หวังซีกับฉังเคอพักอยู่ที่วัดอวิ๋นจวีอีกสิบกว่าวัน หยอกล้อเล่นกับอาหลีและเซียงเย่ทุกวัน ฉังเคอพาไป๋กั่วและอีกสองสามคนทำชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้อาหลีได้หนึ่งกองใหญ่ คนของจวนหย่งเฉิงโหวนำเทียบเชิญมาส่งให้พวกนาง
ลู่หลิงเชิญพวกนางไปร่วมงานชมบุปผาที่จวนเจียงชวนป๋อในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
หมัวมัวที่มาส่งเทียบเชิญให้พวกนางเป็นแม่บ้านที่พอมีหน้ามีตาผู้หนึ่งของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่า เคยได้รับซองแดงจากตระกูลหวังไปไม่น้อย หลังจากคารวะหวังซีกับฉังเคอเสร็จแล้ว ยังนำข่าวที่ไม่ควรบอกพวกนางมาแจ้งให้พวกนางทราบด้วย “ได้ยินว่าช่วงนี้ในวังหลวงเองก็จะจัดงานชมบุปผาเช่นกัน คุณหนูถึงวัยออกเรือนที่ยังไม่ได้หมั้นหมายต่างอยากเข้าร่วมงานกันทั้งสิ้น”
ยังบอกอ้อมๆ ด้วยว่า “แม้นในจวนไม่ให้ข้าบอกคุณหนูทั้งสองท่าน แต่คุณหนูทั้งสองท่านพักอยู่ที่วัดอวิ๋นจวีมาระยะหนึ่งแล้ว เอาแต่พักอยู่ที่วัดอวิ๋นจวีเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ค่อยสะดวกสบายนัก”
หวังซีกับฉังเคอแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
แต่งานเลี้ยงใหญ่ขนาดนี้ โดยมากก็น่าจะจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกชายาให้องค์ชายทั้งหลาย
นอกจากนี้ฟังจากความหมายของหมัวมัวผู้นี้แล้ว จวนหย่งเฉิงโหวไม่คิดจะให้หวังซีกับฉังเคอไปร่วมงานด้วย ไม่อย่างนั้นคงให้คนมาแจ้งเรื่องนี้ และเร่งเร้าให้พวกนางไปตัดชุดทำเครื่องประดับใหม่นานแล้ว
หวังซีตกรางวัลให้หมัวมัวผู้นั้นด้วยท่าทีสงบ ให้หวังหมัวมัวไปรับมื้ออาหารเป็นเพื่อนนาง ส่วนตัวเองลากฉังเคอไปคุยด้วย “เจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่”
คนที่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมงานชมบุปผาของวังหลวง ทั้งยังเป็นสตรีถึงวัยแต่งงานที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย ย่อมหมายถึงสตรีจากครอบครัวขุนนางใหญ่ยศขั้นสี่ขึ้นไปเหล่านั้น ซึ่งฉังเคอถือว่าอยู่ในขอบข่ายนี้ แต่หวังซีเป็นหลานยายที่ไม่ได้รับการยอมรับ จึงไม่มีคุณสมบัติอยู่ในขอบข่ายนี้ แต่แน่นอนว่า หากจวนหย่งเฉิงโหวอยากพานางไปด้วย นางก็ย่อมไปได้เช่นกัน
หวังซีนั้นอย่างไรก็ได้ เรื่องงานแต่งของนางมีผู้อาวุโสสกุลหวังเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายให้ ต่อให้หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าถูกใจผู้ใด ก็ต้องคุยกับคนตระกูลหวังสักคำหนึ่งก่อน ไม่อาจตัดสินอนาคตของนางแต่เพียงผู้เดียวได้ แต่ฉังเคอนั้นไม่เหมือนกัน บิดามารดาของนางทำตามการชี้นำของจวนหย่งเฉิงโหวมาโดยตลอด เกรงว่าเรื่องงานแต่งของฉังเคอก็คงต้องเชื่อฟังจวนหย่งเฉิงโหวเช่นเคย
กอปรกับฉังหนิงหมั้นหมายแล้ว เรื่องของฉังเหยียนกับคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหวก็เป็นไปไม่ได้แล้ว พวกเขาถึงกับไม่บอกเรื่องงานชมบุปผาของวังหลวงให้ฉังเคอรู้ ถ้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีความผิดปกติอะไรเลย ต่อให้ฉังเคอปิดหูปิดตาอยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำไม่ได้อยู่ดี
แต่ฉังเคอหาใช่คนไร้ความคิด นางจับมือหวังซีไว้อย่างซาบซึ้ง กล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก! แต่ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ดียิ่งแล้ว เรื่องนี้ข้าจะเชื่อฟังพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พวกเขาอยากให้ข้าเข้าวัง ข้าก็ไม่ไป”
บิดาของฉังเคอเป็นบุตรของอนุ สถานะของนางจึงด้อยไปเล็กน้อย นอกจากโอกาสที่จะได้รับเลือกจะน้อยมากแล้ว หากไม่ระวัง ไปเข้าตาผู้ใดเข้าจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจถูกคัดเลือกไปให้บุตรหลานของราชวงศ์ที่ตกต่ำไปแล้ว หากได้เป็นชายาเอกก็ดีไป กลัวแต่ว่าจะได้เป็นอนุชายา ไม่ว่าอย่างไรฉังเคอก็ไม่ยอมเป็นอันขาด
หวังซีมีความคิดอยากออกหน้าให้ฉังเคออยู่บ้างจริงๆ แต่เรื่องเช่นนี้ยังคงต้องฟังความเห็นของฉังเคอ ฉังเคอกล่าวเช่นนี้ นางตรึกตรองดูอย่างละเอียดแล้วเห็นว่ามีเหตุผลมากจริงๆ อดกล่าวอย่างกระดากอายไม่ได้ว่า “เป็นข้าที่คิดผิดไป พวกเขาไม่บอกพวกเรา พวกเราก็จะได้มีเวลาว่าง หรือพวกเราก็ตรงไปที่ตระกูลลู่เลย? แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ดีหรือไม่”
แต่ฉังเคอคิดไปไกลกว่านั้นมาก
เมื่อก่อน ของที่ฉังหนิงและฉังเหยียนไม่ต้องการ โดยมากล้วนผลักนางออกไปรับแทน
นางพึมพำกล่าว “เกรงว่าคงต้องบอกพวกคุณหนูรองอู๋เอาไว้สักคำหนึ่งว่าพวกเราไม่คิดจะไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวง”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
พวกคุณหนูรองอู๋ล้วนมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานได้ นอกจากนี้รายชื่อยังอยู่เป็นคนลำดับต้นๆ ด้วย หากพวกนางช่วยสกัดกั้นให้ฉังเคอได้ ต่อให้หลังจากนี้จวนหย่งเฉิงโหวเปลี่ยนความคิด ฉังเคอก็ไม่จำเป็นต้องไปร่วมงานได้
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบปรึกษากันเนิ่นนาน อาหลีวิ่งไล่ตามเซียงเย่เข้ามา
เซียงเย่วิ่งได้สองสามก้าวก็หยุดรออาหลีก่อนครู่หนึ่ง กระทั่งอาหลีไล่ตามทันแล้วค่อยวิ่งต่อ
ไม่รู้ว่าคนหยอกแมวเล่นหรือแมวหยอกคนเล่นกันแน่
ทุกคนเห็นแล้วต่างหัวเราะฮ่าเสียงดังลั่น
อาหลีเองก็หัวเราะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวตามไปด้วย ท่าทางไร้เดียงสานั่นหวังซีมองแล้วหัวใจอ่อนยวบเหลวเป็นน้ำไปหมด อดกล่าวกับฉังเคอไม่ได้ว่า “ไม่แปลกที่เจ้ายินดีดูแลเขา เด็กคนนี้น่ารักเกินไปแล้วจริงๆ”
ไม่ดื้อไม่ซนเลยแม้แต่นิดเดียว ใครพูดอะไรก็เชื่อฟังไปหมด แม้แต่คนที่พบเห็นเด็กซุกซนปีนขึ้นต้นไม้และหลังคาบ้านมามากอย่างหวังซียังรู้สึกว่าบางครั้งเด็กน้อยช่างน่าขบขันยิ่ง
ฉังเคอกลับถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “ข้ามองเขาแล้วก็นึกถึงน้องชายของข้า ตอนเด็กก็เชื่อฟังเช่นนี้เหมือนกัน”
บัดนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้นแล้ว ทว่ากลับเชื่อฟังยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
เช่นนี้ดูไม่ค่อยปกติแล้ว
แต่ก็เป็นเพราะคนบ้านสามจำเป็นต้องเชื่อฟัง
บิดาของนางกลับรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
หวังซีเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี กวักมือเรียกอาหลีมาดื่มน้ำหวาน
อาหลีได้ยินแล้วก็วิ่งหนีดุจลมพัด ถูกสาวใช้เด็กสองสามคนล้อมจับตัวกลับมา
ฉังเคอป้อนน้ำหวานให้อาหลีที่ดวงหน้าน้อยเหยเกด้วยความขมไปด้วย ยิ้มกล่าวกับหวังซีไปด้วยว่า “นี่คำพูดแปลกประหลาดอะไรของเจ้ากัน ทั้งๆ ที่เป็นน้ำขมยังบอกว่าเป็นน้ำหวานอีก ยังหลอกให้ข้าดื่มตามไปด้วยอีกคน ทำเอาข้าเกือบจะสำรอกเอาน้ำดีออกมาด้วยแล้ว”
หวังซีขยิบดวงตาเมล็ดซิ่งดวงโต กล่าวอย่างไร้เดียงสาไม่รู้สึกผิดว่า “น้ำหวานของคนก่วงตงก็คือน้ำชาสมุนไพรมีฤทธิ์เย็น! น้ำของพวกเขาก็มีรสชาติเช่นนี้!”
ดูเหมือนว่าเฉินลั่วยังไม่เคยดื่ม ต้องเชิญเขามาดื่มสักครั้งถึงจะถูก
นางนึกหน้าเหยเกเพราะความขมของเฉินลั่วเฉกเช่นเดียวกับของอาหลีในเวลานี้ขึ้นมาแล้วก็อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เฉินลั่วไม่ได้มาหานางหลายวันแล้ว ไม่รู้กำลังวุ่นกับเรื่องอะไรอยู่
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่าท่านหมอเฝิงมาหา
หวังซีประหลาดใจ ให้สาวใช้เด็กเชิญท่านหมอเฝิงไปรับน้ำชาที่โถงรับรอง หันไปบอกฉังเคอประโยคหนึ่งว่า “ข้าไปดูสักหน่อย” แล้วก็วิ่งจี๋ไปที่โถงรับรอง
อาหลีเห็นหวังซีไม่อยู่แล้ว จึงขอร้องฉังเคออย่างน่าสงสารว่า “ข้าไม่ดื่มน้ำหวานของท่านน้าหวังได้หรือไม่ขอรับ”
หวังซีและฉังเคอล้วนชื่นชอบอาหลีเป็นอย่างมาก แต่อาหลียังคงแยกออกว่าผู้ใดตามใจเขามากกว่า
ฉังเคอหลอกล่อเขายิ้มๆ ว่า “น้ำนี้ดีต่อตัวเจ้า! มิใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเกือบเป็นลมแดดหรอกหรือ ยังดื่มยาไปจำนวนมากอีกด้วย น้ำหวานของท่านน้าหวังรักษาโรคลมแดดได้ ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่ต้องดื่ม พวกข้าเองก็ต้องดื่มเหมือนกัน”
กล่าวจบ เพื่อให้กำลังใจอาหลีแล้ว นางยังให้สาวใช้ไปหยิบถ้วยเล็กมา เทน้ำให้ตัวเองเล็กน้อย ดื่มลงไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เจ้าดู น้าฉังก็ดื่มเหมือนกัน!”
อาหลีไร้ทางเลือก จำต้องดื่ม ‘น้ำหวาน’ ต่อไปด้วยน้ำตาคลอหน่วยทั้งสองข้าง
***
ภายในโถงรับรอง ท่านหมอเฝิงให้เฝิงเกาประคองเอาไว้ เกือบจะหลั่งน้ำตาอยู่รอมร่อ กล่าวกับหวังซีว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งเฉาอวิ๋นจะเป็นเหมือนหนูข้างถนนที่ทุกคนต่างรังเกียจ เมื่อก่อนคนเหล่านั้นประจบประแจงเขามากเท่าใด วันนี้ก็ดูถูกดูแคลนเขามากเท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึง!”
หวังซีรีบก้าวออกไปประคองแขนอีกข้างหนึ่งของท่านหมอเฝิงเอาไว้ ปากกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรท่านนั่งลงมาก่อนเถิด” ทว่าดวงตากลับมองไปที่เฝิงเกา ถามเขาด้วยสายตาว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฝิงเกาเองก็ตื่นเต้นเล็กน้อยเหมือนกัน ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับหวังซี หลังจากประคองท่านหมอเฝิงไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนเรียบร้อยแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์น้องมาอยู่วัดก็เลยยังไม่ทราบเรื่อง ไม่รู้ว่าใต้เท้าเฉินไปโน้มน้าวเซียวเหยาจื่อของวัดเจินอู่อย่างไร ตอนนี้ด้านนอกต่างกำลังเล่าลือกันว่า เฉาอวิ๋นของวัดต้าเจวี๋ยขโมยตำราเครื่องหอมของเซียวเหยาจื่อไป ทำธูปหอมไหว้พระและธูปหอมคลายกังวลออกมามากมายหลายชนิด บัดนี้ต้องการให้วัดต้าเจวี๋ยให้คำอธิบายแก่วัดเจินอู่ นอกจากนี้ยังเปิดเผยสูตรเครื่องหอมต่อสาธารณะด้วย มีคนลองทำตามก็ทำธูปหอมคลายกังวลเหมือนของที่เฉาอวิ๋นทำออกมาได้จริงๆ บัดนี้สำนักสงฆ์เอาเรื่องนี้ไปร้องถึงพระกรรณฮ่องเต้แล้ว คนในจิงเฉิงต่างจับจ้องดูวังหลวง ดูว่าวังหลวงจะว่าอย่างไรบ้าง…
…ได้ยินว่าคนของวัดต้าเจวี๋ยเคืองโกรธเฉาอวิ๋นกันมาก แต่เฉาอวิ๋นเป็นพระของวัดต้าเจวี๋ย เมื่อก่อนก็กระทำเรื่องต่างๆ ในนามของวัดต้าเจวี๋ย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้พวกเขาโมโหเฉาอวิ๋นเพียงใด ก็จำเป็นต้องทำใจช่วยต่อสู้คดีให้เฉาอวิ๋น”
หวังซีฟังแล้ว สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว
นางนึกถึงที่เฉินลั่วเคยถามนางว่าควรทำอย่างไรกับเฉาอวิ๋นดี นึกถึงที่เขาเร่งเดินทางไปวัดเจินอู่ในคืนวันนั้น นึกถึงหลิวจ้งที่ไม่เห็นเงาเลยสักวันขึ้นมา
หวังซีรู้สึกอยู่รางๆ ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของเฉินลั่ว
แต่วัดต้าเจวี๋ยเป็นวัดของราชวงศ์ วัดเจินอู่เป็นวัดเต๋า พุทธกับเต๋าไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่โบราณกาล เขาปลุกปั่นเช่นนี้มิใช่แค่ความขัดแย้งของสองวัด แต่เป็นความขัดแย้งของสองลัทธิด้วย ต่อไปเรื่องราวจะบานปลายจนยากจะจัดการหรือไม่?
แล้วเขาไปโน้มน้าวอย่างไรให้วัดเจินอู่ยอมเข้าไปมีร่วมวงด้วย?
หวังซีมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเฉินลั่ว
ท่านหมอเฝิงกลับถามเสียงเบาว่า “ช่วงนี้เจ้าได้เจอใต้เท้าเฉินหรือไม่”
หวังซีตกใจ ฝืนเอาไว้อย่างสุดกำลังตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “ไม่เจ้าค่ะ ท่านตามหาใต้เท้าเฉินทำไมหรือ”
บางเรื่อง ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี
ไม่เกี่ยวกับเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ และทุกคนต่างก็มีคนที่ตัวเองไว้ใจ มองทะลุแต่ไม่เปิดเผยนั่นต่างหากถึงจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง
ท่านหมอเฝิงทอดถอนใจ “เขาเคยไปที่ร้านของข้า บอกว่าเจ้าอยากให้เฉาอวิ๋นสิ้นชื่อและไร้ที่ยืนในจิงเฉิงแล้วถูกจับส่งกลับไปพิจารณาคดีที่สู่จง ถามข้าว่าคิดเห็นอย่างไร ตอนนั้นข้าคิดว่าเรื่องพิจารณาคดีไม่จำเป็นต้องให้ใต้เท้าเฉินลงมือให้ก็ได้ ข้าอาศัยหนี้บุญคุณเก่าก่อนก็พอจะทำได้ แต่เรื่องทำให้สิ้นชื่อและไร้ที่ยืนในจิงเฉิงนั้น วัดต้าเจวี๋ยเป็นที่แรกที่ไม่เห็นด้วย คิดไม่ถึงจริงๆ!”
คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะเอาหนี้บุญคุณนี้มาคิดบัญชีที่นาง
ดวงตาของหวังซีเบิกกว้าง
ท่านหมอเฝิงซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงไม่ได้สังเกตหวังซีสักเท่าไร ลดเสียงลงทอดถอนใจกล่าวต่อว่า “ข้าใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องนี้มีเพียงใต้เท้าเฉินเท่านั้นที่ทำได้ เรื่องที่ข้าไปหาเฉาอวิ๋นคนที่สนใจใคร่รู้ย่อมหาทางรู้ได้ มิใช่เพราะข้ากลัวว่าใต้เท้าเฉินจะติดร่างแหไปด้วยหรอกหรือ ถึงได้มาหยั่งเชิงฟังความเห็นจากเจ้า…
…บุญคุณครั้งนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงชดใช้ให้ไม่หมด หวังว่าอาเกาจะจดจำเอาไว้ หากมีโอกาสจะได้ตอบแทนใต้เท้าเฉิงได้บ้าง”
เฝิงเการีบหันไปโค้งคำนับท่านหมอเฝิง กล่าวอย่างเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ข้าจำเอาไว้แล้วขอรับ”
ท่านหมอเฝิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กระบอกตาร้อนผ่าวปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตาพูดถึงเรื่องของตัวเอง “ข้าไม่อาจกินหรือนอนได้อย่างสงบมานานหลายปี คิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว หากจากโลกนี้ไปพบท่านอาจารย์กับศิษย์แม่และศิษย์พี่ของเจ้าที่น้ำพุเหลือง ข้าจะมีหน้าไปเอ่ยปากพูดกับพวกเขาได้อย่างไร บัดนี้ทุกอย่างคลี่คลาย หัวใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของข้าดวงนี้ก็นับว่าวางลงได้แล้ว ต่อไปไม่ว่าเฉาอวิ๋นจะถูกเนรเทศหรือถูกประหารชีวิต ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว…”
ทั้งสองคนฟังเขาพูดเงียบๆ
หวังซีใจลอยเล็กน้อย
ครั้งนี้วัดต้าเจวี๋ยจะยอมละทิ้งเฉาอวิ๋นหรือไม่ ถ้าหากวัดเจินอู่ชนะ ตำแหน่งวัดอันดับหนึ่งของราชวงศ์จะตกไปเป็นของผู้ใด เฉินลั่วที่เป็นคนสร้างเรื่องราวขึ้นมาเป็นคนแรกจะถูกจับได้หรือไม่ ถ้าหากถูกจับได้ขึ้นมา จะมีจุดจบเช่นไรนะ?
เนื่องด้วยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ทั้งพุทธและเต๋าต่างทรงอิทธิพลเป็นอย่างมาก เขาไปมีเรื่องกับคนที่ละทางโลกเหล่านี้ ชีวิตคงยากลำบากมาก
ถ้าคนชนะมีได้เพียงฝ่ายเดียว มีอะไรที่นางพอจะช่วยเหลือได้บ้างนะ?
สมองของหวังซีขบคิดจนวุ่นวาย พลันรู้สึกว่าหมัวมัวจากจวนหย่งเฉิงโหวคนที่นำเทียบเชิญมาส่งให้พวกนางผู้นั้นกล่าวได้มีเหตุผล การที่พวกนางพักอยู่ที่วัดอวิ๋นจวีเช่นนี้ไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไรจริงๆ แม้นจิงเฉิงอากาศร้อน แต่ในเรือนของนางมีน้ำแข็ง ก็ไม่ได้ร้อนจนถึงขั้นที่รับไม่ไหว
นางกลับเข้าเมืองเร็วสักหน่อยดีกว่า
อย่างน้อยก็จะได้ไม่พลาดเรื่องใหญ่ของเมืองหลวงเหล่านี้ไป
……………………………………………………………………..
ตอนต่อไป