ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 88 ร่มกระดาษมัน มีคนรอหนิงกลับมา

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 88 ร่มกระดาษมัน มีคนรอหนิงกลับมา

หลี่ไป๋จิงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

แสงตะวันที่เหลือในจวนภูเขาครามเหมือนสายน้ำ พาดบ่าหนิงอี้ด้วยสียามโพล้เพล้ พิงต้นไม้แก่ เล่นป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพานั้นกลางฝ่ามือ ความหมายในดวงตาไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้หนักอึ้งเท่าไร

ป้ายคำสั่งนี้เป็นตัวแทนมิตรภาพของแดนบูรพา

แต่ในสายตาหนิงอี้ นี่เป็นเพียงป้ายคำสั่งเท่านั้น

ภายนอกป้ายคำสั่งที่มีความโปร่งใสนี้สะท้อนดวงตาแคบยาวที่มีความสงสัยของหนิงอี้ออกมา เขาหรี่ตาข้างหนึ่ง ชูป้ายหยกเล็งไปทางตะวันอัสดง แสงตะวันสาดส่องเต็มใบหน้า ศึกษาดูอย่างสนอกสนใจ ใช้มือเคาะป้ายคำสั่งเบาๆ ไม่หยุด เหมือนจะศึกษาความลี้ลับในนั้น

หลี่ไป๋จิงพูดนิ่งๆ “ในนี้มีค่ายกลเล็กๆ อยู่ แต่น่าจะขวางปรมาจารย์ค่ายกลคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังเจ้าไม่ได้”

หนิงอี้ที่ได้ยินดังนั้นเงยหน้าขึ้นมองหลี่ไป๋จิง

เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกว่าข้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ท่านจะเชื่อหรือไม่”

หลี่ไป๋จิงยิ้ม ไม่ตอบ

เรื่องนั้นของจวนภูเขาคราม ผู้บำเพ็ญวิถีกระบี่ที่ทุบตีคุณชายครามอย่างไร้เหตุผลนั้น ตอนนี้ไม่เผยตัวมาบนผิวน้ำ เล่าลือว่าพายุฝนเมื่อคืนวานถาโถม หนิงอี้ก็เอาชนะคุณชายน้อยทุกคนในจวนภูเขาครามด้วยตัวคนเดียว และยังใช้วิถีกระบี่เอาชนะคุณชายครามอย่างซึ่งหน้า แต่นี่ไม่ใช่หลักฐาน

เขาเคยตรวจสอบประวัติของหนิงอี้ เด็กกำพร้าเทือกเขาประจิม พาเด็กสาวร่อนเร่พเนจร ประวัติขาวสะอาดมาก คนในวังตรวจสอบไม่เจอข้อสงสัยใดๆ เลย ตอนนี้เด็กสาวแซ่เผยยังอยู่ในจวนของเจ้าสำนัก เล่าลือว่าหนิงอี้รักน้องสาวที่เก็บมาเลี้ยงคนนี้มาก จากเขาสู่ซานมาเมืองหลวง ก็ต้องพามาด้วย

เด็กสาวนี่น่าจะเป็นจุดอ่อนเดียวของเขาหรือไม่

หลี่ไป๋จิงพลันเอ่ยถาม “เจ้าลงไปใต้ดินจวนภูเขาครามได้อย่างไร”

หนิงอี้ยิ้ม “ก็บอกแล้วไม่ใช่รึ ข้าพอจะถือว่าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลงูๆ ปลาๆ อย่างที่พวกท่านบอก ค่ายกลของจวนขานฟ้าไม่ได้เรื่องเลย ข้าเลยเข้าไปได้”

หลี่ไป๋จิงเงียบไปชั่วขณะ

เขาถอยหนึ่งก้าว เหมือนอยากจะเห็นหนิงอี้ให้ชัดเจนกว่าเดิม ก่อนเงยหน้า ตั้งแต่ตนจนถึงตอนนี้ไม่เคยเปลี่ยนท่าทางเลย เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ยังศึกษาป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพาเปลี่ยนข้างดวงตา เคาะข้างหลังป้ายคำสั่ง

“เจ้าฝึกที่เขาสู่ซานแค่ปีเดียว” หลี่ไป๋จริงพูดตามความจริง

“แล้วอย่างไร ท่านต้องเชื่อ…เรื่องพรสวรรค์” หนิงอี้เก็บป้ายคำสั่ง พูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานนะ”

หลี่ไป๋จิงมองหนิงอี้

“ค่ายกลดักฟังในป้ายคำสั่ง กลับไปข้าจะไปเอาออก องค์ชาย…ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมาสืบชีวิตข้า การล่าในที่ราบสูงเทพสวรรค์ ข้าจะไปตรงเวลาแน่นอน” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น สองนิ้วมือคีบป้ายคำสั่งใส่เข้าไปในกระเป๋าเอว ก่อนจะนำยันต์กั้นเสียงมาแปะไว้รอบป้ายคำสั่ง จนมั่นใจว่าป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพานี้ไม่มีสมรรถนะอะไรแล้ว แม้เขาจะสู้เด็กสาวไม่ได้ แต่ก็ยังมองความละเอียดอ่อนของค่ายกลออก ศาสตร์ค่ายกลของป้ายคำสั่งนี้เหมือนจะมีไม่น้อย แต่เขามองออกแค่ ‘ดักฟัง’

หลี่ไป๋จิงยิ้ม “ตอนนี้ข้าเริ่มเชื่อแล้ว หนิงอี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ไปถึงที่ราบสูงเทพสวรรค์ เจ้ากับข้าจะมีความมั่นใจเพิ่มอีกสามส่วน”

หนิงอี้ส่ายหน้ายิ้มๆ เขาชำเลืองตามองจวนภูเขาครามอย่างไม่ใส่ใจ เห็นเนินเขาเล็กที่อยู่ไม่ไกล

“หนิงอี้…” หลี่ไป๋จิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างอีก

หนิงอี้โบกมือ

“องค์ชาย พบกันครั้งหน้าค่อยคุยเถอะ ถึงอย่างไร…”

หลี่ไป๋จิงไม่ได้ไม่พอใจ เพียงแค่ขมวดคิ้ว มองตามหนิงอี้

เด็กหนุ่มที่เก็บป้ายคำสั่งไปแล้วพ่นลมหายใจยาว เขามองเนินเขาเล็กนั่น แสงตะวันอัสดงส่องหลังเนินเขา สะท้อนเป็นร่างเงาผอมเล็กนั้น แม้จะไร้สายฝน แต่ก็ลมแรง ร่างเงาผอมนั้นกางร่มกระดาษมัน ถูกลมพัด เงาลากไปยาวมากภายใต้แสงตะวันที่เหลือ

“ถึงอย่างไร เด็กนั่นก็กำลังรอข้าอยู่”

หลี่ไป๋จิงอึ้งไปเล็กน้อย

เขามองเด็กหนุ่มที่เก็บป้ายคำสั่งไปแล้วลูบใบหน้าเหนื่อยล้า ในดวงตามีรอยยิ้ม ก่อนจะเดินผ่านข้างกายตนไปโดยไม่ทักทาย ไม่แสดงความเคารพใดๆ เลย

หรือเด็กสาวนั่นที่เขาจะไปพบ จะมีฐานะสูงกว่าและสำคัญกว่าองค์ชายรองต้าสุยกัน

……

หนิงอี้วิ่งไปทางดวงตะวันลับนั้น

เด็กสาวที่รอในตะวันอัสดงถูกกอดด้วยความงุนงงเล็กน้อย

ร่มกระดาษมันถูกลมพัด ลอยตกลงและกลิ้งไปกับพื้น

หมุนวนรอบหนึ่ง

คนโตกับคนเล็กเอาหน้าผากชนกัน

เงียบอยู่ชั่วครู่

“ยัยเด็กนี่…”

หนิงอี้วางเด็กสาวลงเบาๆ ก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “ทำให้เจ้า…เป็นห่วงแล้ว”

เด็กสาวพูดคำว่า ‘หา’ อย่างทำอะไรไม่ถูก นางเม้มริมฝีปาก คิดอยู่นานมาก ไม่รู้ควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร

จากนั้นนางตอบอืมเบาๆ

เมืองหลวงเมื่อคืนวานเกิดเรื่องมากมาย

ทุกคนรู้ว่าน่าจะเกิดเรื่องที่ใหญ่อย่างยิ่ง ทำให้แม่น้ำวายุแดงที่คุ้มกันเมืองสั่นสะเทือนได้ ส่วนการกระทำยิ่งใหญ่ของสี่สำนักศึกษา ต่อให้รู้ทีหลังก็ยังรู้สึกได้ วันนี้กรมผู้คุมกฎเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ทำให้พายุฝนทั้งเมืองโหมซัดสาด ไม่อาจหลบสายตาประชาชนไปได้

หลังพายุฝนก่อตัวก็ตกทั่วฟ้า เป็นสีแดงฉาน

เผยฝานสูดจมูก กลืนความคับอกคับใจ ความกังวลและความร้อนใจที่อัดอั้นมาตลอดทั้งคืนลงไป นางกระแอมไอก่อนพูดเสียงนุ่มนวล “ความจริง…ก็ไม่ได้ห่วงขนาดนั้น”

หนิงอี้จับบ่าสองข้างของเด็กสาว

ใบหน้ารูปไข่นั้นเผยรอยยิ้มเจิดจรัส “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย หนิงอี้…ข้าเชื่อใจเจ้า”

เขาหมุนตัวกลับขึ้นรถม้า ไม่มองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อิงแอบกันบนเขาเล็กอีก แต่ไปจากที่นี่ทันที

หลี่ไป๋จิงท่องสองคำเบาๆ

“เผยฝาน”

เด็กสาวคนนี้ แซ่เผย สกุลเผย

……

ดึกดื่นผู้คนเงียบสงัด

จวนเจ้าสำนัก

กลับมาถึงที่นี่ สองคนรอจนกลางดึก หนิงอี้ก็เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตนออกไปเมื่อคืนวานจนไปถึงจวนภูเขาครามให้เด็กสาวเผยฝานฟังทั้งหมด รวมถึงราชาหัวใจราชสีห์ในสุสานจักรพรรดิก็ไม่เก็บไว้เลย

ฟังถึงช่วงสุดท้าย ทุกอย่างจบลง

เด็กสาวพึมพำเสียงเบา

แปดคำ

“ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า…”

เผยฝานท่องแปดคำนั้นซ้ำอีกครั้ง สีหน้าเหม่อลอย

“อะไร คิดว่าฉายานี่ไม่น่าฟังรึ”

เผยฝานแค่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก

หนิงอี้นั่งบนเตียง เขาพูดมาชั่วยามกว่า ปากแห้งหน่อยๆ จึงลุกขึ้นดื่มน้ำชาอุ่นๆ เย็นๆ ก่อนจะปิดหน้าต่าง ทำให้มั่นใจว่ายันต์กั้นเสียงที่แปะไว้สี่มุมห้องจะไม่ให้ใครได้ยินเสียงของตนจริงๆ

บนโต๊ะไม้ดอกเบญจมาศตรงหัวเตียงวางป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพานั้น เด็กสาวถอดค่ายกลตรวจสอบทั้งหมดออกไปแล้ว ในนั้นบอกว่ามีเยอะก็เยอะ บอกว่าไม่เยอะก็ไม่เยอะ ใช้เวลาราวเกือบครึ่งก้านธูปก็แบ่งเป็นค่ายกลดักฟังสองอัน และยังมีค่ายกลขโมยปราณอีกครึ่งหนึ่ง สามารถรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังบำเพ็ญของเจ้าของ

หนิงอี้แปะยันต์กั้นเสียงสี่แผ่นบนคานบ้านใหม่อีกครั้ง ทำทุกอย่างเรียบร้อยถึงได้กลับมาที่เตียงอีกครั้ง นั่งขัดสมาธิลง มองเด็กสาวพลางพูดอย่างจริงจัง “การแต่งตั้งนี้ไม่ใช่เจตนาของข้า แต่ก็ได้สัมผัสจักรพรรดิมากขึ้น บางทีอาจจะได้เข้าใจนิสัยของเขา นี่เป็นเรื่องดี หลังจากคลื่นลมศึกสำนักศึกษา ในวังก็อาจจะเรียกพบข้า”

เผยฝานก้มหน้าลง พูดอ้อเบาๆ

นางนั่งบนตอไม้ลักษณะกลองตรงหัวเตียง มือถือเกล็ดเล็กสีเงินเปล่งแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง แสงดาราไหลเข้าไปในปลายนิ้ว เหมือนเย็บทีละเข็ม กำลังเย็บผ้า นี่เป็นเกล็ดเล็กคุณภาพธรรมดาที่นางได้มาจากนักพรตชุดคลุมหยาบ หลังเปิดออก ก็ใช้นิ้วลูบทุกเกล็ดเล็ก ตรงกลางนูน สองข้างเว้า ปรากฏเป็น ‘ฟัน’ เหมือนกรอบอักษร กรอบอักษรเป็นกรอบสมบูรณ์ที่รวมขึ้นจากแผ่นเดี่ยวจำนวนมากประกบกัน หลังจากปรับแก้เกล็ดเล็กนี้แล้ว เกล็ดที่ตั้งขึ้นมีจำนวนมากขึ้นใหญ่ขึ้น ระดับการป้องกันการโจมตีน่าจะแกร่งมากขึ้น

หนิงอี้มองเด็กสาวที่ก้มหน้าทำงาน เขาเม้มริมฝีปาก “อีกสองวัน จะมีคนในจวนส่งตำลึงเงินมาให้เยอะมาก…ซื้อของที่เจ้าอยากได้ได้หลายอย่าง หากเจ้าไม่ชอบ เราก็จะไล่พวกเขาไป โยนของทิ้งไป”

หนิงอี้ลังเลเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเบา “ข้ารู้ถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมของท่านเผยหมิน ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าด้วยตัวเอง”

เด็กสาวขมวดคิ้ว

หนิงอี้ยังคงพูด “ตอนนี้ข้าอยู่ในเมืองหลวง ทุกคำพูดและการกระทำต้องระวัง สาเหตุการตายของเผยหมินยังไม่กระจ่าง ยังเผยตัวตนของเจ้าไม่ได้ ความจริงเจ้าไม่จำเป็นต้องมารับข้าเลย…แค่พบกันที่จวนภูเขาครามก็อาจจะทำให้หลี่ไป๋จิงสงสัยได้แล้ว”

“ความจริง ข้าเริ่มสงสัยจวนภูเขาคราม…”

“พอแล้ว”

เด็กสาวถือเกล็ดเล็กหลังปรับแก้ ก่อนจะใช้นิ้วมือลูบด้วยความว้าวุ่นใจ

เกล็ดแข็งที่ตามหลักต้านการยิงด้วยธนูห่างไปสามสิบจั้งได้ ถูกนางบีบแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษตกลงบนถาดหยกเหมือนไข่มุกเล็กใหญ่ ดังติงๆๆ

ความจริงนี่ไม่ใช่ผลงานล้มเหลวชิ้นแรกของนาง ภายในลานบ้านกองเต็มไปหมด ทั้งเล็กทั้งใหญ่ นางมาจวนแห่งนี้ ทำเกล็ดอ่อนเช่นนี้ไม่น้อย เกล็ดอ่อนที่รับพลังแสงดาราของตนได้ถึงมีโอกาสใส่ค่ายกลได้ เผยฝานอยากใช้วิธีนี้ทำเครื่องป้องกันที่ระดับสูงกว่านี้ แต่เนื่องจากวัสดุและเงื่อนไขโลกภายนอกมากมาย จึงยังไม่สมความตั้งใจ

เผยฝานลุกขึ้น เด็กสาวที่นิสัยดีมาก ไม่เคยโมโหเลย พูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น “หนิงอี้ เจ้ารู้ถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมของบิดาข้ารึ เจ้าลองบอกมาหน่อยว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไร เจ้าจะล้างแค้นแทนเขาอย่างไร”

หนิงอี้เงียบ

“ในตู้มีเกล็ดเล็กที่ทำเรียบร้อยแล้ว ร่มกระดาษมันที่ข้าเอากลับมานั่น ใช้เป็นฝักกระบี่พินิจเหมันต์ได้ ยันต์กองอยู่ชั้นแรกในลิ้นชักไม้แดง”

หลายวันมานี้ นางไม่ใช่แค่คิดถึงตัวเอง นางคิดถึงหนิงอี้ตลอด ทำอะไรที่ตนทำได้เพื่อหนิงอี้ หนิงอี้ไม่ให้นางออกไป นางก็จะฝึกค่ายกลและยันต์ หวังว่าจะใช้วิธีนี้อยู่คู่กับเขาได้ตลอด

พูดเรื่องพวกนี้จบ

เด็กสาวสูดลมหายใจเบา ผลักประตูออกไป

ประตูไม้ส่งเสียงสั่นไหว

หนิงอี้นั่งบนเตียง เขาไม่ได้เปิดตู้ และไม่ได้ดึงลิ้นชัก

เขาเหม่อลอย

ผ่านไปพักหนึ่ง เด็กสาวที่ดวงตาแดงกอดกระบี่สีดำเรียวยาว โยนลงบนหัวเตียงดังตึง ก่อนพูดทีละคำ “เจ้าดูเอาเอง!”

เด็กสาวที่เลือกกระบี่ในกระบี่ซ่อนในห้อง สุดท้ายเจอกระบี่สีดำเรียวยาว ปาดดวงตา ก่อนกัดฟันพูด “นี่เป็นกระบี่นั่นที่ตอนนั้นจักรพรรดิต้าสุยมอบให้บิดาข้า”

ด้านบนแกะสลักแปดคำ

ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า

ความจริงมีเรื่องบังเอิญมากมาย เมื่อบังเอิญมากเกินไป เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีก

หากเจ้าของเมืองหลวงรู้ทุกอย่าง เช่นนั้นวิธีการเล็กๆ น้อยๆ อย่างยันต์กั้นเสียงจะมีประโยชน์อะไร

หนิงอี้เงียบ ลงเตียงไปเก็บเศษเกล็ดเล็กที่กระจายเต็มพื้นพวกนั้น เก็บมาทีละชิ้น

เขาเก็บเรียบร้อยก็ไม่มองกระบี่ยาวนั้นอีก แต่กอดเกล็ดเล็ก กองไว้บนเก้าอี้ปรับโยกข้างๆ

หนิงอี้เสียงเบามาก

“เจ้า…อย่ากังวลไปเลย ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้โฮ สะอื้นไห้ไม่เป็นคำ

นางเสียคนที่ใกล้ชิดที่สุดไปแล้วคนหนึ่ง

นางไม่อยากเสียไปอีกคน

………………………