่งประกายขึ้นมาทันใด รีบวิ่งเข้าไปกอดมือของท่านพ่อเอาไว้

“ท่านพ่อยอดเยี่ยมที่สุดเลย”

หลังจากนั้นนางก็นำทองก้อนน้อยเก็บลงไป

หนานกงสือเยวียนเอ่ยถามพระธิดาว่า “จะซ่อนเงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นเอาไว้ทำสิ่งใด?”

เสี่ยวเป่าตอบออกมาด้วยเสียงนุ่มนิ่ม “เอาไว้ให้ท่านพ่อใช้ในยามแก่เฒ่า”

หนานกงสือเยวียน “…”

ข้ายังอายุน้อย แต่เจ้ากลับคิดอันใดไปไกลถึงเพียงนั้น

ชั่วขณะนั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือซาบซึ้งดี

เมื่อแก้มน้อย ๆ ถูกบีบ เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้โวยวายออกมาเหมือนปกติ แต่ยังคงเงยหน้าแย้มยิ้มให้ท่านพ่อของตัวเอง

และเมื่อเวลารักษาขาของพี่ใหญ่ใกล้เข้ามา เสี่ยวเป่าทั้งตื่นเต้นทั้งเครียดจนไม่สามารถนั่งอยู่นิ่ง ๆ ได้ เกิดความคิดอยากจะวิ่งไปยังจวนจิ้นอ๋องอยู่ตลอดเวลา

ทว่าด้วยฐานะองค์หญิง นางไม่สามารถออกไปนอกวังได้บ่อย ๆ แม้ท่านพ่อจะให้สิทธิ์กับนางเป็นอย่างมาก แต่หากออกไปด้านนอกบ่อยเกินไปก็จะตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นได้

แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นชุนสี่ที่วิเคราะห์และอธิบายอย่างช้า ๆ ให้เสี่ยวเป่าฟัง

เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี ดังนั้นนางย่อมไม่คิดสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อ และเนื่องจากนางไม่สามารถออกไปด้านนอกวังได้บ่อยนัก เช่นนั้นนางจึงต้องไปเยี่ยมเหล่าพี่ชายของนางแทน